ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 960 สื่อวิญญาณ (2)
ทั้งสองกินข้าวเช้าแบบลวกๆ ด้วยกัน ในตอนเช้า คนหนึ่งอ่านหนังสือ คนหนึ่งอยู่เฉยๆ ใช้เวลาเช้าอย่างเบื่อหน่าย
จุดประสงค์ในการมายังโลกใบนี้ของลู่เซิ่ง อันดับแรกคือการหาดวงตาแห่งความเลวทรามให้เจอ ในเมื่อตอนนี้มีเบาะแส ขอแค่ทำความเข้าใจว่าดวงตาดวงนั้นเป็นดวงตาแห่งความเลวทรามหรือไม่ ก็อาจจะยืนยันเป้าหมายได้
ส่วนการตรวจสอบพลังแห่งความว่างเปล่าเป็นแค่จุดหมายเสริมเท่านั้น
กลับนึกไม่ถึงว่าครอบครัวที่จุติลงมาในครั้งนี้ เหมือนจะไม่ธรรมดาอยู่บ้าง พี่สาวหวังจิ้งผู้เป็นโรคทางจิตคล้ายจะซ่อนความลับที่ไม่อยากให้ใครรู้เอาไว้
แต่เขาไม่ได้มีนิสัยสืบสาวถึงต้นตอ ในเมื่อเป็นความลับ ก็หมายความว่าอีกฝ่ายไม่อยากบอกคุณ
ในเมื่อไม่อยาก อย่างนั้นบังคับไปก็ไม่มีประโยชน์
พอกินอาหารกลางวันที่สั่งจากร้านอาหารเสร็จ ลู่เซิ่งก็คิดจะไปเดินเล่นรอบๆ เสียหน่อย การอยู่แต่ในห้องทำให้อึดอัด
เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย แต่ขณะจะออกไปด้านนอก
ก๊อกๆ
ประตูห้องกลับถูกเคาะ
เขาเดินไปเปิดช่องประตูกันขโมย
คนที่ยืนอยู่นอกประตู กลับเป็นหญิงงามที่มีหุ่นสูงเพรียวคนหนึ่ง
“จางฉีซวนหรือ” ลู่เซิ่งมองเธออย่างสงสัย
“ฉันเป็นลูกผู้พี่นายนะ!” จางฉีซวนเอ่ยอย่างจนปัญญาด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่เพิ่งจะเอ่ยปาก ก็นึกถึงฝ่ามือที่ลู่เซิ่งยื่นมาบังไว้ด้านหน้าตัวเองในเหตุการณ์ครั้งนั้น
หัวใจอดเต้นตึกตักไม่ได้ ก่อนจะข่มอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน
“ได้ยินมาว่าพี่สาวนายกลับบ้านแล้ว ฉันเลยมาเยี่ยมพี่จิ้ง” เธอลดเสียงลงอยางระมัดระวัง “พี่จิ้ง สบายดีไหม”
“สบายดี” ลู่เซิ่งพยักหน้า “จะเข้ามานั่งไหมล่ะ”
“ไม่ ไม่ล่ะ” จางฉีซวนสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีนส์ธรรมดา แต่ยังคงขับรูปร่างที่อกผายสะโพกงอนอย่างสมบูรณ์แบบ นี่เป็นส่วนที่เธอมั่นใจในตัวเองที่สุด
แต่เวลานี้ เธอกลับลืมตาโตเล็กน้อย มองหวังจิ้งที่โผล่ขึ้นด้านหลังลู่เซิ่งอย่างกะทันหัน
ไม่ใช่เกิดจากความท้อแท้ที่รูปร่างถูกกลบ แต่เป็นเพราะ
กลับให้คนที่เป็นโรคทางจิตอย่างเธอเดินเพ่นพ่านในบ้าน!
นี่มันอันตรายนะ!
หวังจิ้งที่ยืนด้านหลังลู่เซิ่งเพียงมองเธอเงียบๆ จางฉีซวนก็รู้สึกขนลุกขนพอง รูขุมขนผุดออกมาเหมือนกับหน่อไม้หลังฝนตก
“ฉะ ฉันยังมีธุระ ขอตัวก่อนนะ!” จากนั้นเธอก็หมุนตัววิ่งหนีอย่างทุลักทุเลโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ในใจนึกถึงข่าวอันตรายมากมายเกี่ยวกับลูกผู้พี่ที่ได้เคยฟังมาก่อนหน้า
ลู่เซิ่งมองจางฉีซวนที่ตาลีตาลานหนีไปอย่างสงสัย ไม่ต้องหันกลับไป เขาก็สัมผัสได้ถึงร่างกายอันอบอุ่นที่แนบชิดกับแผ่นหลังของตน สัมผัสอันอวบอิ่มและอ่อนนุ่มทำให้เขาเทียบกับจางฉีซวนที่เพิ่งหนีไปไม่ได้
“มีแต่ฉันเท่านั้นที่สนองความต้องการของเธอได้” หวังจิ้งเริ่มพูดจาไร้สาระอีกรอบ
ลู่เซิ่งชินเสียแล้ว เขาปิดประตู เตรียมจะนอนกลางวันสักงีบ
แน่นอนว่าเปลือกนอกคือการงีบ ความจริงคือการฝึกฝน
เช้าตรู่วันต่อมา คนของสำนักเคลื่อนภูผาก็มาถึง
รถสีขาวปลอดจอดลงหน้าตึก ลู่เซิ่งพาหวังจิ้งที่สวมรองเท้าเดินออกจากลิฟต์
คนหนุ่มตัดผมสั้นที่สวมชุดหม่ากั้ว[1]สีขาวสองคนกำลังรออยู่ที่ด้านข้างรถ ต่างมองมาที่ลู่เซิ่ง
“เชิญเลยศิษย์น้อง” คนหนึ่งในนี้พูดพลางเปิดประตูรถ
“นายคือหนึ่งในศิษย์ห้าคนที่ครั้งนี้ทางสำนักของเราให้ความสำคัญมากที่สุด ต่อจากนี้หากว่าเจริญก้าวหน้า ขอให้ดูแลมากๆ ด้วยล่ะ ฉันชื่อเฉินฉี เขาชื่อเยหรูหลิน เข้าสำนักก่อนหน้าหลายปี ถือว่าเป็นศิษย์พี่ของนาย”
“สวัสดีครับศิษย์พี่” ลู่เซิ่งประสานมือ แล้วดึงหวังจิ้งเข้ามา “นี่หวังจิ้งพี่สาวของผม ผมชื่อหวังตง”
ชายหนุ่มทั้งสองคนมองหวังจิ้ง แวบแรกคือความความทึ่ง แต่ถัดจากนั้นกลับบังเกิดความขยะแขยงที่ไร้ที่มาขึ้นในใจเองโดยอธิบายไม่ได้
อารมณ์อันยากบรยายนี้ ทำให้พวกเขาขวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว เบือนสายตาออกจากร่างหวังจิ้งอย่างรวดเร็ว
หวังจิ้งชินกับการเปลี่ยนแปลงทางสายตาในระดับนี้อยู่แล้ว
รูปลักษณ์ของเธองดงามมาก ใส่เสื้อผ้าเซ็กซี่ กระโปรงสีขาวคลุมถึงแค่กลางขาอ่อน ถุงน่องดำขับขาที่เรียวยาวและสมบูรณ์แบบ
แต่ก็ไม่มีประโยชน์
สิ่งมีชีวิตใดๆ ขอแค่เข้าใกล้เธอ ก็จะเกิดความรังเกียจ เมื่ออยู่ด้วยนานเข้าก็จะกลายเป็นความเคียดแค้นชิงชัง สุดท้ายก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเจตนาร้ายและจิตสังหาร
นี่เป็นธรรมชาติของการทำลายล้าง
การนำพาสิ่งมีชิวิตทุกอย่างสู่การทำลายล้างตามธรรมชาติ นี่เป็นพลังพื้นฐานสุดของเธอ หรือเหตุแห่งภัยพิบัติ
ขณะเดียวกันก็เป็นคำสาปที่ชั่วร้ายที่สุดด้วย
ความจริงตั้งแต่ยุคโบราณกาลเป็นต้นมา เทพแห่งการทำลายล้างไม่ได้มีเพียงสี่คน ในยุคที่มากที่สุดมีเกินสิบคน
ทว่าในกาลเวลาอันยาวนาน เทพแห่งการทำลายล้างที่เหลือต่างคลั่งขึ้น กลายเป็นสัตว์ป่าที่รู้จักแต่การทำลาย
ไม่มีใครอยู่ร่วมกับพวกเขาได้ ไม่มีใครเข้าใจพวกเขา ความโดดเดี่ยวที่กินเวลายาวนานนี้ทำให้พวกเขาสิ้นหวังในท้ายที่สุด และเลือกเข้าใกล้กัน เลือกใช้คุณสมบัติทำลายล้างของอีกฝ่ายทำลายตัวเอง สุดท้ายก็หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
หวังจิ้งกลับมาเกิดใหม่ได้ยี่สิบปี ย่อมทราบหลายๆ เรื่องจากบริวาร
ความจริงเทพแห่งการทำลายล้างที่เหลืออยู่ในตอนนี้มีคนหนึ่งที่เป็นบ้า กลายเป็นสัตว์ป่าไปแล้ว และถูกเทพแห่งการทำลายล้างคนอื่นร่วมมือกันสังหาร
หมายความว่า บนโลกในเวลานี้เหลือเทพแห่งการทำลายล้างแค่สามคน
บางครั้งเธอก็นึกว่าโชคดี ถ้าไม่ใช่ตนเลือกลบความทรงจำของทุกชาติทิ้ง และเกิดใหม่อย่างต่อเนื่อง เกรงว่าตอนนี้เธอคงเลือกทำลายตัวเองไปนานแล้ว
เหตุแห่งภัยพิบัติเหมือนจะมีขุมกำลังบริวารยิ่งใหญ่ แต่ความจริงต่างไม่อยากอยู่ใกล้เธอนานเกินไป
พวกเขาก็เหมือนกับคนธรรมดา หากอยู่ใกล้เธอนานเพียงเล็กน้อย ก็จะถูกคุณสมบัติทำลายล้างดึงดูดสู่การทำลายล้างในท้ายที่สุด
ตึง
ประตูรถปิดลง
ศิษย์พี่สำนักเคลื่อนภูผานั่งอยู่แถวหน้า ลู่เซิ่งกับหวังจิ้งนั่งอยู่แถวหลัง หวังจิ้งแอบอิงบนตัวลู่เซิ่ง บางครั้งก็ส่งเสียงหายใจสม่ำเสมอแช่มช้า คล้ายกำลังหลับไหล
ลู่เซิ่งหันไปมองนอกหน้าต่าง
เป็นเพราะหวังจิ้งอยู่ จึงคุยเรื่องผู้สื่อวิญญาณไม่ได้ เรื่องนี้จำเป็นต้องเก็บเป็นความลับต่อหน้าคนธรรมดา เพื่อที่รัฐบาลจะได้จัดการได้สะดวก
ลู่เซิ่งหันไปมองนอกหน้าต่างด้วยความเบื่อหน่าย รถราที่ไหลหลั่งไม่ขาดสายถูกรถคันนี้แซงอย่างต่อเนื่อง
ศูนย์ใหญ่ของสำนักเคลื่อนภูผาอยู่ไม่ไกล รถแล่นเป็นเวลาราวหนึ่งชั่วโมง หลังจากขับเข้าอุโมงค์ยาวสายหนึ่งแล้วออกมาอีกครั้ง ก็เข้ามาในอาณาเขตอีกแห่งแล้ว
ภูเขาเปลี่ยวสองด้านเชื่อมต่อกันไปไม่ขาดตอน เห็นหลุมฝังศพขนาดต่างๆ ได้ทั่วภูเขา
สถานที่บางส่วนมีสุสานแบบสั่งทำ แต่ดูรกร้างมานาน ไม่มีใครดูแล
การดำรงอยู่ของหวังจิ้งทำให้ลู่เซิ่งรู้สึกการพาเธอขึ้นเขาจะทำอะไรไม่สะดวก ดังนั้นตอนไปถึงที่ตีนเขาของสำนักเคลื่อนภูผา เขาถึงได้ให้หวังจิ้งไปอยู่ในโรงแรมที่หรูที่สุดในตัวอำเภอใต้ตีนเขา
จากนั้นก็สั่งให้เธออย่าไปไหน แล้วตามศิษย์พี่สองคนขึ้นเขาไป
สำนักเคลื่อนภูผาฟังชื่อเหมือนเก่าแก่ แต่ความจริงศูนย์ใหญ่ตั้งอยู่ในคฤหาสน์ที่สร้างขึ้นบนสันเขา
ลู่เซิ่งซึ่งนั่งรถขึ้นเขาไปตามถนนหลวง ไม่นานก็เห็นตึกใหญ่ยอดแหลมที่สูงสิบกว่าชั้นของศูนย์ใหญ่
กลุ่มสิ่งก่อสร้างสีขาวดูค่อนข้างสะดุดตาเมื่อตั้งอยู่กลางป่าเขาสีเขียวชะอุ่ม
มีกำแพงสูงสีเทาห้อมล้อมรอบกลุ่มสิ่งก่อสร้าง บนกำแพงมีตาข่ายไฟฟ้ากับกล้องวงจรปิด ซ้ำยังมีคนคอยลาดตระเวนอยู่บนกำแพงหนา
หวงย่ากับชายหญิงวัยกลางคนหน้าตาเอาจริงเอาจังอีกหลายคนยืนรออยู่ที่ประตูใหญ่
รถยนต์จอดลง ลู่เซิ่งลงจากรถ หวงย่าเข้ามาต้อนรับ
“ไปเถอะ คุณลุงจัดการทุกอย่างไว้แล้ว ไปเข้าร่วมการทดสอบพื้นฐานก่อน จากนั้นจะประเมินขีดจำกัดทางกายเนื้อของนาย ดูว่าเหมาะจะฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณวิชาไหน”
“ได้” ลู่เซิ่งมองเห็นสายตาพิจารณาของชายหญิงวัยกลางคนเหล่านั้น ทราบว่าถ้าพวกเขาไม่มาด้วยตัวเอง ก็คงไม่เชื่อว่าคุณสมบัติของเขาดีขนาดไหน
แต่นี่เป็นธรรมชาติของคน
จากนั้นเขาก็ตามหวงย่าเข้าไปในกำแพงสูง
พวกเขาหักเลี้ยวหลายรอบบนเส้นทางระหว่างกลุ่มสิ่งก่อสร้าง ไม่นานก็เข้ามาในสิ่งก่อสร้างสูงใหญ่ที่มีหลังคาโดมเหมือนเห็ด
ขณะที่เดินอยู่ หวงย่าก็คอยแนะนำสิ่งที่ลู่เซิ่งสนใจให้ฟังด้วย
“จะว่าไป เดิมทีบนโลกนี้ไม่มีมารมายาหรอก ว่ากันว่า อยู่มาวันหนึ่ง ท้องฟ้าก็ปรากฏวังวนยักษ์ เหล่าผู้สื่อวิญญาณบนโลกต่างก็มีดวงตาสำหรับมองภายใน จึงเห็นร่างวิญญาณได้ หลังจากวังวนกลางท้องฟ้าปรากฏ เหล่าผู้สื่อวิญญาณก็เห็นแมลงสีดำนับไม่ถ้วนที่ค่อยๆ โผล่มาจากด้านใน”
“แมลงสีดำเหรอ”
“ถูกต้อง เป็นเนื้อหาบนแผ่นหินแผ่นนั้น แมลงสีดำ หมอกดำ สัตว์ประหลาดสีดำ สุดท้ายนี่ก็คือมารมายา” หวงย่าแนะนำอย่างเรียบง่าย
“มารมายาจะกลืนกินชีวิต และให้ความสำคัญกับการกลืนกินวิญญาณของผู้สื่อวิญญาณก่อน ดังนั้นพวกเรากับพวกมันจึงเป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ”
ลู่เซิ่งพยักหน้าเหมือนฉุกนึกอะไรได้ ดูเหมือนมารมายาจะเหมือนคนที่มาจากที่อื่น ข้ามจากมิติอื่นมายังที่นี่
ทั้งสองเข้าไปในสิ่งก่อสร้างรูปเห็ด คนสวมชุดหม่ากั้วสีขาวกลุ่มหนึ่งด้านในรีบรุมล้อมเข้ามา เริ่มตรวจสอบค่าพลังและประเมินข้อมูลต่างๆ ทางร่างกายให้แก่ลู่เซิ่ง
เพียงแต่เข็มเหล็กที่ผ่านการเสริมแกร่งกลับแทงผิวลู่เซิ่งไม่เข้า
“ผ่อนคลายหน่อยๆ! ถ้าคุณไม่ผ่อนคลายพวกเราก็เอาเลือดไปตรวจไม่ได้นะ” หมอร้องตะโกนด้วยเหงื่อที่แตกเต็มศีรษะ
ลู่เซิ่งผ่อนคลายร่างอย่างหมดคำพูด
ยุ่งอยู่นานสองนาน ก็เก็บหยดเลือดมาจากตัวเขาได้เล็กน้อยเท่านั้น
“จากนี้จะเป็นการทดสอบขีดจำกัดกายเนื้อ”
หวงย่าเองก็หมดคำพูดเช่นกัน พาลู่เซิ่งขึ้นบนบนสังเวียนที่เหมือนกับเวทีมวย
บนสังเวียนมีชายฉกรรจ์ตัดผมเกรียนยืนอยู่สักพักแล้ว
“เฮนรี ใช้พลังวิญญาณ” ชายคนหนึ่งที่เหมือนจะรู้ว่าร่างกายลู่เซิ่งแข็งแกร่ง ขึ้นไปสั่งการ
“เด็กขนาดนี้จะไหวเหรอ” เฮนรีมองลู่เซิ่งที่มุดเข้าเวที
“เฮนรีถึงขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์เหมือนกัน บวกกับพลังวิญญาณ เมื่อรับมือกับนาย น่าจะประเมินค่าขีดจำกัดของนายได้” หวงย่าแนะนำ
“อื้อ” ลู่เซิ่งยืดบ่า ยืนอยู่กลางสังเวียน
นี่คือโอกาส โอกาสในการประเมินระบบพลังของผู้สื่อวิญญาณ เขาคิดจะลองใช้ขีดจำกัดร่างกายมนุษย์สิบสามเท่า ทดลองพลังพิเศษของผู้สื่อวิญญาณดู
หวงย่ายืนอยู่ด้านล่างสังเวียน มองไปยังด้านนอกกลุ่มคน ที่อยู่รอบนอกไม่ไกลออกไป หวงอวิ๋นซื่อมาถึงที่นี่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ด้านข้างเขายังมีคนยืนอยู่ด้วยคนหนึ่ง
เป็นหญิงสาวผมยาวผู้สวมแว่นตาสีขาว เธอใส่เสื้อคลุมสีขาว บนหน้าอกมีลายเสือขนาดใหญ่ที่แพรวพราวอยู่ด้วย
“เขาคือหนึ่งในห้าตัวเลือกเมล็ดวิญญาณหรือ” เธอถามเบาๆ
“อนาคตต้องฝากไว้บนตัวห้าเมล็ดวิญญาณซึ่งเป็นคนรุ่นหลังอย่างพวกเขาแล้ว และคนที่ฉันให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือหวังตง” หวงอวิ๋นซื่อกล่าวอย่างราบเรียบ รอยแผลเป็นบนศีรษะสั่นเล็กน้อยเวลาเขาพูด
“ก่อนหน้านี้มีสี่ไม่ใช่หรือ” หญิงสาวขมวดคิ้ว
“ปรากฏตัวเลือกใหม่ เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ย่าซวนค้นพบที่ต่างประเทศ” หวงอวิ๋นซื่อตอบ
“แต่หวังตงเป็นแค่นักเรียน ให้เฮนรีที่ฝึกถึงขีดจำกัดร่างกายมนุษย์ใช้พลังวิญญาณ มีความจำเป็นหรือ” หญิงสาวกังขา
“เฮนรีจะออมมือให้” หวงอวิ๋นซื่อหยีตา มองสองคนบนสังเวียนโค้งคำนับกัน เตรียมจะเริ่ม
ลู่เซิ่งพิจารณาชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่ยืนอยู่ด้านหน้า
เฮนรีก็พิจารณาลู่เซิ่งที่ดูร่างสมส่วนเช่นกัน
“ได้ยินมาว่านายเป็นหนึ่งในห้าเมล็ดพันธุ์ที่สำนักเลือกในครั้งนี้เหรอ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ ร่างกายอ่อนแออย่างนายได้รับเลือกให้เป็นห้าเมล็ดวิญญาณเหรอเนี่ย”
เขาสวมนวมและถูเข้าด้วยกัน
“รู้ไหมว่าฉันเหม็นขี้หน้าเด็กๆ อย่างพวกนายตรงไหน” เขาชี้ตาตัวเอง
“สายตาน่ะสายตา”
เฮนรีหัวเราะ
“เจ้าหนู ฉันน่ะไม่ชอบสายตานาย ถ้าถูกฉันเล่นเกือบตายก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่เตือนล่ะ”
“ได้ยินมาว่าเด็กรุ่นๆ เดียวกับนายชอบกลับบ้านไปร้องไห้ขี้มูกโป่งกับแม่ตอนโดนเล่นงานที่สุดหรือไงนี่แหละ” เฮนรีพ่นคำเยาะเย้ยบนสังเวียนไปเรื่อยๆ
ลู่เซิ่งยืนอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร
หวงอวิ๋นซื่อที่อยู่ด้านล่างเห็นดังนั้นก็พยักหน้า
“โดนยั่วขนาดนี้แล้วยังไม่เกิดโมโห จิตใจถือว่ายอดเยี่ยมทีเดียว”
หญิงสาวเสื้อคลุมขาวก็พยักหน้าเช่นกัน
“ดูเหมือนครั้งนี้พวกเราจะเจอเมล็ดพันธุ์ที่ดีจริงๆ”
ตูม!
ยังไม่ทันสิ้นเสียง พื้นครึ่งหนึ่งของสังเวียนก็แยกออก เงาดำสายหนึ่งพุ่งออกไปดุจกระสุนปืนใหญ่ แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงด้านในสิ่งก่อสร้าง
กำแพงแตกออก สิ่งก่อสร้างสั่นไหว ภาพจิตรกรรมฝาผนังหล่นลงมาจากเพดานหลายส่วน เผยให้เห็นรูโหว่รูปร่างคน
หญิงสาวเสื้อคลุมขาวอ้าปากตาค้าง คนที่เหมือนกับเธอยังมีหวงอวิ่นซื่อที่อยู่ด้านข้าง
……………………………………….
[1] ชุดหม่ากั้ว คือเสื้อคลุมสั้นที่ใส่ในสมัยราชวงศ์ชิง
Comments