ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 963 เทือกเขา (1)
ภายใต้อิทธิพลของขุมกำลังตระกูลหวง คนส่วนหนึ่งของสำนักเคลื่อนภูผาเริ่มดำเนินแผนการลับสุดยอดที่เรียกว่า “วิญญาณบริสุทธิ์สัมบูรณ์” เพื่อแข่งกับลู่เซิ่ง
เป้าหมายหลักการ การบ่มเพาะลู่เซิ่งหรือหวังตงจนกลายเป็นราชาวิญญาณที่แข็งแกร่งถึงขีดสุด และกลายเป็นตัวตนอันแข็งแกร่งระดับเทพทำลายล้าง
ตอนแรกเริ่มลู่เซิ่งค่อนข้างหงุดหงิด แต่เพราะสวัสดิการมากมายของสำนักเคลื่อนภูผาที่เพิ่มขึ้น บวกกับหวงย่าคอยเกลี้ยกล่อม เขาจึงทำเป็นลืมตาข้างปิดตาข้าง
อย่างไรก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรกับเขาอยู่แล้ว
หลังจากที่เอาชนะหวงอวิ๋นซื่อในตอนนั้น สำนักเคลื่อนภูผาก็มีความรู้ที่ค่อนข้างกระจ่างแจ้งต่อค่าพลังต่อสู้ของเขา
แม้จะไม่มีผู้อาวุโสใช้พลังผู้สื่อวิญญาณที่สมบูรณ์สู้กับเขามาก่อน
แต่เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างสมศักดิ์ศรีในหมู่ลูกศิษย์รุ่นเดียวกัน ศิษย์บางคนบอกว่า หวังตงไม่เคยลงมือสุดกำลังมาก่อนเท่านั้น หากเขาระเบิดพลังทั้งหมดจริงๆ อาจจะเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเคลื่อนภูผาก็ได้
อย่างไรพละกำลังกับความเร็วอันน่ากลัวนั้นก็รับมือได้ยากจริงๆ ต่อให้ปกคลุมพลังวิญญาณ ศิษย์ทั่วไปก็ไม่ใช่คู่มือของพลังห้าสิบเท่าของขีดจำกัดมนุษย์เด็ดขาด
ในห้าเมล็ดวิญญาณ ลู่เซิ่งได้รับการจัดอยู่ในอันดับแรกสุด มีผู้สอดรู้สอดเห็นแอบเรียกเขาว่าไน่ลั่วเอิน อันหมายถึงผู้ถึงขีดจำกัด และผู้ทรงพลังในภาษาโบราณ
อีกสี่เมล็ดวิญญาณหมกตัวอยู่บนเขาเกือบทุกวัน คอยฝึกฝนป้อนกระบวนท่ากับเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสของสำนัก
มีแต่ลู่เซิ่งที่เดี๋ยวก็ขึ้นเขาลงเขา เวลาอยู่บนเขาไม่นานเท่าไร
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ตรวจสอบดวงตาแห่งความเลวทรามสีดำที่ได้รับมา หลังจากที่ไปหานักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และพลิกอ่านข้อมูลนับไม่ถ้วนกี่ยวกับของสิ่งนี้
ในที่สุดหลังผ่านไปหนึ่งเดือนกว่าๆ เขาก็เข้าใจความลับของมันคร่าวๆ แล้ว
“สิ่งนี้…น่าจะเป็นของทำเลียนแบบดวงตาแห่งมี่อ้าย เครื่องมือของเทพผู้กลับชาติมาเกิดในตำนาน”
ในห้องหนังสือ ลู่เซิ่งอุ้มหวังจิ้งนั่งอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ อ่านข้อมูลเอกสารฉบับพิมพ์ที่เพิ่งได้มาก่อนหน้านี้
“มันคือ อะไร” หวังจิ้งซุกอยู่ในอ้อมอกลู่เซิ่ง ขยับร่างกายเบาๆ สองแขนโอบกอดเอวของลู่เซิ่งไว้แน่น
“ของน่าเบื่อ” ลู่เซิ่งยิ้ม “ยังไม่หลับหรือ พักผ่อนเถอะ”
“อื้อ” ดวงตาของหวังจิ้งฉายแววประหลาด
ดวงตาแห่งมี่อ้าย เธอเหมือนจะรู้ข้อมูลส่วนหนึ่งของมัน ก่อนการกลับชาติมาเกิดไม่รู้กี่ครั้ง เธอเคยเห็นสมบัติชิ้นนี้มาก่อน
เธอรู้จักจากบันทึกว่าหนึ่งในสถานะมากมายที่เธอเคยเป็นมาก่อน เคยสัมผัสกับดวงตาแห่งมี่อ้ายดวงนี้
เธอไม่รู้ว่าน้องชายสนใจมันเพราะอะไร แต่เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ ขอแค่เธอได้อยู่กับเขา ที่เหลือก็ไม่สำคัญแล้ว
ลู่เซิ่งกระชับร่างเธอ ปรับตำแหน่งให้ จากนั้นก็อ่านข้อมูลต่อไป
ตึ๊ดๆๆ…
มือถือบนโต๊ะสั่น
ลู่เซิ่งหยิบมาดู
“พี่ อีกเดี๋ยวผมจะขึ้นเขา เรื่องครั้งนี้ค่อนข้างสำคัญ แต่ใช้เวลาไม่นาน เดี๋ยวเดียวก็กลับ”
“อื้อ” หวังจิ้งขดตัวเงียบๆ ลืมตาเพ่งมองใบหน้าของลู่เซิ่ง
“ระวังตัวด้วย”
“อืม ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งยิ้ม
เขาวางมือถือลง บนหน้าจอระบุไว้อย่างชัดเจนว่า การทดสอบร่างสมบูรณ์กำลังจะเริ่ม ผู้ทดสอบ จอมอาวุโสของสำนัก—อันเฝินกั๋ว
ลู่เซิ่งพอจะทราบแผนการของสำนักเคลื่อนภูผาคร่าวๆ แม้จะไม่สนใจ แต่อย่างไรก็เป็นแผนการที่มีเขาเป็นตัวหลัก ดังนั้นจึงเข้าใจเจตนาของเขาไม่มากก็น้อย
พวกคนสื่อวิญญาณพวกนี้กำลังทดลองรีดเค้นศักยภาพของเขาทีละขั้นๆ
ไม่ว่าจะใช้พลังวิญญาณก็ดี อย่างอื่นก็ดี พวกเขากำลังทดสอบประเมินขีดจำกัดสูงสุดของพลังลู่เซิ่ง
ครั้งนี้น่าจะเป็นช่วงสุดท้ายของการทดสอบ
ลู่เซิ่งออกจากคฤหาสน์ ระหว่างทางนั่งรถไปยังสำนัก ร่างกายยกระดับขึ้นหนึ่งเท่า จนถึงปัจจุบัน ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายเขาไปถึงหนึ่งร้อยสามสิบเท่าซึ่งคนทั่วไปไม่อาจจินตนาการออกแล้ว
ถ้าหากบอกว่าพละกำลังในการยกของหนักอันเป็นขีดจำกัดของคนธรรมดาคือสามร้อยกิโลกรัม อย่างนั้นพละกำลังในการยกของหนักของเขาในตอนนี้ก็อยู่ที่ราวๆ สี่สิบตัน
แค่ยกน้ำหนักก็ยกได้มากถึงสี่สิบตันแล้ว พลังกำปั้นแบบระเบิดสามารถไปถึงราวหนึ่งร้อยห้าสิบตันได้
หมายความว่า ร่างสมบูรณ์ที่แท้จิรงของเขาสามารถคว่ำรถบรรทุก และถีบรถชนิดต่างๆ ให้กระเด็นได้อย่างง่ายดาย
แม้จะเป็นพวกรถบรรทุกขนาดใหญ่และรถถังที่หนักมากกว่าร้อยตัน เมื่อเผชิญกับพละกำลังหลายสิบตันที่กดไว้ในร่างกายสูงราวหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร ก็ไร้ความสามารถต้านทานอย่างไม่มีข้อยกเว้น
เป็นเพราะพละกำลังในระดับเดียวกัน จะตัดสินความแข็งแกร่งอ่อนแอที่แรงดันในพื้นที่สัมผัส
และหากจะแสดงพลังที่แข็งแกร่งขนาดนี้ออกมาในร่างที่เล็กขนาดนี้ กายเนื้อย่อมต้องแข็งแกร่งถึงขั้นที่น่าเหลือเชื่อ
ขณะนั่งรถอยู่ ลู่เซิ่งก็มองหวงย่าที่กำลังขับรถ
“ช่วงนี้สำนักเกิดเรื่องไม่น้อยใช่ไหม” ลู่เซิ่งถาม
“อือ พวกเราเสียคนที่อยู่ต่างประเทศไปไม่น้อย การไล่ล่าผู้ร้ายเลือดผสมนั่นเข้าสู่สภาวะติดขัดแล้ว” หวงย่ากล่าวอย่างขุ่นเคืองอยู่บ้าง
“สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือ ผู้ร้ายคนนั้นจับกลุ่มกับคนที่มีพลังร้ายกาจหลายคน สร้างองค์กรชื่อเหมยจันทร์เพ็ญขึ้นมา อีกทั้งผู้นำอันดับสามขององค์กรยังเคยเป็นอดีตนายน้อยแห่งสำนักเคลื่อนภูผา หรือก็คือลุงของข้านั่นเอง…”
“ยุ่งยากจริงๆ ซะแล้วสิ” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว เจอเรื่องที่เร่งด่วนแบบนี้ เกรงว่าทุกขุมกำลังจะสะกดสำนักด้วยเหตุผลนี้แล้ว
แถมพวกเขายังเพิ่มสวัสดิการให้ตนอย่างต่อเนื่องในสภาพลำบากลำบนแบบนี้อีก
“ไม่ต้องคิดมากไปหรอก ในเมื่อใต้เท้าจอมอาวุโสตอบรับแผนการของนายแล้ว ก็ไม่มีทางยอมให้นายได้รับผลกระทบอะไรแน่ แม้สำนักเคลื่อนภูผาของพวกเราจะไม่ใช่องค์กรแข็งแกร่งระดับโลก แต่ก็ไม่มีทางถูกทำลายเพราะแรงกดดันแค่นี้เหมือนกัน”
หวงย่าอธิบายเสียงทุ้ม
ไม่มีความเดียงสาของนักเรียนมัธยมปลายอยู่บนตัวเธอแม้แต่น้อย มีแต่ความเย็นชา ความแน่วแน่ และความตั้งใจ
ในเมื่อพูดถึงขั้นนี้แล้ว แม้ลู่เซิ่งจะค่อนข้างสนใจองค์กรเหมยจันทร์เพ็ญนั่น แต่ก็ไม่สะดวกถามต่ออีก
ถึงอย่างไรลุงของเด็กคนนี้ก็เพิ่งทรยศหลบหนีไป เหตุการณ์นี้อาจสร้างการกระทบกระเทือนขนาดใหญ่ให้แก่เธอได้
ผ่านไปยี่สิบนาที รถก็หยุดลงหน้าประตูสำนักเคลื่อนภูผา
ลู่เซิ่งเปิดประตูลงจากรถ แล้วเร่งฝีเท้าเข้าประตูใหญ่ภายใต้การโค้งคำนับของเจ้าหน้าที่เฝ้าประตูสำนัก
ประตูเหล็กหนักอึ้งที่กว้างสิบกว่าเมตรค่อยๆ แง้มเป็นร่องแยก หลังจากพวกลู่เซิ่งเข้าไป มันถึงปิดลง
กลุ่มคนเดินต่อไป สองฟากข้างมีระดับสูงของสำนักที่มารอชมดูไม่น้อย
โครงสร้างของสำนักเคลื่อนภูผาเรียบง่ายมาก
ศิษย์ธรรมดา ศิษย์แกนหลัก ผู้จัดการเรื่องราว และผู้อาวุโส
ผู้ที่อยู่สูงสุดก็คือจอมอาวุโสตั้งแต่หนึ่งถึงเก้า หวงอวิ๋นซื่อหรือตาของหวงย่า อยู่ในอันดับสอง
กล่าวได้ว่าเป็นตัวตนแข็งแกร่งที่มีอำนาจและตำแหน่งสูงส่งในภูเขาเคลื่อนภูผา
เวลานี้เขากับจอมอาวุโสอีกเจ็ดคนยืนอยู่ที่ส่วนลึกของสิ่งก่อสร้าง รอคอยอยู่หน้าทางเข้าถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง
จอมอาวุโสทั้งหมดผูกริบบิ้นสีเงินอย่างเป็นทางการ สวมเสื้อคลุมยาวสีดำตัวใหญ่ แม้แต่ใบหน้าก็ใส่หน้ากากสีดำที่วาดเป็นวังวนสีดำสนิทเอาไว้
ลู่เซิ่งเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูถ้ำภายใต้การนำของผู้ดูแลเรื่องราว
กระแสอากาศร้อนลวกพุ่งออกไปด้านนอกปากถ้ำเสียงฟู่ๆ แสดงให้เห็นว่าใจกลางของเขาแห่งนี้อาจจะเป็นภูเขาไฟ
“หวังตง” ผู้อาวุโสที่ถือไม้เท้าในมือซึ่งอยู่ตรงกลางก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ส่งเสียงทรงพลังมีอำนาจ
“ศิษย์อยู่”
ลู่เซิ่งก้มหน้าน้อยๆ แสดงความเคารพ อย่างไรเขาก็เป็นศิษย์แกนหลักรุ่นสี่ของสำนักเคลื่อนภูผาในนาม อีกทั้งยังได้รับสวัสดิการและผลประโยชน์มากมายที่อีกฝ่ายมอบให้ ทั้งอีกฝ่ายเองยังคิดเผื่อเขาด้วย
“เดิมทีผู้อาวุโสคนอื่นๆ คิดจะสู้หนึ่งต่อหนึ่งกับเจ้าเพื่อทดสอบเป็นครั้งสุดท้าย แต่ฉันปฏิเสธไปหมดแล้ว การทดสอบสุดท้ายนี้ ฉันตัดสินใจว่าจะดำเนินการเอง” จอมอาวุโสเอ่ยเสียงทุ้ม
“ก่อนหน้านั้น เธอจะต้องพิจารณาให้เข้าใจก่อนว่า”
“การทดสอบนี้ เป็นไปได้อย่างยิ่งที่เธอจะเจอการทดสอบที่รุนแรงถึงขีดสุด แต่เหล็กที่ไม่ผ่านการหลอม ไม่อาจกลายเป็นอาวุธ ดังนั้น…”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมั่นใจในตัวเองอยู่” ลู่เซิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ตามความปรารถนาเดิมของหวังตง การกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกเป็นเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จ
ดังนั้นในฐานะกลุ่มเหนือธรรมชาติที่ดำรงอยู่ในความเป็นจริง ผู้สื่อวิญญาณ สุดยอดผู้เข้มแข็งนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน
นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องทดสอบเอง
จอมอาวุโสมองดวงตาของลู่เซิงผ่านหน้ากาก
จนกระทั่งแน่ใจว่าเขาไม่มีความลังเลใจใดๆ และเตรียมการทุกอย่างเรียบร้อย ก็พยักหน้าให้กับผู้อาวุโสสองหวงอวิ๋นซื่อที่อยู่ด้านข้าง
“ไปเถอะ” เขาหมุนตัวเดินไปยังในถ้ำ
ลู่เซิ่งตามไปติดๆ
เดินเข้าไปในถ้ำได้ไม่ถึงร้อยเมตร ลู่เซิ่งกับจอมอาวุโสก็ขึ้นลิฟต์สีดำที่กว้างใหญ่และหนักอึ้ง แล้วลงไปด้านล่าง
ลิฟต์ลงด้านล่างเป็นเวลาสิบนาทีก่อนจะหยุดลง
“ที่นี่เป็นลานฝึกที่ปลอดภัยที่สุดในสำนักเคลื่อนภูผา และเป็นลานที่พวกเราเหล่าผู้อาวุโสใช้สู้กันสุดกำลัง” จอมอาวุโสเดินออกจากลิฟต์ มองดูประตูสีเงินหนักอึ้งหลายบานในอุโมงค์ที่เปิดออกโดยอัตโนมัติ
“ไปเถอะ ที่นี่มีแต่ผู้ชนะเท่านั้นถึงจะออกไปได้ ประตูใหญ่พวกนี้ไม่ใช่ประตูอัตโนมัติ หากต้องเติมพลังวิญญาณเข้าไป ถึงจะเปิดกลไกได้”
“ไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวผมค่อยประคองท่านขึ้นมาก็ได้” ลู่เซิ่งไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ
จอมอาวุโสพลันหัวเราะอย่างสาแก่ใจ
“ฉัน…ไม่ได้ฟังคำพูดน่าขำแบบนี้มานานเท่าไรแล้วนะ”
เขายันไม้เท้าก้าวไปด้านหน้า ร่างพลันวูบไหว ข้ามระยะห่างหลายสิบเมตร ไปปรากฏในถ้ำขนาดยักษ์ที่ปลายทาง
ลู่เซิ่งหัวเราะ ก่อนสะกิดเท้าเบาๆ ร่างลอยข้ามประตูใหญ่ที่เปิดอยู่หลายบานเหมือนธนูหลุดจากสาย ไปถึงด้านหน้าจอมอาวุโสห่างออกมาหลายเมตร
เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
เปรี้ยงๆๆๆ!
ประตูใหญ่หนักอึ้งหลายบานพากันตกลง ปิดผนึกสภาพแวดล้อมของที่นี่เอาไว้อย่างสิ้นเชิง
แม้แต่แสงสว่างก็หายไป
ในความมืดมิด จอมอาวุโสค่อยๆ คลายไม้เท้า
“ขอดูหน่อยว่าเธอทำได้ถึงขั้นไหน”
ครืน!
โพรงถ้ำขนาดยักษ์ที่กว้างราวกับหอประชุม พลันมีแสงสีน้ำเงินเข้มสว่างขึ้น
ทั่วร่างจอมอาวุโสมีเปลวไฟสีฟ้าลุกไหม้ แสงไฟส่องสะท้อนผนังถ้ำใต้ดินทั้งหมด
“ขั้นไร้เทียมทาน มังกรทะยาน!”
เสื้อคลุมดำของจอมอาวุโสลอยขึ้นด้านบน เผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ที่กำยำถึงขีดสุดของจอมอาวุโสที่อยู่ด้านล่าง
เขาพลันกระทืบเท้า ตะปบสองมือใส่บ่าของลู่เซิ่งด้วยความเร็วที่คนธรรมดายากจินตนาการ
แค่เสียงที่เกิดจากการที่สองกรงเล็บวาดผ่านอากาศ ก็มากพอจะทำให้คนทั่วไปหูหนวกได้แล้ว
ไฟสีฟ้าเหล่านั้นยิ่งมายิ่งเกี่ยวกระหวัดหมุนวนบนแขนจอมอาวุโส มังกรดำอันเป็นมายาที่ดุร้ายหมายขวัญสองตัวยื่นออกมา
……………………………………….
Comments