ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 952 มารมายา (2)
“พลังวิญญาณกลายเป็นเลือดหรือ” ลู่เซิ่งหยีตามองดูจางฉีซวนค่อยๆ กลับมาจากขอบความตายอย่างน่าอัศจรรย์ บาดแผลสมานตัว เลือดลมได้รับการชดเชย กลับมาอยู่ในสภาพก่อนที่จะได้รับบาดเจ็บ
ประสิทธิผลนี้มหัศจรรย์อย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นความสามารถต่างๆ มาไม่น้อย แต่ไม่มหัศจรรย์เท่าสิ่งนี้
หนำซ้ำยังคล้ายไม่มีผลตกค้างอะไรด้วย
พอทำทุกอย่างเสร็จ จ้าวจ้งจวินก็หันมามองลู่เซิ่ง
“เพื่อน สนใจจะศึกษาทูตแห่งภูตอย่างพวกเราไหม” เขาพยายามเค้นรอยยิ้มจริงใจ
“อย่าไปฟังเขา ตามฉันมาดีกว่า สำนักเคลื่อนไหวของฉันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน เป็นสำนักอันดับหนึ่งอันดับสองของโลกสื่อวิญญาณ ไม่ใช่พวกไม่สมประกอบอย่างเขา เรียนอะไรก็ไม่รู้มามั่วซั่ว มีแต่ของนอกคอก”
หวงย่าที่อยู่ด้านข้างเดินเข้ามาเอ่ยเสียงเย็น
นักเรียนชายคนนี้มีคุณสมบัติร่างกายโดดเด่นถึงขีดสุด ถ้ากลายเป็นผู้สื่อวิญญาณหรือทูตแห่งภูต เช่นนั้นจะเป็นพันธมิตรที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดอย่างแน่นอน
“แต่ไม่ว่ายังไง จะอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมารมายากับทูตแห่งภูตในท้องที่อาจจะค้นพบได้ ถอยก่อนเถอะ” หวงย่าเอ่ยอย่างราบเรียบ เก็บดาบแล้วเดินลงเขาไป
“รอเดี๋ยวสิ ขอเบอร์นายหน่อย อีกเดี๋ยวนายมีอะไรอยากถามก็มาถามฉันได้เลย” จ้าวจ้งจวินรีบเอ่ย
ลู่เซิ่งมองจางฉีซวนที่สลบอยู่บนพื้น
โลกนี้น่าสนใจกว่าที่เขาจินตนาการไว้
หวงย่าโดดลงไปถึงข้างตัวจางฉีซวนอย่างแผ่วเบา แบกจางฉีซวนขึ้นบ่าแล้วเดินลงเขาไป
เธอคิดว่าผู้หญิงคนหนึ่งอยู่กับผู้ชายสองคนอย่างพวกลู่เซิ่งตามลำพังอาจจะเกิดปัญหา
“เมื่อครู่พวกเราไม่ได้ยั้งมือ เลยทำให้เธอบาดเจ็บ ตอนนี้ฉันจะรับผิดชอบพาเธอกลับโรงแรมเอง” หวงย่าว่า ก่อนจะรีบลงเขาไป
“ไปเถอะ พวกเราก็ไปด้วย” จ้าวจ้งจวินเช็ดเหงื่อบนศีรษะ ก่อนจะเดินลงเขา
…
สักพักต่อมา ลู่เซิ่งก็นั่งอยู่ในห้องของหวงย่าภายในโรงแรมแล้ว
จางฉีซวนกับหวงย่าคนหนึ่งนั่งพิงโต๊ะหนังสือ คนหนึ่งนั่งขัดสมาธิบนเตียง เวลานี้มองลู่เซิ่งด้วยดวงตาวาววับ
“ก่อนจะถามคำถามนาย ฉันขอแนะนำก่อนว่า ทูตแห่งภูตอย่างพวกเราคืออะไร” เวลานี้หวงย่าไม่ได้มีท่าทางเย็นชาอย่างเมื่อก่อนหน้าเหลืออยู่อีก ดูไม่ต่างจากเด็กสาวมัธยมทั่วไป
เธอสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว เหมือนเด็กสาวทั่วไป
“ได้สิ” ลู่เซิ่งพยักหน้าและบุ้ยใบ้ให้อีกฝ่ายเริ่ม
หวงย่ามองจ้าวจ้งจวินที่อยู่ด้านข้างก่อนจะเอ่ยต่อ
“บนโลกใบนี้มีคนที่มีพรสวรรค์แตกต่างกัน ซึ่งต่างจากคนธรรมดา พวกเขาติดต่อกับวิญญาณที่ตายไปแล้ว สามารถคุยกับผู้ตาย และใช้พลังของวิญญาณที่ตายไปแล้ว มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองได้ พวกเขาถูกเรียกว่าผู้สื่อวิญญาณ”
เธออธิบายนิยามอย่างจริงจัง
“คุยกับคนตายได้หรือ” ลู่เซิ่งนึกเฉลียวใจ
“ในหมู่ผู้สื่อวิญญาณจะมีคนที่มองการณ์ไกลบางส่วน นำวิญญาณที่ติดต่อกับตนมาสิงไว้บนอาวุธที่ใช้วัสดุพิเศษบางส่วน จากนั้นก็ตั้งใจทะนุถนอมและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่วิญญาณที่อยู่ด้านใน เพื่อทำให้อาวุธพวกนี้ครอบครองพลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิม นี่ก็คือทูตแห่งภูตที่ว่า อาวุธที่ถูกวิญญาณสิงเรียกว่าอาวุธภูตในตำนานนั่นเอง”
“หากพูดให้เข้าใจก็คือ ทูตแห่งภูตอย่างพวกเรายืมพลังของวิญญาณโบราณบนอาวุธภูตได้ ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่มีอะไรซับซ้อน” จ้าวจ้งจวินสรุป
“ไม่ซับซ้อนจริงๆ” ลู่เซิ่งพยักหน้า “แล้วของที่เรียกว่ามารมายาเมื่อก่อนหน้าคืออะไร”
“นั่นคือสัตว์ประหลาดที่เศษวิญญาณมารวมตัวกันจากความเคียดแค้นชิงชัง แค่แค้นพวกเราคนสื่อวิญญาณเท่านั้น ไม่ต้องห่วงหรอก ปกติพวกมันไม่ทำร้ายคนธรรมดา” หวงย่ากล่าวอย่างรวบรัด
“อย่างนั้นพวกนายลากฉันมาเพื่ออะไร” ลู่เซิ่งถามอย่างฉงน
“นายเป็นคนที่มีวิญญาณแข็งแกร่งโดยกำเนิด ต้านทานคลื่นกระแทกของวิญญาณได้ ทั้งยังไม่ทำให้ตัวเองบาดเจ็บ ผู้มีวิญญาณกล้าแข็งแบบนี้คือคุณสมบัติชั้นเลิศในการฝึกฝนเป็นทูตแห่งภูต” หวงย่าเอ่ยเสียงจริงจัง
“ดังนั้นฉันเลยอยากให้นายเข้าร่วมสำนักของฉัน ให้ฉันทำให้นายกลายเป็นทูตแห่งภูตที่แท้จริงคนหนึ่ง”
“ทูตแห่งภูตหรือ ให้ฉันหาอาวุธที่มีวิญญาณสิงอยู่สักชิ้น แล้วให้มันสิงร่างช่วยฉันสู้งั้นเหรอ” ลู่เซิ่งถามอย่างประหลาดใจ
“โดยทฤษฏีแล้วเป็นอย่างนั้น” หวงย่าพยักหน้า
“แล้วการสิงร่างมีผลอะไรไหม สภาพแบบนี้จะทำให้เกิดผลข้างเคียงกับมนุษย์รึเปล่า” ลู่เซิ่งถามอีก
“ไม่มีผลข้างเคียงอะไรทั้งสิ้น สำหรับคนธรรมดาจะลดอายุขัย แต่สำหรับพวกเรา ไม่มีผลกระทบอะไรเลย ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ การแบ่งปันความทรงจำต้องช้เวลา ความทรงจำของนายกับวิญญาณโบราณจะแบ่งปันให้กันในระดับหนึ่ง เพื่อเพิ่มความเข้ากันได้ของสองฝ่าย ยิ่งความเข้ากันได้สูงเท่าไร อานุภาพที่พวกเราจะใช้ออกมาพร้อมกันได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น ตัวอย่างอย่างเป็นรูปธรรมก็คือจ้าวจ้งจวิน แม้เขาจะถืออาวุธภูตระดับทอง แต่กลับสู้ทูตแห่งภูตระดับเงินอย่างฉันได้อย่างสูสี”
“หมายความว่า ความเข้ากันได้ระหว่างเขากับศัตราภูตที่เป็นปืนสีทองกระบอกนั้นต่ำมากสินะ” ลู่เซิ่งสรุปจากเรื่องเล่า
“ถูกต้องแล้ว” หวงย่าพยักหน้า
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ “ขอโทษด้วย ถึงฉันอยากจะทำความเข้าใจโลกที่ทูตศัตราภูตอย่างพวกนายอยู่ แต่…ฉันไม่ชอบแบ่งปันความทรงจำกับคนอื่น โดยเฉพาะคนแปลกหน้าที่มาจากภายนอก”
พอได้ยินคำอธิบาย เขาก็เข้าใจแล้วว่าคนพิเศษกลุ่มนี้อยู่ในสภาพไหน
ครอบครองพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งในเวลาอันสั้นโดยขอยืมทักษะของวิญญาณโบราณ อาจจะมีความลับบางส่วนที่เรียกพลังวิญญาณในธรรมชาติมาสู้ได้
แต่ก็แค่นี้เท่านั้น
เขาไม่คิดว่าโลกใบนี้มีวิญญาณโบราณตนไหนที่มีคุณสมบัติสิงร่างตนได้
ส่วนการร่วมแบ่งปันความทรงจำยิ่งเป็นคำพูดไร้สาระ
“นายไม่ลองคิดๆ ดูสักหน่อยเหรอ” พวกหวงย่างุนงงอยู่ชั่วขณะ ลู่เซิ่งเพิ่งจะฟังความลับจบก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาดทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาชักชวนผู้สื่อวิญญาณ
“ไม่มีอะไรต้องคิดหรอก” ลู่เซิ่งลุกขึ้น “พอแล้ว พวกนายตามสบาย ต่อจากนี้ระวังรอบๆ หน่อย อย่าให้ผู้บริสุทธิ์โดนลูกหลง ฉันขอตัว ไม่ต้องห่วงเรื่องของพวกนายล่ะ ฉันไม่ปากสว่างหรอก”
เขาไม่รอให้ทั้งสองตอบสนอง ก็โบกมือ เปิดประตูแล้วจากไปอย่างผ่าเผย
จ้าวจ้งจวินลุกขึ้นคิดจะตามไป แต่ถูกหวงย่าห้ามไว้
“ช่างเถอะ คนแบบนี้ต่างกับเรา คนอย่างเขามีจิตใจแน่วแน่ ลงได้ตัดสินใจแล้วจะเปลี่ยนยากมาก ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวิญญาณที่กล้าแข็งแบบนั้นหรอก”
“ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไง” จ้าวจ้งจวินกล่าวอย่างไม่สนใจ แล้วตามออกไป
…
ทัวร์ดำเนินต่อไป
นับตั้งแต่ลู่เซิ่งกลับถึงห้อง หวงย่ากับจ้าวจ้งจวินก็มักปรากฏตัวในขอบเขตสายตาของเขาอย่างเหมือนตั้งใจเหมือนไม่ตั้งใจ
กลับเป็นทางจางฉีซวนที่พอฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสล แล้วค้นพบว่าตนเองนอนอยู่ในห้อง ร่างกายไม่เป็นแผลอะไร ก็สงสัยอยู่บ้างว่าทุกอย่างที่ได้เจอก่อนหน้านี้เป็นความฝัน
จากนั้นก็ท่องเที่ยวกับทุกคนต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ลู่เซิ่งใช้วิชาวิญญาณสีชาดยกระดับร่างกายอย่างต่อเนื่อง ความเร็วในการยกระดับขั้นพื้นฐานคือยกระดับสองเท่าในหนึ่งวัน
เมื่อถึงวันที่ห้าของการเดินทาง คุณสมบัติร่างกายของเขาก็กลายเป็นสิบเท่าของคนทั่วไป
และการเดินทางก็ถึงเวลาไปจากที่แห่งนี้แล้ว
อันที่จริงภูเขาไฟมีชีวิตที่ว่า เป็นการรับชมวิวอยู่ที่ตีนเขาไกลๆ อาศัยอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งบนสันเขาคืนหนึ่ง เพื่อสัมผัสประสบการณ์ในป่าเท่านั้น
หากจะเปรียบเทียบกับครั้งก่อนว่ามีตรงไหนที่ไม่เหมือนเดิม นั่นก็คือลูกผู้พี่จางฉีซวนไม่ได้สร้างปัญหาให้แก่ลู่เซิ่งเหมือนก่อนหน้าอีกแล้ว
ไม่นานกรุ๊ปทัวร์ก็ถึงเวลากลับ
เย็นวันสุดท้าย ทุกคนปรึกษากันว่าจะกินข้าวด้วยกันพร้อมกับพักผ่อนร้องเพลง ลู่เซิ่งกลับไม่ได้เข้าร่วมกิจกรรม ออกจากร้านคาราโอเกะ แล้วเดินตามถนนใหญ่ด้านหน้าโรงแรม มุ่งหน้าไปยังวนอุทยานเพียงลำพัง
มารมายาที่มีพลังแห่งความว่างเปล่าเจือปนอยู่เป็นสิ่งที่เขาสนใจที่สุด
เวลาพลบค่ำ ไฟถนนหลายดวงแบ่งภาพบนถนนที่อึมครึมออกเป็นส่วนๆ กลุ่มคนที่กระจัดกระจายเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ใต้ไฟริมทาง รถบางส่วนเปิดไฟสูงแล่นผ่านไป พัดกระป๋องเบียร์กับถุงขยะขึ้นจากพื้น
ลู่เซิ่งเดินเอื่อยไปยังวนอุทยาน มือซุกในกระเป๋าเสื้อ ก่อนหน้านี้ครึ่งชั่วโมง เขายกระดับถึงความแข็งแกร่งสิบเท่าของคนธรรมดาสำเร็จแล้ว
หลังจากทราบระบบหลักของโลกใบนี้ เขาก็ตัดความคิดจะหลอมรวมเข้ากับระบบของที่นี่ เตรียมจะสะสางความปรารถนาผลกรรมของเด็กหนุ่ม จากนั้นหาเบาะแสของพลังแห่งความว่างเปล่าและดวงตาแห่งความเลวทรามให้เจอ แล้วค่อยกลับไปพักผ่อนที่โลกมารสวรรค์
ยิ่งไปด้านหน้า เงาคนบนถนนยิ่งน้อยลง ความถี่ที่รถผ่านมาก็น้อยลงไปกว่าเดิม
ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าไร ลู่เซิ่งหยุดฝีเท้ายืนนิ่งกับที่
ใต้ไฟริมถนนดวงหนึ่งด้านหน้า ชายผมขาวที่สวมชุดฮู้ดสีขาวนั่งอยู่ มือคีบบุหรี่ ควันสีแดงกะพริบในเงามืด แสดงให้เห็นว่ากำลังสูบบุหรี่อยู่
ลู่เซิ่งมองอีกฝ่าย ดึกขนาดนี้แล้วยังมีคนมาสูบบุหรี่ในที่เปลี่ยวๆ แบบนี้อีก
ที่นี่อยู่ห่างจากสถานที่คึกคักอย่างน้อยสิบกิโลเมตร
แต่นี่ไม่เกี่ยวกับเขา
เขาเพียงชะงักเล็กน้อย ก่อนจะเดินต่อไปจนเฉียดร่างชายผมขาว
“นี่” อยู่ๆ ชายผมขาวก็ลุกขึ้น โยนบุหรี่ลงพื้นแล้วใช้เท้าเหยียบ
“ช่วงนี้แกไปเจอผู้สื่อวิญญาณเข้ารึเปล่า” เขาหันมามองร่างลู่เซิ่งเขม็ง
ลู่เซิ่งหันไปมอง
“เจอมา ทำไมล่ะ”
ชายผมขาวนึกไม่ถึงว่าเขาจะตอบตรงขนาดนี้ จึงงุนงงเล็กน้อย ก่อนจะถามต่อ
“รู้ไหมว่าจ้าวจ้งจวินอยู่ไหน บนตัวแกมีกลิ่นอายพลังวิญญาณของมัน อย่าบอกฉันว่าไม่รู้ล่ะ ฉันไม่ชอบคำตอบแบบนี้”
“จ้าวจ้งจวินหรือ?” ลู่เซิ่งพูดขึ้นเสียงเล็กน้อย “รู้สิ”
“มันอยู่ไหน” ชายผมขาวพยักหน้า แล้วมองนาฬิกาข้อมือ “แกควรรู้สึกโชคดีนะที่ตอนนี้ฉันอารมณ์ดี ไม่อยากฆ่าคน บอกมา แล้วฉันจะปล่อยแกไป”
เท้าที่เดิมทีเตรียมจะเดินจากไปของลู่เซิ่งพลันหยุดลง เขาหันมา มือหนึ่งล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง มือหนึ่งคลายคอเสื้อให้หลวมขึ้นส่วนหนึ่ง
จากนั้นก็เดินเข้าใส่ชายผมขาว
เปรี้ยง!
แล้วต่อยหมัดใส่ดุจสายฟ้าแลบ
แขนของลู่เซิ่งพร่ามัวลงพริบตาหนึ่งใต้ไฟริมถนน ก่อนจะกลับมาที่ตำแหน่งเดิมทันที
หัวของชายผมขาวระเบิดออกเหมือนแตงโมง ศพไร้หัวที่เหลืออยู่ยังถือบุหรี่ที่เพิ่งหยิบออกมาใหม่ แล้วหงายหลังล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรง
ลู่เซิ่งก้มมองศพ ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่สัมผัสได้เมื่อก่อนหน้านี้ต่อ
เป้าหมายของเขาคือมารมายา ไม่ใช่ขยะน่าเบื่อเหล่านี้
เมื่อมาถึงระดับของเขา การฆ่าคนระดับนี้ไม่ต่างอะไรกับเหยียบมดตัวหนึ่งข้างทางให้ตาย
ไม่มีอารมณ์ทุกข์โศก ไม่มีความแตกตื่นสั่นสะท้าน เป็นธรรมชาติเหมือนกินข้าวดื่มน้ำ
“จริงสิ แล้วฉันไปฆ่ามันทำไม” เขาพลันนึกถึงปัญหานี้ ใคร่ครวญอย่างประหลาดใจพร้อมกับผละจากไปยังที่ไกล
Comments