ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 956 พี่สาว (2)
ประตูของโรงพยาบาลเป็นประตูเหล็กสีดำที่มีรอยสนิม ลู่เซิ่งมองผ่านรั้วประตูไป เห็นเจ้าหน้าที่พยาบาลที่อายุมาก ผลักผู้ป่วยหลายคนออกมาอาบแดนในลาน
โรงพยาบาลน้อยครั้งจะมีเสียงดัง แทบไม่ได้ยินเสียงเอะอะ แม้แต่เสียงพูดก็เบาเสียจนไม่ได้ยิน
เจ้าหน้าที่พยาบาลทุกคนมีสีหน้าซึมเซา ถึงขั้นซึมกะทือ ไม่พูดอะไรสักคำ ไม่มีความกระตือรือร้นของคนเป็นพยาบาลเลย
ลู่เซิ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาพ่อหวังจัว
“ผมอยู่หน้าประตูแล้ว”
“เดี๋ยวพ่ออกไปรับ” ในโทรศัพท์มีเสียงชายวัยกลางคนที่กังวานแต่เหน็ดเหนื่อยดังมา
ลู่เซิ่งรออยู่สักพัก ไม่นานก็มีชายวัยกลางคนสวมสูทสีเทา พกพาขอบตาดำอันอิดโรย เดินออกมาจากห้องยามเฝ้าประตู มุ่งหน้ามาหาลู่เซิ่ง
“ตงตง ไปเถอะ ไปเยี่ยมพี่สาวลูก จากนั้นพวกเราจะไปกินข้าว”
“ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
หวังจัวเป็นพนักงานออฟฟิศผู้ซื่อสัตย์ ตอนนี้เป็นผู้จัดการอยู่ที่บริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่ง นิสัยสุจริต ขยันทำงาน
เบื้องบนให้ความสำคัญกับเขา ขึ้นตำแหน่งและเงินเดือนให้ต่อเนื่อง เดิมทีทุกอย่างนี้ราบรื่นดี น่าเสียดายที่เรื่องของหวังจิ้งได้ถ่วงการเลื่อนระดับของเขา ถึงขั้นทำให้การเงินที่เดิมอู้ฟู่ขัดสน
มองออกว่า ตอนหนุ่มๆ เขาเป็นหนุ่มหล่อทีเดียว
ร่างสูงใหญ่ บ่ากว้าง ผมสั้นที่ตัดเกรียนมีพลัง บวกกับสายตามั่นใจแน่วแน่ ชวนให้คนรู้สึกสนิทสนมและเชื่อมั่น
“ครั้งนี้ไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้าง เที่ยวสนุกไหม”
“พอได้ครับ ถึงจะมีเรื่องบ้าง แต่ก็ราบรื่น พี่เป็นยังไงบ้างครับ” ลู่เซิ่งถาม
“เจ้าหน้าที่พยาบาลที่ดูแลเธอ…หายตัวไป…เป็นรายที่สามแล้ว…ตอนนี้ไม่มีใครยอมดูแลเธอแล้ว” หวังจัวเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองเดินขึ้นบันได ไม่ได้ช้ลิฟต์ บันไดที่กว้างขวางเสียงฝีเท้าอันชัดเจนของทั้งสองดังมาเป็นระยะ
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ” ลู่เซิ่งถาม
“…ไม่รู้สิ พี่ของลูก…พี่ของลูกไม่รู้เรื่องอะไรเลย…ตอนนี้แม่ของลูกกำลังดูแลเธออยู่” หวังจัวถอนใจ
พอขึ้นชั้นสอง ลู่เซิ่งก็เห็น เจิ้งฮวน แม่ของร่างร่างนี้ที่หน้าห้องพยาบาลตรงสุดปลายทางเดินทางซ้ายมือสุด
ซึ่งปิดประตูสนิท
เธอยืนอยู่หน้าห้องพยาบาล มองไปด้านในผ่านหน้าต่างกระจกบนประตู ขอบตาแดง แสดงว่าเพิ่งร้องไห้
“ตงตงมาแล้วเหรอ” เจิ้งซวนหันไปเห็นลู่เซิ่งที่มาพอดี
“ทางโรงพยาบาลต้องการให้พวกเราพาเธอไปให้เร็วที่สุด พวกเขาไม่ต้องการรับไว้แล้ว ฉันลองเพิ่มเงินแล้ว…แต่…” หวังจัวส่ายหน้าอย่างหนักใจ
ลู่เซิ่งเข้าไปยืนหน้าหน้าต่าง แล้วมองไปด้านใน
ในห้องสีขาวกว้างขวาง ผู้หญิงผมดำในกระโปรงสีขาวคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ตรงมุมหนึ่ง ถือกระเป๋าถือใบเล็กสีขาวใบหนึ่งไว้ ผมยาวหนาปิดดวงตาของเธอ เพียงเห็นสองตาสีดำสนิทที่ว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาได้ผ่านเส้นผมเท่านั้น
“แต่ตอนนี้พวกเราจะรับเธอไปไว้ไหนได้” หวังจัวขยุ้มหนังศีรษะอย่างเจ็บปวด
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นบนระเบียงไกลออกไปก็มีเสียงทึบดังมา
พวกพยาบาลชะงักก่อน จากนั้นก็พากันมองไปยังต้นเสียง
กรี๊ด!
เสียงกรีดร้องดังระงม
“มีคนตาย!” พวกพยาบาลหนีออกมาจากห้องผู้ป่วยอย่างหวาดกลัว เผ่นหนีเตลิดเปิดเปิงไม่รู้ทาง
ลู่เซิ่งหันไปมองทางนั้น แล้วหันไปมองในห้องพยาบาล
สิ่งที่เห็นคือ ใบหน้างดงามที่ซีดขาวและซึมเซาของหวังจิ้งที่แนบติดกับกระจก
สองตาใต้ผมดำจ้องมองลู่เซิ่งเขม็ง
“ฉันไม่ชอบให้คนอื่นมาว่าฉัน” หวังจิ้งกล่าวอย่างราบเรียบ
ลู่เซิ่งเห็นพ่อกับแม่ต่างหันไปดูว่าทางนั้นเกิดอะไรขึ้น เหลือเขาคนเดียวอยู่ที่ประตู จึงถือโอกาสมองหวังจิ้ง
“พี่” เขาทดลองเรียกหยั่งเชิง
หวังจิ้งมองเขาอย่างเมินเฉย ทันใดนั้นก็ฉีกยิ้ม ก่อนจะถอยหลังไปถึงกลางห้อง
“เธอ ต่างจากเดิมนะ…” เธอพึมพำ
แม้เสียงจะเบา แต่ลู่เซิ่งได้ยินชัดเจน
“ก่อนหน้านี้เธอกลัวพี่มาก...” หวังจิ้งกล่าวเบาๆ
“ตอนนั้นผมยังเด็ก เลยไม่เข้าใจ ตอนนี้ผมเชื่อว่าพี่จะไม่ทำร้ายผม” ลู่เซิ่งกล่าวเสียงทุ้ม
ข้อนี้เขาไม่สงสัยจริงๆ เขาสัมผัสคลื่นพลังประหลาดได้จากตัวของหวังจิ้ง และสัมผัสความลับที่อธิบายไม่ได้บางอย่างด้วย
สิ่งเดียวที่สัมผัสไม่ได้ก็คือเจตนาร้าย
พอได้ยินประโยคนี้ มุมปากของหวังจิ้งก็ยกสูงกว่าเดิม
“กลับบ้านเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน” เวลานี้ในที่สุดหวังจัวกับเจิ้งฮวนก็ตัดสินใจพาหวังจิ้งกลับไปด้วยกัน
โรงพยาบาลจัดการขั้นตอนออกจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ สิ่งที่ทำให้คนนึกไม่ถึงก็คือ พวกเขาไม่เพียงไม่เก็บค่ารักษาในโรงพยาบาลของหวังจิ้งเท่านั้น ยังจ่ายเงินชดเชยให้บ้านหวังตงเพิ่มสิบเท่าตัวด้วย
หวังจัวที่อยู่ๆ ก็ได้เงินเพิ่มมา พาหวังตงกับหวังจิ้งไปซื้อข้าวของเครื่องใช้สำหรับผู้หญิงที่ห้างด้วยกัน
จากนั้นก็กลับบ้าน เก็บกวาดห้อง ซื้ออาหารมาทำกับข้าว ดูเหมือนหวังจิ้งจะไม่มีร่องรอยของคนเป็นโรคประสาทเลย
เธอนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟาอย่างว่าง่าย เหมือนกับเด็กผู้หญิงธรรมดา
ถ้าไม่ใช่คดีอำมหิตที่น่าขนพองสยองเกล้า ลู่เซิ่งคงไม่เชื่อว่าพี่สาวคนนี้จะเป็นคนป่วยโรคประสาทที่เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นตัวอันตราย
ขณะนั่งอยู่ด้านข้าง ลู่เซิ่งก็ค้นพบว่า บนข้อมือของหวังจิ้งเหมือนจะมีรอยแผลเป็นอยู่ไม่น้อย
พอสังเกตเห็นสายตาลู่เซิ่ง หวังจิ้งก็ยิ้มและยกมือขึ้นจับมือของเขา
“น้องชาย”
“พี่ชอบ”
เธอพูดเพียงเท่านี้ แต่จับมือลู่เซิ่งไว้แน่น
“พี่…” ลู่เซิ่งไม่มีประสบการณ์รับมือคนเป็นโรคประสาทมาก่อน แต่จากความทรงจำของหวังตง ก่อนหน้านี้พี่สาวคนนี้ไม่มีตัวตนอยู่เลย มีแต่ตอนที่มองเธอผ่านกระจกในโรงพยาบาลเป็นบางครั้งเท่านั้น
ตามเหตุผล หวังจิ้งไม่มีการใช้กำลังใดๆ สงบเสงี่ยมแบบนี้มาโดยตลอด ไม่เคยกรีดร้องหรือขัดขืน
แต่เธอถูกตัดสินว่าเป็นโรคประสาทตั้งแต่ตอนไหน แม้แต่พวกหวังจัวก็ตอบไม่ได้
เหมือนกับหลังจากรอบตัวของเธอเกิดคดีฆาตกรรม เธอก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นโรคประสาท ถูกขังในโรงพยาบาลจิตเวช
“กินข้าวได้แล้ว!” หวังจัวยกกับข้าวเดินออกจากครัว แล้ววางลงบนโต๊ะทีละจาน
เจิ้งฮวนกำลังแกะผ้ากันเปื้อน เดินออกจากห้องครัว
พอทั้งสองออกมา ก็เห็นหวังจิ้งจับมือของลู่เซิ่งทันที
“จิ้งจิ้ง! ทำอะไรน่ะ! รีบปล่อยมือเร็ว!” หวังจัวหน้าเหยเกทันที พุ่งเข้ามาแกะมือของหวังจิ้งออกอย่างแตกตื่นหวาดกลัว ก่อนจะลากลู่เซิ่งไปนั่งลงบนเก้าอี้ไกลๆ
หลังมือของหวังจิ้งถูกจับจนแดง แต่เธอยังคงยิ้มจางๆ เหมือนกับไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อครู่แม้แต่น้อย
“ไม่เป็นไรครับพ่อ พี่แค่จับมือผมเฉยๆ ผมไม่เป็นอะไร” ลู่เซิ่งเล่าอย่างงงงวยเล็กน้อย
“ดีแล้วล่ะ ดีแล้ว!” เจิ้งฮวนตกใจเช่นกัน เดินเข้ามากอดลู่เซิ่งแล้วเริ่มร้องไห้ด้วยใบหน้ากระวนกระวาย
“กินข้าวกัน” หวังจิ้งลุกขึ้น เดินไปนั่งข้างโต๊ะกินข้าวพร้อมกับกระโปรงขาวที่เหมือนภตพราย
หลังจากลู่เซิ่งปลอบพ่อและแม่ที่ตกใจกลัวอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ก็ลากพวกเขามานั่งกินข้าวพร้อมกัน
ขณะที่กิน เขาก็คอยสัมผัสสภาพร่างกายของหวังจิ้งไปด้วย
ประหลาดมาก เขาสัมผัสไม่เจอพลังที่รู้จักใดๆ บนร่างของพี่สาวคนนี้เลย ไม่มีพลังแห่งความว่างเปล่า ไม่มีพลังวิญญาณ และไม่มีพลังงานอื่นๆ
ดูเหมือนหวังจิ้งจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่าบทสรุปนี้ผิด
ขณะกินข้าวอย่างเร่งรีบ หวังจิ้งยังคีบเนื้อให้กับลู่เซิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ ใบหน้ายิ้มจางๆ อยู่ตลอด
ตู้ดๆๆ…
โทรศัพท์ที่หวังจัววางไว้ในครัวดังขึ้น
เขารีบลุกไปรับโทรศัพท์
ไม่นานนัก เขาก็เดินโซเซกลับมาด้วยสีหน้าซีดขาว ทรวงอกสะท้อนอย่างแรง ไม่กล้าเข้าหน้าหวังจิ้ง
“เกิด…เกิดอะไรขึ้นคะ” เจิ้งฮวนถามเสียงสั่น
“…” หวังจัวเงียบขรึม ก่อนจะหยิบทิชชู่แผนหนึ่งมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
ครู่ต่อมา เขาค่อยๆ เอ่ยตอบเสียงต่ำ
“โรงพยาบาลจิตเวชที่สาม…ไฟไหม้…ชั้นที่จิ้งจิ้งอยู่…คนสิบสามคนรวมถึงหัวหน้าพยาบาล…ไม่มีใครหนีรอดสักคน”
เงียบงัน
เงียบสนิทเหมือนความตาย
เคร้ง
ตะเกียบในมือเจิ้งฮวนกระแทกใส่ขอบชาม เธอพลันเหมือนตื่นจากฝัน รีบหยิบตะเกียบขึ้นมา ไม่มีอารมณ์กินอีกต่อไป หากก้มหน้าลงไม่กล้ามองหวังจิ้ง
พอลู่เซิ่งได้ยินข่าวก็ตกใจเหมือนกัน ก่อนจะมองไปยังพี่สาวหวังจิ้ง
หวังจิ้งมีสีหน้าอ่อนโยน มองเขาด้วยรอยยิ้ม
เงียบงันกันสักพัก
“จริงสิ ตอนนี้พี่อายุยี่สิบแล้วนี่ จะเข้ามหาวิทยาลัยหรือว่าไปทำงานเลยล่ะ” ลู่เซิ่งทำลายความเงียบ ใช้เสียงธรรมดาไม่ดังไม่เบาเอ่ยขึ้น
หวังจัวกับเจิ้งฮวนไม่ส่งเสียง ต่างก็ก้มหน้า ร่างสั่นเทา
แสดงให้เห็นชัดว่าพวกเขากำลังกลัว
เป็นพ่อเป็นแม่แท้ๆ กลับกลัวลูกสาวของตัวเอง นี่มันเรื่องประชดชันที่เลวร้ายที่สุดบนโลกจริงๆ
ในเมื่อพ่อแม่ไม่อยากพูด ลู่เซิ่งก็ไม่บังคับ มองหวังจิ้ง
“พี่จะไปเข้ามหาวิทยาลัยหรือไปทำงาน”
“พี่…จะอยู่บ้าน ไม่ไปไหน” หวังจิ้งมองเขายิ้มๆ
โครม
หวังจัวลุกขึ้น ลากเจิ้งฮวนออกจากโต๊ะอาหาร เข้าไปในห้องนอน ไม่นานก็มีเสียงสะอึ้นดังมาเบาๆ
บนโต๊ะอาหารจึงเหลือแค่หวังจิ้งกับลู่เซิ่ง
หลังจากเงียบลงสักพัก
หวังจิ้งยิ้มและมองลู่เซิ่งตลอด
“เธอ…กลัวไหม”
“ทำไมต้องกลัว” ลู่เซิ่งย้อน “พี่กลัวผมไหมล่ะ”
“ไม่…” หวังจิ้งตอบ
“แล้วผมจะกลัวพี่ทำไมล่ะ” ลู่เซิ่งมองกับข้าวบนโต๊ะ จากนั้นก็มองชามข้าวด้านหน้าหวังจิ้ง
“พี่จะยังกินอีกไหม ถ้าไม่กินก็เอาให้ผมนี่” เขาแย่งชามข้าวด้านหน้าหวังจิ้งไปเทใส่ชามใหญ่ของตัวเอง จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตากินอย่างตะกละ
หวังจิ้งงุนงเล็กน้อย ก้มหน้ามองแล้วพบว่า กับข้าวบนโต๊ะ นอกจากบางส่วนในชามตัวเองแล้ว ที่เหลือถูกน้องชายกินไปหมด…
สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดใจก็คือ น้องชายคนนี้…ไม่กลัวเธอ
ไม่มีอคติ ไม่มีความหวาดกลัว เพียงแค่ปฏิบัติกับเธอเหมือนพี่สาวธรรมดาๆ คนหนึ่ง
ความรู้สึกนี้ เธอไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกนี้มาก่อน...
เหมือนกับว่า แสงอาทิตย์เบาบางสาดลงบนร่าง หลังจากเดินออกมาจากมุมที่มืดครึ้มและชึ้นแฉะ
อบอุ่นอย่างมาก...
……………………………………….
Comments