ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 961 เบาะแส (1)
ก้อนหินก้อนใหญ่ร่วงกราวลงมาจากเพดาน
คนที่มุงดูอยู่โดยรอบเหมือนตื่นจากฝัน รีบหลบและป้องกันหินที่ตกลงมา
ลู่เซิ่งชักแขนออกจากพื้น สังเวียนรอบๆ เขาเหมือนกับถูกมังกรยักษ์เหยียบใส่ ปรากฏหลุมลึกขนาดมหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางห้าเมตรกว่าๆ
และสังเวียนก็มีขนาดเพียงหกเมตรเท่านั้น
ตูม
เงาคนสายหนึ่งร่วงดิ่งลงมาจากในรูโหว่รูปคนบนเพดาน กระแทกกับพื้น กลิ้งไปหลายตลบ ใบหน้านั้นคือเฮนรี
ร่างของเขาห่อหุ้มอยู่ในม่านแสงโปร่งแสงเบาบาง สภาพน่าอนาถ ใบหน้าอาบเลือด แต่เหมือนว่าจิตใจจะไม่เลว
“กะ…เก่งมากไอ้หนู!” เขาเค้นรอยยิ้มและยกนิ้วโป้งให้แก่ลู่เซิ่ง
“ขอโทษที ผมไม่ได้ตั้งใจ” ลู่เซิ่งเอ่ยขอโทษอย่างรู้สึกผิด
เขามองออกว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วโมโห เขาจึงออกแรงช่วยสาธิตให้เขาเห็นเท่านั้น เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า…
“นี่คือขีดจำกัดของเธอเหรอ ไม่เลว! ไม่เลวเลย!” ด้านข้างมีเสียงปรบมือดังมา
หวงอวิ๋นซื่อกับหญิงสวมเสื้อคลุมขาวค่อยๆ เข้ามาใกล้ แหวกฝูงชนออกมา ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มแตกตื่นยินดี
“กายเนื้อที่แข็งแกร่งแบบนี้จะต้องบ่มเพาะกายวิญญาณที่แข็งแกร่งถึงขีดสุดได้แน่นอน!” หญิงสาวสวมเสื้อคลุมขาวถอนใจชมเชย “ครั้งนี้พวกคุณโชคดีจริงๆ”
“หวังตง นี่ตาฉันเอง!” หวงย่ารีบวิ่งเข้ามาแนะนำ
“สวัสดีครับผู้อาวุโส” ลู่เซิ่งพยักหน้าทักทาย
“ไม่ต้องเกรงใจไป” หวงอวิ๋นซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เฮนรีเองก็ไม่เป็นไร มีโล่คุ้มกันฉุกเฉินอยู่ด้วย เขาแค่บาดเจ็บภายนอกเท่านั้น ดูเหมือนน่าตกใจ แต่ความจริงแค่ถลอกๆ”
“ไปโถงสำนักด้วยกันเถอะ” เขาเสนอ “คัมภีร์สื่อวิญญาณอยู่ที่นั่นหมดแล้ว”
“หากคิดจะเป็นผู้สื่อวิญญาณ อันดับแรกต้องเรียนคัมภีร์สื่อวิญญาณ หรือวิชาสื่อวิญญาณเสียก่อน และวิชาสื่อวิญญาณก็มีหลากหลายประเภท สิ่งที่นายต้องทำคือการตามหาประเภทที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด” หวงย่าอธิบายเพิ่ม
ลู่เซิ่งพยักหน้า มองเฮนรีที่ถูกรุมช่วยชีวิตอยู่ไม่ไกลออกไป และเอ่ยอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง
“เขาไม่เป็นไรแน่เหรอครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก การคุ้มกันจากวิชาสื่อวิญญาณจะทำให้เขาฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว วางใจเถอะ” หวงอวิ๋นซื่อกล่าวยิ้มๆ
ลู่เซิ่งอดมองเฮนรีอีกรอบไม่ได้ เขากำลังกระอักเลือดคำโตออกมา หน้าซีดเผือด ราวกับจะขาดใจตายได้ทุกเวลา
“ตกลงครับ” ในเมื่ออีกฝ่ายว่ามาแบบนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
หวงอวิ่นซื่อกับหญิงสาวสวมชุดคลุมขาวเป็นฝ่ายนำทาง กลุ่มคนเดินไปยังสิ่งก่อสร้างทรงหอคอยแห่งหนึ่ง ณ ส่วนลึก
“การฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณอันตรายเป็นอย่างมาก หากมีปัญหาหรือข้อขัดข้องอะไร สามารถมาหาฉันได้เลย” หวงอวิ๋นซื่อกล่าวกับลู่เซิ่งอย่างอ่อนโยนยิ่ง “นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ และอีเมลล์ของฉัน”
เขาส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้ลู่เซิ่ง
“ครับ ขอบคุณครับผู้อาวุโส”
“นอกจากนี้ หลานสาวของฉันหวงย่าจะพยายามตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของเธออย่างเต็มที่ หากมีธุระแล้วติดต่อฉันไม่ได้ ให้ติดต่อเธอก่อนได้เลย” หวงอวิ๋นซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งผงกศีรษะ
ทุกคนเดินเข้าไปในหอคอยสูง
หอคอยเหมือนกับรูปของดีเอ็นเอที่หมุนขดขึ้นด้านบน ตรงกลางของตัวหอคอยที่เหมือนกับห่วงโซ่ยีนคือลิฟต์โลหะที่บางและปลอดโปร่ง
ตอนที่ลิฟต์พุ่งขึ้นด้านบน มีลมเย็นมากมายโกรกเข้ามาผ่านร่องแยก
ลิฟต์ขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว ชั้นที่สิบ ชั้นที่ยี่สิบ ชั้นที่สามสิบ ตอนที่ใกล้จะถึงชั้นบนสุดนั่นเอง
ผัวะ
“เธอรู้ไหมว่าตัวเองทำอะไรอยู่เจินเย่!”
กลางระเบียงในหอคอยชั้นที่สามสิบเอ็ดทางขวามือ ชายหนุ่มหล่อเหลาผมทองคนหนึ่งผลักหญิงสาวบนตัวออกไปอย่างกระหืดกระหอบ เม้มริมฝีปากล่างที่เลือดออก ใช้สายตาเศร้าใจ โกรธแค้น และใจสลายมองหญิงสาวที่เงียบขรึม สวมเสื้อสีดำสนิท และสวมสร้อยข้อมือกระดิ่ง
หวงย่าอดเอามือปิดหน้าไม่ได้
“คนคนนั้นคือศิษย์พี่ของนาย เป็นหนึ่งในห้าเมล็ดวิญญาณ ชื่อเฟ่ยเสี่ยว ด้านข้างเขาคือเจินเย่ หนึ่งในศิษย์เมล็ดวิญญาณที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กของเขา เจินเย่ชอบเฟ่ยเสี่ยวมานานแล้ว ตอนนี้ดูเหมือน...”
เธอไม่ได้พูดต่อ ตอนนี้ลู่เซิ่งเห็นหญิงสาวที่ชื่อเจินเย่หมุนตัววิ่งไป เฟ่ยเสี่ยวยืนนิ่งอยู่กับที่ สุดท้ายก็ไล่ตามไปด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“นึกถึงสมัยโน่น ฉันเองก็เคยจีบเด็กผู้ชายคนหนึ่งเหมือนกัน” หญิงสาวเสื้อคลุมขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“จากนั้นล่ะ” หวงอวิ๋นฉือถามอย่างสงสัย
“ต่อมามารมายามาถึง เขาตายทั้งครอบครัว” หญิงสาวเสื้อคลุมขาวค่อยๆ หุบยิ้ม
“เอาล่ะ มาถึงแล้ว” ลิฟต์ขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงชั้นบนสุด
กระแสอากาศกระจายตัว ประตูลิฟต์ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นระเบียงเย็นเยียบที่มืดสลัวและล้ำลึกสองฟากข้าง
“ทีนี่คือยอดหอคอยเหรอครับ” ลู่เซิ่งถามพลางขมวดคิ้ว
“หนี่งในวิชาสื่อวิญญาณ เคยได้ยินเรื่องผีทะลุกำแพงไหม นี่เป็นผลอย่างหนึ่ง” หวงอวิ๋นชื่ออธิบายด้วยรอยยิ้ม
“ผีทะลุกำแพง ความจริงเป็นวิชาวิญญาณที่เกี่ยวข้องกับการรบกวนจิตใจและการใช้ภาพหลอนอำพราง แต่หลังจากภาพหลอนนี้ผ่านการพัฒนามาหลายปี ก็มั่นคงถึงขีดสุดแล้ว” ดังนั้นพวกเราจึงใช้ผีทะลุกำแพงสร้างภาพหลอนบนตัวคน และบันทึกสิ่งที่ต้องบันทึกลงไปในภาพหลอน”
“ดูเหมือนมิติทับซ้อนมากใช่ไหม” หวงอวิ๋นซื่อก้าวออกจากลิฟต์ “แต่ความจริงเป็นภาพหลอนที่เกิดขึ้นเพราะประสาทสัมผัสของเธอได้รับผลกระทบเท่านั้น ความรู้และวิชาวิญญาณของพวกเราถูกเก็บอยู่ในภาพหลอน”
ลู่เซิ่งเกิดความสนใจเล็กน้อย เก็บความรู้เอาไว้ในภาพหลอนหรือ นี่กลับเป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว
“พวกเรามาทำความรู้จักกับธรรมชาติของมารมายาก่อนเถอะ…”
…
หวังจิ้งนั่งอยู่บนกรอบหน้าต่าง ผมยาวสีดำปลิวตามลม เผยให้เห็นต่างหูดอกบัวดำที่ติดไว้บนติ่งหู
เธอนั่งแบบนี้มานานเท่าไรก็ไม่รู้ หลังจากลู่เซิ่งส่งเธอมายังห้องของโรงแรมแห่งนี้ เธอก็นั่งอยู่ตำแหน่งนี้มาโดยตลอด ไม่ขยับไปไหน
“เจอหรือยัง สิ่งที่น้องชายฉันต้องการหา ของสิ่งนั้น” เธอโพล่งถาม
“นายข้า ให้เวลาพวกเราอีกหน่อยเถอะ…มีเบาะแสบ้างแล้ว” เสียงผู้หญิงที่แหลมสูงคนหนึ่งดังขึ้นในห้อง
“เร่งมือเข้าเถอะ ฉันอยากจะมอบความประหลาดใจให้เขา” หวังจิ้งเอ่ยอยางราบเรียบ
“นอกจากนี้ นายข้า ประมุขแห่งบูรพากำลังจะตื่นแล้ว ต้องการตามตัวบุตรีของตัวเองกลับไป…ท่านว่า”
“ไม่ต้องสนใจ” หวังจิ้งสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง “บนโลกใบนี้ไม่ใครขัดขืนฉันได้ ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่เว้น”
“แต่ทำแบบนี้ต่อไปจะดีจริงๆ หรือ” เสียงผู้หญิงเสียงนั้นถามเบาๆ
“ไปเสีย” หวังจิ้งหลับตา ไม่พูดอะไรอีก
เสียงผู้หญิงทราบว่าตนพลั้งปากไป จึงเงียบเสียง และจากไปไกลอย่างรวดเร็ว
…
ตูม
การสั่นสะเทือนเบาๆ ส่งมาจากพื้นหอคอย
หวงอวิ๋นซื่อที่กำลังอธิบายประวัติการศึกษามารมายาให้ลู่เซิ่งฟังชะงักไปเล็กน้อย
“ผู้อาวุโส นักโทษฝ่าวงล้อมที่สามได้แล้ว ตอนนี้เทวทูตเจ็ดเคหาสน์กำลังล้อมจับกุมอยู่ ยังขวางมันไว้ไม่ได้ค่ะ” ผู้หญิงที่สวมเสื้อแนบเนื้อสีแดงเข้มคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านข้างหวงอวิ่นซื่อและรายงานเบาๆ
“พวกมันฝ่าวงล้อมได้ยังไง ฉันจำได้ว่าแจ้งให้ตาเฒ่าเก้าไปแล้วนี่” หวงอวิ๋นซื่อนิ่วหน้า ถามเสียงทุ้มต่ำ
“สถานการณ์แน่ชัดๆ ยังไม่ทราบค่ะ แต่เจ้านั่นสนิทกับนายน้อย พวกเราสัมผัสได้ถึงคลื่นที่กระจายขึ้นบนตัวนายน้อย เป็นไปได้ว่าจะ…” หญิงคลุมหน้ารายงาน
“เกิดอะไรขึ้นหรือ” หญิงสาวสวมเสื้อคลุมขาวถาม
“เรื่องเล็กๆ น่ะ มารมายาสายเลือดผสมมนุษย์ตนหนึ่งเกิดคลั่งขึ้นมา ทำร้ายคนไปไม่น้อย สำนักเคลื่อนภูผาของเราส่งคนไปจัดการแล้ว เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเจ้าเลือดผสมนั่นจะมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าลูกชั่วด้วย ไม่ทราบใช้วิธีอะไรล่อลวงเขา”
“พวกเราจัดการได้แน่” หวงอวิ๋นซื่อเอ่ยอย่างมั่นใจเต็มร้อย
“อย่างนั้นก็ดี” หญิงสาวสวมเสื้อคลุมขาวพยักหน้า
ลู่เซิ่งยืนมองหวงย่าอยู่ด้านข้าง หญิงสาวคนนี้กำลังอธิบายสถานการณ์ให้เขาฟังเบาๆ
“เดิมทีสำนักเคลื่อนภูผาของเรามีหน้าที่รักษาความมั่นคงในที่ลับของสาธารณรัฐ ดังนั้นแม้ว่ามารมายากับเลือดผสมเผ่ามนุษย์จะเป็นมารมายา แต่ก็เป็นตัวแปรที่ไม่แน่นอนถึงขีดสุดเช่นกัน จำเป็นต้องปราบปรามให้ได้”
“ดังนั้นเลยเกิดปัญหา แถมยังมีพวกเดียวกันเข้าร่วมด้วยหรือ” ลู่เซิ่งย้อน
หวงย่าสะอึก แต่ยังคงเค้นรอยยิ้มออกมาได้
“นี่เป็นแค่อุบัติเหตุ มีผู้เฒ่าที่เก้าออกหน้า เชื่อว่าไม่นานก็แก้ไขได้”
“ดีแล้ว” ลู่เซิ่งไม่สนใจเรื่องในบ้านคนอื่น
“ฉันจะอธิบายประวัติการศึกษามารมายาให้ฟังต่อนะ” หวงอวิ๋นซื่อที่อยู่ด้านข้างสั่งการไปพอประมาณ ก่อนจะหมุนตัวมาพูดต่อ
“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การศึกษามารมายาของผู้สื่อวิญญาณได้ทำมาหลายพันปีแล้ว…” หวงอวิ๋นซื่อยังไม่ทันพูดจบ หอคอยก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง
ไม่นานก็มีคนสวมเสื้อสีแดงคนหนึ่งมาพูดคุยหวงอวิ๋นซื่ออีกรอบ
“ย่าย่า หลานไปจัดการปัญหานี้หน่อย”
หวงย่าพยักหน้า ก่อนจะค่อยๆ ล่าถอยไป
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” ลู่เซิ่งถามตามตรง
“มีหนูสองตัวเข้ามาในสำนัก ไม่ต้องสนใจ เดี๋ยวก็จัดการได้” หวงอวิ๋นซื่อเอ่ยอย่างราบเรียบ
ทว่าเขานึกถึงเรื่องหนึ่งทันที
“เอาเถอะ เธออยากจะเห็นว่าการต่อสู้ที่แท้จริงของผู้สื่อวิญญาณเป็นยังไงไม่ใช่เหรอ ตามมาดูกับฉันสิ”
“ได้เหรอครับ” ดวงตาของลู่เซิ่งฉายแววตื่นเต้น
“ได้สิ ย่าย่าลงมือ เดี๋ยวเดียวก็จัดการคนบุกรุกได้ ถึงเธอจะยังอยู่ในระดับเงิน แต่ห่างจากระดับใบไม้ทองคำแค่ก้าวเดียวเท่านั้น” หวงอวิ๋นซื่อพาทุกคนลงลิฟต์อีกครั้ง
ตอนที่ลงไปถึงชั้นล่างสุด เพิ่งจะเดินออกจากลิฟต์ ก็เห็นศิษย์สำนักเคลื่อนภูผาถูกเล่นงานกองอยู่เต็มพื้นด้านหน้าหอคอย
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็คือ ศิษย์ทุกคนได้รับบาดเจ็บจนสลบไป ไม่มีใครเสียชีวิต
หวงย่าถือหอกยาวต่อสู้กับคนหนุ่มผมขาวที่สวมเสื้อกล้ามสีแดงคนหนึ่ง
ในมือคนหนุ่มคือขวานศึกเป็นประกายวาววับ การเคลื่อนไหวกลับไม่ได้หนักอึ้งเท่าคนอื่นๆ ที่ถืออาวุธหนัก
ค่อนข้างปราดเปรียวทีเดียว
เคร้ง!
ขวานศึกวาดเป็นร่องรอยประหลาดฟันใส่หอกของหวงย่าอย่างแรง แรงกดดันอันหนักอึ้งกระแทกเธอถอยหลังออกไปหลายก้าว
การต่อสู้ของคนทั้งสองไม่ได้น่าดูเท่าไร ดูเหมือนกับคนธรรมดาที่ร่ายรำอาวุธสองคนกำลังประหัตประหารกัน
ไม่มีเอฟเฟคพิเศษ แต่ว่าลู่เซิ่งก็มองความอันตรายออก
“คนธรรมดาหรือ” หวงอวิ๋นซื่อมองออกว่าเด็กหนุ่มผมขาวคนนั้นเป็นคนธรรมดา แต่คนธรรมดาคนเดียวกลับบุกตะลุยมาถึงที่นี่ได้ แม้แต่ผู้สื่อวิญญาณมากมายขนาดนี้ก็เอาไม่อยู่หรือ
เวลานี้ศิษย์เมล็ดวิญญาณสองคนอย่างเจินเย่กับเฟ่ยเสี่ยวที่เจอก่อนหน้ามาถึงแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีชายชราที่มีกลิ่นอายเหี้ยมหาญหลายสาย และสวมเกราะหนังกับชุดต่อสู้สีดำรุดมาถึงเช่นกัน
“หยุดมือ!” ชายชราส่งเสียงอย่างฉับพลัน
หวงย่าได้ยินดังนั้นก็กระโดดตีลังกาถอยหลังครั้งหนึ่ง ล่าถอยออกจากวงต่อสู้อย่างผ่อนคลาย แล้วไปถือหอกยาวยืนอยู่ข้างหวงอวิ๋นซื่อ
เด็กหนุ่มผมขาวหยุดคมขวาน ช้อนตามองรอบข้าง
“เอาสมบัติครอบครัวคืนมาให้ฉันนะ!” สายตาของเขาฉายแววโมโหในความเย็นชา
……………………………………….
Comments