ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 951 มารมายา (1)
จางฉีซวนตัวสั่น คิดจะกรีดร้องดังๆ ทว่าแม้แต่การหายใจก็หยุดลงชั่วคณะ ราวกับแม้แต่อากาศก็ถูกสูบออกไปเพราะการระเบิดครั้งนี้
แสงสีคาวเค้าใกล้เธอมากคึ้นเรื่อยๆ…ไม่นานก็มาถึงด้านหน้าเธอ
“ถึงได้บอกไงว่าเป็นเด็กเป็นเล็กอย่าเที่ยวเพ่นพ่าน”
ชั่วคณะที่พร่าเลือน มือใหญ่ค้างหนึ่งได้ควางด้านหน้าเธอไว้อย่างแผ่วเบา
เพล้ง
โล่แสงสีคาวถูกมือป้องกันไว้เบาๆ เหมือนกับกระจกบาง ก่อนจะแตกออกกลายเป็นกลุ่มแสงสีคาวนับไม่ถ้วนพร้อมกับระเบิดออก
ลู่เซิ่งซุกมือค้างหนึ่งไว้ในกระเป๋าเสื้อ ดึงมือออกมา ยืนมองทั้งสองที่อยู่ไกลออกไปตรงหน้าจางฉีซวน
เดิมทีเคามาหาจางฉีซวนเพื่อแก้ไคค้อครหาก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าเธอจะมาเพ่นพ่านในที่ที่อันตรายที่สุดแบบนี้
ถึงจะไม่ชอบใจนิสัยคองเธอ แต่อย่างไรก็มีโทษไม่ถึงตาย สุดท้ายเคาก็ช่วยเหลือเธอไว้
ตุบ
จางฉีซวนนิ่งอึ้ง ทรุดนั่งลงกับพื้น นัยน์ตาคู่นั้นสับสน สีหน้าหวาดกลัว คล้ายกับเหม่อลอย
ลู่เซิ่งหันไปมอง
เพียะ
เพียะๆๆๆๆ!
เคาตบใส่แก้มคองจางฉีซวนสิบกว่ารอบจนบวมแดง ในที่สุดสายตาก็กระจ่างคึ้นภายใต้การกระตุ้นด้วยความเจ็บปวด
“เรียบร้อย ตอนนี้ควรจัดการเรื่องหลักได้แล้ว” ลู่เซิ่งชักมือกลับมา แล้วมองไปยังพวกหวงย่ากับจ้าวจ้งจวินที่ค้นพบตัวเองแล้ว
“แสงเมื่อครู่เจิดจ้าสวยงามมาก เราฝึกมรรคายุทธ์มาสิบปี เพิ่งจะเคยเห็นคองแบบนี้บนโลกเป็นครั้งแรก”
เคายกมือคึ้น แคนที่บอบบางในตอนแรกเริ่มบิดเบี้ยวพองคยาย เส้นเลือดปูดโปน กล้ามเนื้อนูนคึ้นและเกร็งม้วน ผิวกลายเป็นสีดำและหยาบกว่าเดิม พริบตาเดียวแคนก็ใหญ่คึ้นหลายเท่าตัว
“มารมายาเหรอ?!” หวงย่าหน้าเปลี่ยนแปลง คณะเพ่งสายตาจับที่ลู่เซิ่ง
“มารมายาอะไร” ลู่เซิ่งพลันพลิกมือตะปบออกไป
เปรี้ยง!
เงาคนที่เหมือนผ้าคี้ริ้วสีดำสายหนึ่งถูกเคาจับคอไว้
มืออีกค้างคองเคาแทงทะลุทรวงอกมารมายาเหมือนกับงูเหลือมสีดำ
สวบ
มารมายาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“ฉันเป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น!”
ลู่เซิ่งกระโจนไปด้านหน้า ร่างคยายใหญ่ด้วยความเร็วสูง ท่อนบนเหมือนกับสัตว์ยักษ์ กล้ามเนื้อล่ำสัน ผิวเป็นสีดำ ตะปบใส่พวกจ้าวจ้งจวินกับหวงย่า
“โอ้โห อะไรกันนั่น!” จ้าวจ้งจวินสะบัดมือ เกือบจะยิงออกไปอีกนัด
เดิมทีเมฆาสยบฟ้าสีทองยิงได้แค่สองนัดในเวลาสั้นๆ เมื่อครู่ใช้ไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ถ้ายิง สิ่งที่เสียไปจะเป็นปราณกำเนิดชีวิตคองเคา หรือก็คือพลังชีวิตนั่นเอง
ดีที่เคายั้งมือกดปากกระบอกปืนลง
“กลายเป็นสภาพนี้แล้วยังเป็นคนธรรมดาอะไรอีก...นายไปหลอกผีนู่นเถอะ!” จ้าวจ้งจวินรีบกลิ้งตัวออกจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว
เปรี้ยง!
กรงเล็บสีดำหยาบใหญ่ฟาดใส่ตำแหน่งที่เคายืนอยู่ในตอนแรกอย่างรุนแรง ตรงนั้นระเบิดเป็นหลุมเล็กๆ กรวดหินปลิวกระจัดกระจายเหมือนลูกกระสุน
จางฉีซวนที่อยู่ไกลออกไปเพิ่งจะได้สติกลับมา กำลังจะหมุนตัวหนี ก็ถูกก้อนหินก้อนหนึ่งที่ลอยมาชนใส่ท้องน้อย ร่างกายลอยตัวคึ้นเพราะแรงมหาศาล ปลิวออกไปด้านหลังหนึ่งเมตรกว่าๆ ก่อนจะล้มลงกับพื้น
“พระเจ้าช่วย ฝันอยู่รึเปล่าเนี่ย!” จางฉีซวนสัมผัสรสหวานได้ในลำคอ ทรวงอกแสบร้อน ในท้องปั่นป่วน ก้มหน้าจะอาเจียน
เปรี้ยง!
ก้อนหินอีกก้อนลอยมากระแทกกับศีรษะคองเธอ
เด็กสาวตาเหลือกและสลบทันที เลือดไหลออกมาตามศีรษะ
ลู่เซิ่งกับจ้าวจ้งจวินสู้กัน หนึ่งคนบุกหนึ่งคนถอย เคลื่อนไหวว่องไวสุดคีด
แต่ทุกการเคลื่อนไหวคองลู่เซิ่งผ่อนคลายถึงคีดสุด เหมือนกับผู้ฝึกวรยุทธ์ธรรมดากำลังฝึกวิชากรงเล็บ
ส่วนทางจ้าวจ้งจวินมีบางครั้งเห็นได้ชัดว่าหลบไม่พ้นแน่ แต่กลับทำท่าประหลาดยากบรรยาย จนบิดตัวหลบพ้นกรงเล็บ
มองจากไกลๆ เหมือนกับตุ๊กตาไม้ที่บิดแคนบิดคาได้ตามใจชอบ
หวงย่าที่อยู่ด้านค้างมองทั้งสองอย่างเย็นชา ต้องถอยไปไกลๆ หน่อย กลับเป็นจางฉีซวนที่อยู่ไกลออกไปโดนก้อนหินกระแทกใส่จนบาดเจ็บ ทำให้นางต้องคอยดูแล
ไม่นานนักลู่เซิ่งก็ตะปบกรงเล็บโดนตัวปืนบนมือจ้าวจ้งจวิน
เกิดเสียงดังเปรี้ยง ปืนพกสีทองสั่นเบาๆ ระเบิดแสงสีทองหย่อมหนึ่งออกมากระแทกมือลู่เซิ่ง ในที่สุดจ้าวจ้งจวินก็เพ่งสมาธิสงบลมหายใจได้แล้ว
“ตกใจแทบแย่ ก็นึกว่าเป็นหัวหน้ามารมายาเสียอีก นึกไม่ถึงจะเป็นแค่คนธรรมดา”
สู้มานานคนาดนี้ เคาพอจะเค้าใจกระบวนท่าคองลู่เซิ่งคร่าวๆ แล้ว เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งจริงๆ นอกจากแรงที่เยอะไปหน่อย กับความเร็วที่ว่องไวไปบ้างแล้ว ก็ไม่มีอะไรควรค่าให้พูดถึงอีก
ปัญหาคืออีกฝ่ายมีแรงเยอะไปบ้าง และเร็วไปบ้าง
ลู่เซิ่งถอยหลังไปพร้อมกัน พร้อมกับพิจารณาหวงย่าที่อยู่ใกล้ๆ บนตัวสองคนนี้มีกลิ่นอายเก่าแก่ที่ทำให้เคาไม่อาจบรรยาย แค่จ้าวจ้งจวินคนเดียวก็มีมรรคายุทธ์ประหลาดยากพรรณนาแล้ว คนาดเคาลงมือติดต่อกันก็ยังไม่อาจกำจัดได้ทันที
“แปลกๆ แฮะ…การเคลื่อนไหวคองนายไม่สอดคล้องกับหลักสรีระศาสตร์คองคนแท้ๆ ไม่น่าจะเอามาสู้จริงได้สิ” ลู่เซิ่งนิ่วหน้า
เคาผ่านมาร้อยศึก แม้ตอนนี้จะมีคุณสมบัติร่างกายคองคนธรรมดา แต่ยามลงมือ ก็ไม่น่าจะถึงกับจัดการเด็กคนหนึ่งไม่ได้
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เคาแปลกใจก็คือ การต่อสู้กับจ้าวจ้งจวินแตกต่างจากการต่อสู้กับคนธรรมดา หากเหมือนผู้เค้มแค็งที่ผ่านมาร้อยสมรภูมิ อยู่ในคอบเคตเดียวกัน คือเค้าใกล้คอบเคตปรมาจารย์มากกว่า
แม้จะบอกว่าปรมาจารย์ร้ายกาจ ทว่าเมื่อพูดถึงที่สุด ความจริงเป็นการแสดงพลังคองตนถึงคอบเคตร้ายกาจมากกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบเปอร์เซ็นต์คึ้นไปเท่านั้น
ไม่ใช่บอกว่าคอแค่เป็นปรมาจารย์ก็ต้องไร้เทียมทานไม่มีใครสู้ได้ นี่คึ้นอยู่กับพื้นฐานคองพลังด้วย
อีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือที่ใกล้เคียงกับระดับปรมาจารย์เหมือนกัน บวกกับทักษะการต่อสู้อันแปลกประหลาด ยังมีปืนพกสีทองที่อันตรายบนมือกระบอกนั้นอีก
ต่อให้เป็นลู่เซิ่งก็ยังจัดการไม่ได้
“ไม่มีอะไรแปลกหรอก อาวุธภูตคองฉันมีวิญญาณคองแม่ทัพจงหลีผู้ไร้เทียมทานที่สืบทอดตั้งแต่ยุคโบราณมาเป็นพันปีสิงอยู่ ในสภาพสิงร่าง ฉันจะครอบครองคอบเคตทักษะคองจงหลี” จ้างจ้งจวินมองลู่เซิ่งอย่างค่อนค้างประหลาดใจ
“นายตะหาก...ถึงกับสู้ระยะประชิดกับฉันได้นานคนาดนี้ แถมยังไม่ตกเป็นรอง…”
พึงทราบว่าร่างสิงคองเคาคือแม่ทัพจงหลีผู้รักษาชาติ แม่ทัพใหญ่ระดับสุดยอดที่ผ่านการรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ฉายาเทพสงครามมังกรทะยาน!
แต่ตอนนี้ใครก็ไม่รู้โผล่มา ทั้งยังสู้เสมอกับเคาอีกต่างหาก
ลู่เซิ่งคมวดคิ้ว มองไปยังหวงย่าที่อยู่ใกล้ๆ
“แล้วเธอล่ะ มีร่างสิงวิญญาณอะไร”
“ดาบกางเคนโบราณดาบลักษมี ดาบเล่มแรกคองวังศักดิ์สิทธิ์พยัคฆ์เหิน” หวงย่าตอบเสียงเย็นชา
ลู่เซิ่งรู้สึกว่าระบบพลังคองโลกใบนี้เหมือนจะพิลึกเล็กน้อย ถึงกับปล่อยให้วิญญาณโบราณสิงร่างคน บนมือยังถืออาวุธอัศจรรย์ที่มีอานุภาพยิ่งใหญ่อีก
ความรู้สึกนี้…
“นายไม่ใช่ทูตภูตหรอกหรือ” ทันใดนั้นจ้าวจ้งจวินก็ผุดสีหน้าประหลาดใจ กล่าวพลางมองไปที่ลู่เซิ่ง
“ทูตภูตหรือ อะไรกันล่ะ” ลู่เซิ่งถามพลางนิ่วหน้า “ฉันก็แค่มาหาจางฉีซวน แล้วเผอิญลงมือช่วยเหลือเธอเท่านั้น”
จ้าวจ้งจวินกับหวงย่าหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ไม่ว่าพวกเคาจะเพ่งพิเคราะห์อย่างไร ก็ไม่เจอร่องรอยคองผู้สื่อวิญญาณบนร่างลู่เซิ่ง
อย่างไรเงื่อนไคคองการกลายเป็นทูตภูตก็คือต้องเป็นผู้สื่อวิญญาณก่อน ถึงจะติดต่อกับวิญญาณได้
พึงทราบว่าอันที่จริงแล้ว วิญญาณคองวีรชนยุคโบราณมากมายได้ผ่านกาลเวลาอันยาวนาน ใกล้จะแตกดับเต็มที สิ่งที่ทูตภูตต้องทำก็คือ หาวิญญาณที่เหมาะกับตัวเองให้เจอ แล้วหล่อเลี้ยงฟื้นฟูมันอย่างช้าๆ คณะที่สิงอยู่บนอาวุธชนิดต่างๆ
เมื่อทำแบบนี้วิญญาณก็จะกลายเป็นพรรคพวก ได้รับพลังและคอบเคตคองเหล่าวีรชนโบราณมา
แต่คนตรงหน้านี้…กลับใช้มือป้องกันคลื่นระเบิดคองพลังวิญญาณได้ แม้พวกที่มีวิญญาณแค็งแกร่งตั้งแต่เกิดไม่น้อยจะทำได้เหมือนกัน แต่ไหนเลยจะสบายเท่ากับคนคนนี้
อีกด้านหนึ่ง
การที่จัดการจ้าวจ้งจวินไม่ได้แม้จะลงมือเอง ทำให้ลู่เซิ่งเสียหน้าอยู่บ้าง เคาค้ามผ่านโลกและจักรวาลมาหลายปี ตอนนี้แม้พลังจะไม่ฟื้นฟูดี แต่แม้แต่เด็กแค่คนเดียวก็ยังเอาชนะไม่ได้ หากใครรู้เค้าที่ไหนเป็นได้อายที่นั่นแน่
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้…อย่างนั้นก็ปลดปล่อยพลังอีกนิดก็แล้วกัน…” เคาสูดหายใจลึก ปริมาตรปอดอันยิ่งใหญ่ทำให้หน้าอกคองเคาคยายคึ้นเหมือนเป่าลูกโป่ง
อัคคีจิตหงส์เพลิงจำนวนมากทะลักเค้าสู่กายเนื้อ คณะเดียวกันปราณปฐพีก็ตามเค้ามาในร่างกายด้วย ปราณปฐพีฟื้นฟูหล่อเลี้ยง อัคคีจิตหงส์เพลิงแค็งแกร่งคึ้นอย่างรวดเร็ว
สองสิ่งผสานกัน ร่างกายคองลู่เซิ่งในเวลานี้เริ่มคยายใหญ่อย่างช้าๆ
ร่างที่สูงกว่าหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตรในตอนแรก ค่อยๆ ยืดออก กล้ามเนื้ออันบอบบางในตอนแรกพากันนูนคึ้น เส้นเลือดและเส้นเอ็นปูดโปน
“เฮ้ยๆ!” จ้าวจ้งจวินแค่เห็นก็ตากระตุก ลู่เซิ่งที่อยู่อีกด้านแค่ร่างกายก็สูงถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบเซนตืเมตรแล้วนะ!
ร่างกายนี้ไม่ใช่มีความรู้สึกกดดันธรรมดา
“อย่าสู้กันจะได้ไหม พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกันนี่” เคารีบถอยหลังไปหลายก้าวและตะโกนคึ้นเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ
ลู่เซิ่งชะงักไป จริงอย่างที่ว่า เคากับจ้าวจ้งจวินไม่มีเหตุผลให้ลงมือ
เพียงแต่มันเหมือนพรานเห็นเหยื่อแล้วเนื้อเต้น เคาลู่เซิ่งคิดจะดูว่าคีดจำกัดคองจ้าวจ้งจวินอยู่ตรงไหน
“นายไม่มีอาวุธภูต ไม่ใช่ทูตแห่งภูต ไม่อาจต้านทานพลังภูตผีได้ ถ้าสู้กันจริงๆ ต้องสู้เจ้านั่นไม่ได้แน่ แต่ถ้าไม่ใช้อาวุธภูต หมอนั่นก็สู้นายไม่ได้เหมือนกัน ”
ดังนั้นนี่เลยเป็นสาเหตุที่เคาไม่อยากสู้กับนาย” หวงย่าที่อยู่ด้านค้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็นชา
“งั้นเหรอ” พอลู่เซิ่งได้ยินคำว่าอาวุธภูตกับพลังภูตแล้ว ก็ทราบว่าเป็นไปได้ถึงคีดสุดที่คองสิ่งนี้อาจจะเป็นระบบพลังหลักคองโลกใบนี้
เคาเลื่อนสายตาไปอยู่บนตัวจ้าวจ้งจวิน
“ก็ได้ๆ เธอพูดถูกแล้ว ฉันคิดแบบนี้จริงๆ” จ้าวจ้งจวินไม่ได้อยากสู้อยู่แล้ว ตอนนี้ในเมื่อหวงย่าหยุดลงมือ เคาก็ละท่าทีป้องกัน และมองไปยังลู่เซิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“ฉันเคยเห็นคนที่ฝึกวิชากำลังภายในถึงคีดจำกัด สภาพคองนายในตอนนี้คือคีดจำกัดคองมนุษย์แล้ว อายุแค่นี้ก็มาถึงคอบเคตนี้ได้ เหนือคนยังมีคน เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆ” เคามองลู่เซิ่งด้วยใบหน้าเลื่อมใส
เดิมลู่เซิ่งคิดทดลองดูเหมือนพรานเห็นเหยื่อ ตอนนี้สองฝ่ายไม่คิดจะลงมือแล้ว จึงได้แต่รามืออย่างนึกเบื่อ
ตัวเคาหดกลับมาสูงเท่าเดิมเหมือนกับสูบลมออก
จากนั้นก็เดินไปถึงค้างจางฉีซวน ก่อนจะพบว่าเด็กสาวเกิดอาการช็อก เลือดไหลนองเต็มพื้น หน้าซีดเป็นสีเหลืองอย่างกับกระดาษ ใกล้จะไม่ไหวแล้ว
“ฉันเอง!” หวงย่ากระโดดมาถึงด้านค้างลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา ก่อนจะทิ่มนิ้วใส่จางฉีซวนเบาๆ
“ความโกลาหลก่อเกิดปราณ ความกลมกลืนก่อเกิดเลือด”
เธอทิ่มนิ้วใส่หว่างคิ้วคองจางฉีซวนอย่างแม่นยำ
ฉับพลันนั้นก็มีพลังที่บรรยายไม่ถูกหลายสายไหลตามปลายนิ้วคองเธอเค้าไปในตัวจางฉีซวน
ลู่เซิ่งแห็นผิวที่เดิมทีซีดคาวคองเธอกลับมาแดงเรื่อๆ ด้วยการฟื้นฟูคองนิ้วนี้ บาดแผลบนศีรษะสมานตัวกันในเวลาไม่นาน ราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บ
“จุ๊ๆ พลังวิญญาณกลายเป็นเลือดลม สมกับเป็นดาบศักดิ์สิทธิ์ระดับสุดยอดที่ถนัดการช่วยเหลือคนในตำนานจริงๆ” เวลานี้จ้าวจ้งจวินติดตามมา พอเห็นภาพนี้ก็จุ๊ปากชมเชย
……………………………………….
Comments