ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 962 เบาะแส (2)
“สมบัติครอบครัวเหรอ” ชายชราส่งเสียงเผยสีหน้าสงสัย
แต่ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า พอชายวัยกลางคนที่อยู่ในวงล้อมคนหนึ่งได้ยินคำพูดนี้พลันผุดสีหน้าอับอายและโกรธเคือง
“วันนี้มีเรื่องต้องจัดการ นี่เป็นคัมภีร์วิชาสื่อวิญญาณ เธอเอาไปดูวิชาที่เหมาะกับตัวเองก่อน จากนั้นค่อยโทรศัพท์หาฉัน” หวงอวิ๋นชื่อส่งสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งให้ลู่เซิ่ง
“พี่สาวเธอรออยู่ที่ตีนเขาใช่ไหม รีบกลับไปเถอะ”
เห็นได้ชัดว่าเขาเปลี่ยนความคิดกะทันหัน โดยให้ลู่เซิ่งผละไปก่อน
ลู่เซิ่งเองก็ไม่ว่าอะไร รับสมุดมา แล้วมีคนพาเขาออกไปหน้าหอคอยอย่างรวดเร็ว
เรื่องราวต่อจากนั้น บทสรุปของชายหนุ่มถือขวานผู้นั้นเป็นอย่างไร เขาไม่รู้และไม่สนใจ
พอลงจากเขา ลู่เซิ่งก็ไปหาหวังจิ้งที่นอนหลับอยู่ในโรงแรมทันที จากนั้นก็นั่งรถไปจากศูนย์ใหญ่ของสำนักเคลื่อนภูผา
การมายังสำนักเคลื่อนภูผาในครั้งนี้เหมือนจะไม่ค่อยได้อะไรเท่าไร แต่กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่น้อย
ไม่พูดถึงหวังจิ้งที่ยังคงเกาะแกะ หลังกลับบ้าน วันต่อมาลู่เซิ่งก็ได้รับโทรศัพท์จากหวงย่า เรื่องของชายหนุ่มคนนั้นเรียบร้อยแล้ว แต่เธอได้รับบาดเจ็บ ต้องพักรักษาตัว อาจจะติดต่อกับเขาไม่ได้ชั่วคราว
มองออกได้ว่าสำนักเคลื่อนภูผาเหมือนจะตกสู่ปัญหาใหญ่ ชายหนุ่มคนนั้นกล้าบุกขึ้นเขาคนเดียว ทั้งยังทำร้ายคนไปมากมาย แม้เปลือกนอกดูเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่ทำให้หวงย่าบาดเจ็บได้ เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาแน่
ลู่เซิ่งไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสนใจแค่วิชาสื่อวิญญาณของตัวเอง และข่าวเกี่ยวกับดวงตาแห่งความเลวทรามเท่านั้น
เวลาเลื่อนไหลไปทีละวันๆ
ลู่เซิ่งเลือกวิชาสื่อวิญญาณอย่างรวดเร็ว และใช้โทรศัพท์มือถือส่งข้อความหาหวงอวิ๋นซื่อ
ผ่านไปไม่นานเท่าไร ก็มีคนส่งต้นฉบับของวิชาสื่อวิญญาณมา
ลู่เซิ่งเข้าใจวิธีฝึกฝนของที่นี่อย่างคร่าวๆ แล้ว
อันที่จริงวิชาสื่อวิญญาณใช้จิตใจกระตุ้นวิญญาณ เพื่อเรียกใช้สามจิตเจ็ดวิญญาณ โดยทำให้สามจิตเจ็ดวิญญาณเกิดการเคลื่อนไหว เหมือนกับการออกกำลัง
จากนั้นก็สั่งสมวันแล้ววันเล่าจนบรรลุผลเพิ่มความแข็งแกร่งแก่วิญญาณ
วิธีการฝึกฝนที่แตกต่างกัน ผลที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติก็จะแตกต่างกันเช่นกัน
ลู่เซิ่งทำความเข้าใจคร่าวๆ ประเภทของวิชาสื่อวิญญาณแบ่งออกเป็นหลายชนิด แต่โดยรวมแล้วมีสามประเภทใหญ่ๆ
ชนิดแรก เป็นประเภทเน้นอาศัยฝึกฝนด้วยตัวเอง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งแก่วิญญาณ
ชนิดที่สอง ประเภทที่เน้นพลังภายนอก อย่างเช่นโอสถ ยาหลอนประสาท การกระตุ้นวิญญาณจากภายนอก ความสามารถทางวิทยาการ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย
ชนิดที่สาม เป็นสายผสมที่อาศัยการฝึกฝนด้วยตัวเองเป็นหลัก ใช้พลังภายนอกเป็นตัวเสริม
ลู่เซิ่งย่อมเลือกเส้นทางที่ดีที่สุด โดยเลือกสายผสมอันเป็นชนิดที่สามที่ทันสมัยที่สุด
หลังจากได้วิชาสื่อวิญญาณที่สมดุลมา เขาก็ทดลองฝึกฝนดู พื้นฐานไม่มีอะไรยาก ไม่นานก็ใช้ได้อย่างผ่อนคลายเพราะพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของตนเอง
เพียงแต่เขาไม่คิดจะใช้ดีปบลูยกระดับวิชาสื่อวิญญาณ แค่ความเร็วในการฝึกฝนนี้ก็ถือว่าสูงมากแล้ว
บวกกับตนมีพละกำลังเพียงพอแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องยกระดับวิชาธรรมดานี้ต่อ
กลับเป็นทางสำนักเคลื่อนภูผาที่ส่งสวัสดิการอันเป็นเงื่อนไขที่ควรได้รับมา
เมื่อมีเงิน ลู่เซิ่งก็คิดจะพิจารณาหาที่อยู่ใหม่ เพื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมให้แก่หวังจิ้ง
บ้านเดิมเล็กเกินไป ไม่สะดวกต่อการเคลื่อนไหว
…
ลู่เซิ่งเดินเอื่อยอยู่บนถนนใหญ่ หวังจิ้งเกาะแขนเขาอยู่ใกล้ๆ เดินตามฝีเท้าของเขาอย่างเงียบๆ และเชื่อฟัง
บนถนนเย็นเยียบอย่างยิ่ง กำลังอยู่ในช่วงเวลางาน ทั้งยังไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ คนส่วนใหญ่จึงกำลังทำงานอยู่
มีแค่คนส่วนน้อยที่มีเวลาว่างออกมาเดินเตร็ดเตร่
“พวกเราจะไปไหนเหรอ” หวังจิ้งถามอย่างฉงนใจ
“ผมเข้าร่วมองค์กรองค์กรหนึ่ง พวกเขามีสวัสดิการดี มอบเงินให้เยอะมาก เปลี่ยนบ้านให้เราได้พอดี ดังนั้นผมเลยดูอยู่ว่าจะซื้อที่ไหนดี” ลู่เซิ่งตอบอย่างสบายๆ
ค่าตอบแทนปีละร้อยล้านมากพอจะให้เขาซื้อบ้านหลังใด หรือคฤหาสน์หลังใดในย่านคึกคักแห่งนี้ได้ทั้งนั้น
“อ้อ” ความจริงหวังจิ้งไม่สนใจว่าจะต้องไปที่ไหน เธอชอบแอบอิงลู่เซิ่งอย่างกระหาย สัมผัสความอบอุ่นที่ส่งมาจากตัวเขาเท่านั้น
ขณะเดินบนถนนใหญ่ ทันทีที่คนเดินถนนที่สวนกับพวกเขาเห็นหวังจิ้ง ต่างก็ตกตะลึง จากนั้นก็หันหนีอย่างรังเกียจ หลบเลี่ยงเธอเหมือนหลบเลี่ยงสัตว์ประหลาด
ทำให้ลู่เซิ่งที่อยู่ข้างเธอถูกสายตารังเกียจที่อธิบายไม่ได้กวาดตามองเช่นกัน
นี่เป็นความรู้สึกที่ประหลาดมาก
ลู่เซิ่งคิดในใจ
ไม่นานเขาก็เจอเขตคฤหาสน์หรูหราที่อยู่ในทำเลไม่เลวแห่งหนึ่ง เป็นคฤหาสน์แยกเดี่ยว ไม่มีทางได้รับผลกระทบใดๆ
นอกจากรอบข้างที่เงียบไปบ้าง และทะเลสาบเย็นเยียบด้านหลังแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีตรงไหนลำบาก
“ที่นี่เป็นยังไงบ้าง” เขาถาม
“ได้สิ” หวังจิ้งยิ้มพลางหอมแก้มเขา
ลู่เซิ่งลากหวังจิ้งเดินเข้าไปในสำนักงานขายบ้านอย่างจนปัญญา
พนักงานสาวขายบ้านหลายคนเข้ามาต้อนรับ จากนั้นก็ไม่มีการหักมุมใดๆ ลู่เซิ่งจองคฤหาสน์ที่อยู่ในตำแหน่งลับตาคนที่สุด เซ็นต์สัญญา จ่ายเงิน ดูคฤหาสน์ ได้กุญแจมา แล้วเปลี่ยนกุญแจ
ไม่เกินสามชั่วโมง เขากับหวังจิ้งก็เข้าไปอยู่อาศัยในคฤหาสน์สีขาวริมทะเลสาบหลังหนึ่งอย่างเป็นทางการ
ยังมีการจัดการสัญญาอยู่อาศัยและโฉนดที่ดินอีกไม่น้อย เรื่องพวกนี้ทางโครงการกับคนของสำนักเคลื่อนภูผาจะจัดการให้เขา
สุดท้ายลู่เซิ่งถึงทราบว่า เขตคฤหาสน์แห่งนี้เป็นกิจการของสำนักเคลื่อนภูผา
หลังจากจัดการปัญหาที่อยู่อาศัยเสร็จ ก็เป็นปัญหาเรื่องของกิน ลู่เซิ่งได้เปลี่ยนร้านอาหารใหม่ เพื่อกำหนดให้เป็นห้องอาหารประจำ และให้พวกเขาส่งอาหารมา
ด้านหลังคฤหาสน์มีสระว่ายน้ำ รอลู่เซิ่งโทรศัพท์จัดการเรื่องอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างสุดท้ายให้เสร็จ
ขณะยืนอยู่หน้ากระจกชั้นสอง เขามองผ่านกระจกไปเห็นพี่สาวหวังจิ้งเปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำสีขาว ยืนอยู่ริมสระน้ำ ก่อนจะกระโดดลงน้ำเบาๆ
ชุดว่ายน้ำสีขาว สองขาเรียวยาว เอวอันบอบบาง กับผมยาวนุ่มสลวยสีดำสนิทที่เหมือนกับดอกบัว
หวังจิ้งว่ายน้ำอยู่ในสระน้ำสีฟ้าใสเหมือนกับนางเงือก
แค่ยืนมองอยู่ไกลๆ ก็สัมผัสความงามที่ชวนให้คนรู้สึกสงบสุขได้แล้ว
ลู่เซิ่งส่ายหน้า พ่นลมหายใจ ขณะกำลังจะลงไปชั้นล่างนั่นเอง
อยู่ๆ หวังจิ้งที่อยู่ในสระว่ายน้ำก็หันมามองลู่เซิ่ง
เธอยิ้มเล็กน้อย ดวงตาฉายแววคาดหวังที่อธิบายไม่ถูก เกี่ยวมือปลดชุดว่ายน้ำที่หน้าอก เผยให้เห็นทรวงอกที่ขาวเนียนและงดงามข้างใน
“เฮ้ย” ลู่เซิ่งสะดุ้งโหยง รีบพุ่งลงไปชั้นล่าง กระโดลงสระน้ำดังตูม แล้วสวมเสื้อว่ายน้ำให้หวังจิ้งอีกรอบ
“ชอบไหม” หวังจิ้งซบไหล่ลู่เซิ่ง ยิ้มอย่างได้ใจ
“พี่บ้าไปแล้วเหรอไง เกิดมีคนอื่นมาเห็นเข้าจะทำยังไง” ลู่เซิ่งตบสะโพกเธอ พร้อมกับเอ่ยอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“ไม่เป็นไร…” หวังจิ้งยิ้มๆ
ถ้ามีคนเห็น แค่ฆ่าทิ้งก็พอ
ประโยคหลังเธอไม่ได้พูด แต่ขุมกำลังของเธอจะช่วยเธอจัดการเรื่องเล็กๆ แบบนี้เอง
เธอเห็นฉากที่น่าสนใจมากมายจากในหนังสือการ์ตูนที่หวังตงซ่อนไว้ จึงทราบว่ามุมมองที่น้องชายชอบที่สุดเป็นอย่างไร
ดังนั้นทุกครั้งที่จงใจทำแบบนี้ แล้วเห็นท่าทางกระวนกระวาย และอาการวู่วามโดยสัญชาตญาณของหวังตง เธอจะรู้สึกสนุกมาก
“ให้มันได้อย่างนี้สิ เสื้อเปียกหมดแล้ว” ลู่เซิ่งอุ้มหวังจิ้งเดินเข้าโถงชั้นหนึ่ง ไปถึงห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ราดน้ำลงบนตัวอย่างรีบเร่ง ก่อนจะพันผ้าเช็ดตัวออกมาทั้งสองคน
“พี่ไปเปลี่ยนเสื้อเถอะ เดี๋ยวจะเป็นหวัด” ลู่เซิ่งกำชับ
หวังจิ้งพยักหน้าอย่างว่าง่าย สวมเสื้อว่ายน้ำ กลับไปเปลี่ยนเสื้อที่ห้องนอนตัวเอง
ลู่เซิ่งถอนหายใจ การดูแลพี่สาวคนนี้ทั้งวันช่างน่าหน่ายใจจริงๆ ดูเวลา ถึงเวลาที่นัดว่าจะไปรายงานความก้าวหน้าที่สำนักเคลื่อนภูผาพอดี
วิชาสื่อวิญญาณของเขาชื่อวิชาวิญญาณจากลา มีทั้งหมดสิบห้าระดับ ตอนนี้เขาฝึกถึงระดับสามแล้ว
ความจริงสิ่งนี้จะมอบการเคลื่อนไหวให้แก่วิญญาณ ลู่เซิ่งแค่ทำครึ่งๆ กลางๆ จิตวิญญาณก็ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะการเพิ่มความแข็งแกร่งจากอัคคีจิตหงส์เพลิงและปราณปฐพี
“พี่ ผมจะขึ้นภูเขาที่ไปก่อนหน้า อีกเดี๋ยวค่ำๆ จะกลับมา” เขาเตือนหวังจิ้งเสียงดัง
ในห้องไม่มีเสียง แต่ลู่เซิ่งรู้ว่าหวังจิ้งได้ยินแล้ว
เขาไม่ว่าอะไร เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะออกจากคฤหาสน์ ด้านนอกมีคนจากสำนักเคลื่อนภูผาขับรถมารออยู่นานแล้ว
ที่ห้องนอนชั้นสอง หวังจิ้งสวมกระโปรงขาวและถุงน่องอีกครั้ง ยืนมองรถที่ค่อยๆ แล่นห่างออกไปอยู่ข้างหน้าต่าง
“เราได้กระตุ้นให้คนของสำนักเคลื่อนภูผาหาเบาะแสเจอแล้ว ของวางไว้บนเส้นทางที่กลุ่มตรวจสอบของพวกเขาต้องผ่าน ตอนนี้พวกเขาน่าจะแจ้งหวังตงแล้ว” เสียงผู้หญิงที่แหลมสูงดังมาจากในห้องนอน
“ดีมาก” หวังจิ้งละสายตา “อย่าให้เขารู้ล่ะ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
…
“พัฒนาการไม่เลว ดูเหมือนช่วงนี้เธอจะขยันมากทีเดียว” หวงอวิ๋นซื่อยิ้มพลางตบบ่าลู่เซิ่งเบาๆ
“เพราะไม่ได้เรียนหนังสือแล้ว เลยเหลือเวลาเยอะน่ะครับ” ลู่เซิ่งตอบสบายๆ
“มีข่าวดีมาบอก” หวงอวิ๋นซื่อหยิบกล่องโลหะสีดำทรงกลมใบหนึ่งจากโต๊ะด้านหลังมาส่งให้ลู่เซิ่ง
“เจอของที่เธอต้องการแล้ว”
“หือ” ลู่เซิ่งงุนงง รีบรับกล่องมาเปิดฝา
ไข่มุกสีดำที่มีรูปร่างเหมือนดวงตาแห่งความเลวทรามฝังอยู่กลางฟองน้ำสีดำสนิทด้านใน
“สีดำเหรอ” ลู่เซิ่งจำได้ว่าดวงตาแห่งความเลวทรามควรเป็นสีเงิน
“พวกเราเจอแค่สีดำ แต่ส่วนอื่นๆ เหมือนสิ่งที่เธอวาดให้ดูไม่มีผิด คิดว่าถึงจะไม่ใช่ของที่เธอต้องการ ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้อง”
หวงอวิ๋นซื่อไม่พูดถึงว่าต้องใช้กำลังคนและกำลังทรัพยากรเท่าไรเพื่อของสิ่งนี้
“เอาล่ะ ในเมื่อได้ของมาแล้ว มาแสดงให้ฉันดูก่อน ฉันอยากจะเห็นพัฒนาการในช่วงนี้ของเธอ พัฒนาการด้านวิชาวิญญาณไม่ได้บ่งบอกว่าจะสู้ได้เก่งหรอกนะ”
หวงอวิ๋นซื่อพาลู่เซิ่งออกจากโถงทดสอบ มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของหอคอย
ทั้งสองมาถึงโถงฝึกกว้างขวางแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่แข็งแกร่งกว่าสถานที่ที่เธอสู้กับเฮนรี่เมื่อก่อนหน้าสิบห้าเท่า ใช้พลังทั้งหมดเลย ไม่ต้องห่วง ไม่เกิดปัญหาอะไรแน่”
หวงอวิ๋นซื่อเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งพยักหน้า ถอดเสื้อบนตัวออก เผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีดำที่ใส่รอไว้แล้ว
ยืนอยู่ตรงที่เดิม ลานฝึกฝนยังมีคนอยู่ไม่น้อย พอเห็นหวงอวิ๋นซื่อกำลังสู้กับใครบางคน ส่วนใหญ่ก็หยุดลงและล้อมวงเข้ามามุงดูทั้งสองสู้กัน
อย่างไรการได้เห็นผู้อาวุโสชี้แนะ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
“ขอคำชี้แนะด้วยครับ” ลู่เซิ่งก้มหน้าน้อยๆ ผุดสีหน้าเคร่งขรึม
นิ้วของเขาประสานเป็นมุทราซับซ้อนสิบกว่าสายด้านหน้าตัวเองเหมือนพวงดอกไม้
พลังวิญญาณที่เหนือกว่าคนธรรมดาสิบสามเท่าถูกเรียกออกมา กลายเป็นกระแสอากาศไร้รูปร่าง วนเวียนอยู่รอบตัวเขา
“วิชาวิญญาณ ทิ่มแทง” ลู่เซิ่งแทงสองมือไปด้านหน้า
รอบตัวหวงอวิ๋นซื่อปรากฎหนามแหลมไร้รูปร่างสิบแท่ง แทงใส่ผิวเขาอย่างรุนแรง
“ฉันข่มพลังวิญญาณให้อยู่ในระดับเดียวกับเธอแล้ว ขอแค่เธอทำลายการป้องกันของฉันได้ ถือว่าเธอผ่านเกณฑ์” หวงอวิ๋นซื่อยิ้มและกล่าวเสียงกระจ่าง
“ได้” ลู่เซิ่งเพิ่งจะพูดจบ หนามแหลมจำนวนมากกว่าเดิมก็แทงใส่หวงอวิ๋นซื่อจากทุกทิศทุกทาง
ท่ามกลางเสียงแทงดังสวบๆๆ หนามแหลมไร้รูปร่างทั้งหมดถูกแสงโปร่งใส่บางๆ ชั้นหนึ่งป้องกันไว้ได้ทั้งหมด
“อ่อนแอเกินไป ไม่ได้กินข้าวเหรอไง!” หวงอวิ๋นซื่อตะโกน
ลู่เซิ่งเปลี่ยนแปลงมุทรา พลังวิญญาณใหม่จับตัวในเวลาสองวินาทีสั้นๆ
พลังจิตวิญญาณกลายเป็นลมเย็นเยียบ หมุนวนรอบตัวหวงอวิ๋นซื่ออย่างบ้าคลั่ง ผิวของแสงที่เป็นการป้องกันของเขาเริ่มปรากฏเกล็ดน้ำแข็งและชั้นน้ำแข็งจำนวนมาก
“ทลาย” หวงอวิ๋นซื่อแค่นเสียง
เปรี้ยง!
ชั้นน้ำแข็งกับเกล็ดน้ำแข็งแตกสลายไปพร้อมกับลมอันเย็นเยียบสายนั้น
“โง่เง่า! ใช้วิชาวิญญาณที่ผลาญพลังวิญญาณมากที่สุดแบบนี้มาโจมตี เธอกลัวตัวเองจะไม่ตายเร็วหรือไง!?” หวงอวิ๋นซื่อพลันเอ่ยด้วยเสียงโมโห
ลู่เซิ่งหน้าคร่ำเคร่งขึ้นเล็กน้อย เปลี่ยนตราหัตถ์อีกรอบ ท่ามกลางเสียงขวับๆ สองมือเขาแทบกลายเป็นเงาหลงเหลือ
มุทราสิบกว่าสายจับตัวในเวลาหนึ่งวินาที ทำให้คนอ้าปากตาค้าง
“ดาบผนึกวิญญาณ! ไป!”
พลังจิตวิญญาณทั้งหมดสร้างดาบไร้รูปร่างที่คมกริบสุดเปรียบปานขึ้นมาสายหนึ่ง แล้วฟันใส่หวงอวิ๋นซื่อจากด้านบน
“เธอปัญญาอ่อนหรือไง!? ยังกำหนดพลังวิญญาณทั้งหมดไม่ได้ด้วยซ้ำ คิดจะวางไข่ในตะกล้าใบเดียวหรือ!? โง่! งั่ง! ไร้ปัญญา! มั่วซั่ว!”
หวงอวิ๋นซื่อยกมือขวาขึ้นขวางเบาๆ
ตูม!
ดาบผนึกวิญญาณแหลกสลาย พลังวิญญาณไร้รูปร่างกระจัดกระจายเหมือนกับกระแสอากาศบ้าคลั่ง
“ดูให้ดีล่ะ นี่ถึงจะเป็น ดาบสะกดวิญ…”
เปรี้ยง!
โถงฝึกสั่นสะเทือน
ลู่เซิ่งฟาดใส่ชั้นป้องกันด้านหน้าหวงอวิ๋นซื่อดุจสายฟ้าแลบ
แกร๊ก...
รอยแตกนับไม่ถ้วนกระจายตามตำแหน่งที่ลู่เซิ่งฟาดฝ่ามือออกไป
ตูม!
เกิดเสียงดังสนั่น
หวงอวิ๋นซื่อขว้แขนบังไว้ด้านหน้าตัวเอง ร่างกายลอยออกไป กระแทกเข้าไปในกำแพงหินสีดำที่แข็งแกร่งด้านหลัง
“ของอย่างวิชาวิญญาณสร้างขึ้นมาเพื่ออะไรกัน” ลู่เซิ่งชักฝ่ามือกลับ หมุนตัวเดินไปยังนอกโถง
“เธอ…เธอไม่ได้อยู่…ในขีดจำกัดสิบสามเท่าเหรอ!?” หวงอวิ๋นซื่อบนกำแพงส่งเสียงอย่างยากลำบาก “เธอ…ทำลาย ขีดจำกัดแล้วเหรอ!?”
ลู่เซิ่งชะงักฝีเท้า
“ครับ สิบห้าเท่าแล้ว”
ความจริงเขาพูดไม่หมด ต่อให้เป็นสิบสามเท่าเหมือนกัน ทักษะการส่งพลังก็ก่อให้เกิดผลทำลายล้างที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวได้
“ฮ่าๆๆๆ! ไม่…! พิธีเรียกวิญญาณ…จะทำให้เธอ…แข็งแกร่งได้มากกว่าเดิม! เชื่อฉันเถอะ!” หวงอวิ๋นชื่อไม่เคยนึกมาก่อนว่ากายเนื้อของมนุษย์จะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ได้
แต่หวังตงกลับแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าหากผ่านพิธีเรียกวิญญาณล่ะ ความแข็งแกร่งนั้น…จะยากจินตนาการทีเดียว!
เขาเหมือนเห็นสำนักเคลื่อนภูผา กำลังจะให้กำเนิดผู้เข้มแข็งที่ทั้งน่ากลัวและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา
“ร่างวิญญาณไม่ใช่แค่สิงบนอาวุธได้เท่านั้น ยังสิงกับเกราะและอุปกรณ์ป้องกันได้ด้วย!” ในดวงตาของหวงอวิ๋นซื่อมีไฟแห่งความคลั่งไคล้กำลังลุกโชน
ลู่เซิ่งหยีตา
“โพรงหมื่นวิญญาณ! เธอจะต้องได้รับการยอมรับจากโพรงหมื่นวิญญาณแน่!” หวงอวิ๋นซื่อพลันหัวเราะลั่น
ขณะมองลู่เซิ่ง เขาก็หวนนึกถึงตำนานเกี่ยวกับราชาวิญญาณที่เฝ้าใฝ่ฝันถึงมาหลายสิบปีตั้งแต่ยังเด็ก
……………………………………….
Comments