ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 966 แดนต้องห้าม (2)
ลู่เซิ่งใช้สันมือถางพุ่มหญ้าที่ขวางทางให้กลายเป็นเส้นทางอันเรียบง่ายอย่างสบายๆ ขณะก้าวเดิน
เขารู้ตัวตั้งแต่แรกแล้วว่ามีพวกเจย์ลาติดตามอยู่ด้านหลัง เพียงแต่ทำเป็นไม่สนใจเท่านั้น
เป็นเพราะใกล้ๆ นี้ไม่ได้มีแค่พวกเจย์ลาเท่านั้น เขายังสัมผัสได้ด้วยว่ามีคนอีกสองกลุ่มกำลังเคลื่อนไหวอยู่
ที่นี่ยังไม่ถือว่าเป็นพื้นที่ร้างผู้คน
เคลื่อยคล้อยผ่านไป เดินทางเป็นระยะทางอีกสิบกว่านาที คนรอบข้างยิ่งเบาบางลงเรื่อยๆ
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งแปลกใจอยู่บ้างก็คือ พวกเจย์ลายังคงตามเขาอยู่
เป็นเพราะเขาไม่คุ้นเคยกับที่นี่ และอย่างไรที่นี่ก็เป็นหนึ่งในสี่แดนต้องห้าม จึงต้องค่อยๆ คลำทางไป
แต่คนสี่คนนี้กลับกล้าติดตามเขาเข้ามาด้านใน
พวกเขาไม่กลัวตายเหรอ
แม้ความคิดนี้จะแวบขึ้นในใจ แต่ลู่เซิ่งไม่มีความตั้งใจจะคอยปกป้องพวกเขา
สมัยนี้มีคนไม่กลัวตายอยู่เยอะแยะ เขาไม่มีเวลาไปปกป้อง เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ ความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าของสี่คนนี้ค่อนข้างไม่ธรรมดาทีเดียว
ระหว่างทางเขาเลี้ยวซ้ายวกขวาไปมา แต่พวกเขายังคงตามมาได้ ทั้งยังไม่ถูกแมลงมีพิษบนเส้นทางขวางไว้อีก
ส่วนใบหน้าของคนในเงามืดระหว่างคาคบไม้เหล่านั้นเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่เบาบางมากจนคนธรรมดาทั่วไปไม่อาจมองเห็นได้
ยามบ่าย ลู่เซิ่งหาสถานที่ข้างต้นไม้ยักษ์ขนาดเจ็ดแปดเมตรต้นหนึ่ง หยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมาใช้นิ้วเจาะเป็นรูใหญ่ ทำเป็นรูปทรงกระบอก
จากนั้นก็เจาะผนังด้านในก้อนหินจนกลายเป็นช่องลม ทำให้ก้อนหินกลายเป็นเตาอย่างง่ายๆ
เขายังหาฟืนและใบไม้จากแถวนี้ หยิบแท่งจุดไฟออกมาจากในกระเป๋า ก่อนใช้เล็บขูด
พรึ่บ!
สะเก็ดไฟกระจายออกมา ไม่นานในเตาควันก็ฟุ้งขึ้น
หลังจากทำติดต่อกันหลายครั้ง เปลวไฟก็พวยพุ่งออกมาจากกลางกลุ่มควัน กลายเป็นแสงไฟสว่างไสว
จากนั้นเขาก็เริ่มหาของที่กินได้ในแถวๆ นี้ ตอนนี้ร่างกายของเขาต้องการอาหารไม่น้อยเลยทีเดียว
…
“ฉันโดนกัดอีกแล้ว! เฮ้อ!”
“เท้าฉัน!”
แจ๊คที่เหงื่อแตกเต็มตัวจับเท้าพลางร้องโอดครวญ
“เราต้องรีบตามคนที่อยู่ด้านหน้าให้ทัน ป่าตรงนี้ลึกขึ้นเรื่อยๆ แล้ว! ขนาดโทรศัพท์ยังไม่มีสัญญาณ ถ้าเข้าไปต่ออาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้จริงๆ!”
เฌอมานที่อยู่ด้านข้าง เทน้ำใส่ผ้าขนหนูจนเปียกชุ่ม แล้วเอามากดตุ่มบวมที่ถูกแมลงกัดบนขาของแจ๊ค บีบของเหลวที่เหมือนไขมันกับจารบีสีน้ำตาลออกมาจากด้านในตุ่ม
“พวกเราไม่ควรจะตามคนคนนั้นเข้ามาตั้งแต่แรก! บ้าเอ๊ย!” เบนจับไปที่ตุ่มซึ่งถูกยุงกัดบนแขนอย่างแรงด้วยความโมโห ตุ่มนั้นมีขนาดเท่ากับเล็บนิ้วหัวแม่มือ
เจย์ลากัดฟันอย่างเสียใจอยู่บ้างเช่นกัน
ตอนแรกพวกเขายังตามมาได้ดีๆ เพียงแต่พอเลี้ยววกไปวนมา ก็พลันพบว่าโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณแล้ว
สิ่งที่น่าร้อนใจยิ่งกว่าก็คือ เข็มทิศกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก็ใช้ไม่ได้แล้ว
พวกเขาอยากจะหันหลังกลับ แต่ก็จำทางกลับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ดังนั้นด้วยความจนปัญญา พวกเขาจึงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่การไล่ตามคนที่อยู่ด้านหน้าให้ทัน เพื่อจะจ่ายเงินให้เขาพาออกไป
“นี่ไม่เหมือนกับที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรกนี่นา! พวกเรามาหาความตื่นเต้นกับความสนุกนะ!” เจย์ลากล่าวอย่างไม่ยอมรับผิด “พวกนายก็เห็นด้วยกับการติดตามคนคนนั้นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ!”
“ไม่ต้องพูดแล้ว พยายามอีกหน่อยเถอะ ดูจากเส้นทาง พวกเราน่าจะเข้าใกล้คนคนนั้นเรื่อยๆ แล้ว” เฌอมานปลอบ
คนทั้งกลุ่มพักผ่อนสักครู่ ก่อนจะเดินทางต่อไปตามเส้นทางง่ายๆ ที่ลู่เซิ่งบุกเบิกขึ้น
แมงมุมที่มีขนาดเท่าฝ่ามือกับตะขาบตัวเท่าศอกที่อยู่ระหว่างทาง ทำให้พวกเขาขนลุกขนพอง ปรารถนาใคร่ออกไปจากที่นี่เต็มที
แต่ถ้าต้องการจะออกจากที่นี่ ก็ต้องตามรอยเท้าของคนด้านหน้าต่อไป
เดินทางต่ออีกครึ่งชั่วโมงโดยประมาณ ในที่สุดก็เห็นควันดำสายหนึ่งลอยขึ้นมาจากด้านหน้าอย่างรำไร
“ไฟ! มีคนก่อไฟ! อยู่ด้านหน้านี่เอง!”
แจ๊คพลันตื่นเต้น
ทั้งสี่เร่งความเร็วด้วยความฮึกเหิม
เร่งความเร็วไปตามเส้นทางที่ลู่เซิ่งบุกเบิกขึ้นอีกร้อยกว่าเมตร ในที่สุดทั้งสี่ก็เห็นลู่เซิ่งซึ่งก่อไฟทำกับข้าวอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
กลิ่นหอมที่เข้มข้นของเห็ดและเนื้อทำให้ทั้งสี่ที่เหนื่อยล้าอิดโรยบังเกิดความรู้สึกปลอดภัยอย่างมาก
“ขอบคุณพระเจ้า” แจ๊ควิ่งไปหาลู่เซิ่งอย่างทุลักทุเล
“เฮ้ๆ! พวก!”
ลู่เซิ่งเงยหน้าขึ้น กวาดตามองคนทั้งสี่พลางขมวดคิ้วน้อยๆ ที่นี่คือส่วนลึกของเทือกเขาอันมีร์ คนพวกนี้กลับกล้าติดตามเขามาที่นี่ ไม่กลัวตายกันจริงๆ
เขาลุกขึ้นมองแจ๊คที่เดินโซเซมาถึงด้านหน้าตัวเอง
“มีธุระอะไร”
“พระเจ้า ในที่สุดก็ตามทันแล้ว! พวก รบกวนคุณช่วยพาพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ไหม” แจ๊คพูดขึ้นพร้อมกับขอบคุณฟ้าดิน
“ไม่ต้องห่วง พวกเราไม่เอาเปรียบคุณแน่ จะจ่ายเป็นห้าเท่าของราคาไกด์ทั่วไปเลย!”
“ไม่ว่าง” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ “พวกคุณเดินกลับไปตามทางเดิมที่ผมถางไว้เองสิ”
พอได้ยินคำพูดนี้ ความคาดหวังบนใบหน้าของแจ๊คก็กลายเป็นรอยยิ้มฝืดเฝือ
“พวก ผมไม่ปิดบังคุณแล้ว ที่นี่มันเฮี้ยนจริงๆ ทางที่คุณบุกเบิกไว้ อยู่ได้แค่สิบนาทีก็หายไปแล้ว!”
“หือ” ลู่เซิ่งงุนงงเล็กน้อย หันไปมองเส้นทางที่ตนบุกเบิกขึ้นมาก่อนหน้า เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วว่า พุ่มไม้ใบหญ้าที่ถูกฟันขาดไป กำลังงอกออกมาปกคลุมพื้นที่ที่ถูกฟันอีกครั้งด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
“ว่ายังไง หกเท่า! หกเท่าของราคาไกด์เลยนะ! ราคาไกด์ทั่วไปคือหนึ่งพัน ผมให้คุณหกพันเลย!” แจ๊คเอ่ยเสียงดัง
ลู่เซิ่งส่ายหน้า
“คุณก่อไฟใช้ควันตรงนี้เพื่อขอความช่วยเหลือเอาสิ ผมไม่มีเวลาพาพวกคุณออกไป”
“หนึ่งหมื่น!” เจย์ลาก้าวเข้ามาเอ่ยด้วยเสียงราบเรียบแต่ทะนงตน “ถ้าไม่เอา พวกเราจะก่อไฟขอความช่วยเหลือเองก็ได้ แน่นอนว่า ถ้าคุณยอมพาพวกเราออกไป ก็จะได้รับไมตรีของผู้สืบทอดอันดับที่สองในตระกูลนักดาราศาสตร์เรดวอเตอร์แห่งจักรวรรดิเบลต้าอย่างฉัน”
ลู่เซิ่งกวาดตามองเธออย่างเมินเฉย
“ฉันไม่ขัดสนเงินทองและไม่สนใจในอำนาจ ไอ้ไมตรีกับค่าตอบแทนที่เธอว่าน่ะไม่มีคุณค่าอะไรสำหรับฉันเลย เธอควรจะหาค่าตอบแทนที่มีความหมายกว่านี้ดีกว่า”
เจย์ลาอึ้งไป ก่อนจะรู้สึกอับอายระคนโมโห
“ห้าหมื่น!”
ลู่เซิ่งยังคงผุดสีหน้าไร้อารมณ์
“หนึ่งแสน!”
เจย์ลาหน้าเขียวบ้างแล้ว
ลู่เซิ่งยังคงทำเฉย
“สองแสน! นี่มากสุดแล้ว ให้อีกไม่ได้แล้ว” แจ๊คเกือบอกระเบิดเต็มที
“คุณบอกว่าตัวเองมาจากตระกูลนักดาราศาสตร์เรดวอเตอร์เหรอ” ลู่เซิ่งโพล่งถาม
“ใช่!” เจย์ลามีกำลังใจขึ้น รีบตอบทันที
“ก็ได้ สองแสนก็สองแสน ตามผมมา แล้วผมจะส่งพวกคุณออกไป” เงินจำนวนสองแสนของที่นี่ เท่ากับเงินมากกว่าล้านของสาธารณรัฐ
ได้เงินหนึ่งล้านจากการใช้เวลากลับไปเพียงเล็กน้อย ถือว่าเป็นค่าขนมที่เอาไว้ใช้ซื้อของขวัญให้หวังจิ้ง พี่สาวของเขาก็แล้วกัน
ลู่เซิ่งนึกอย่างเบื่อหน่าย
“จริงสิ” เขาพลันพูดขึ้น “ยังมีอีกเงื่อนไขที่คุณต้องทำ ไม่อย่างนั้นพวกคุณก็อยู่ที่นี่เถอะ”
“อะไร…!” เจย์ลาจ้องมองเขาอย่างระแวดระวัง
“ยังจำคำพูดบนเรือของตัวเองได้ไหม” ลู่เซิ่งมองเธออย่างขบขัน
“…คุณหมายความว่ายังไง” เจย์ลาผุดสีหน้าเย็นชา
“ฉันต้องการของชดเชยนิดหน่อย” ลู่เซิ่งลุกเดินไปถึงด้านหน้าเจย์ลา
“มองตาฉัน”
เจลย์ลาถูกดวงตาของลู่เซิ่งดึงดูดไว้อย่างไม่รู้ตัว เพิ่งจะสัมผัสกับดวงตาสีดำสนิทที่ล้ำลึกคู่นั้น เธอก็รู้สึกผิดปกติและคิดจะขัดขืนทันที แต่ก็สายไปเสียแล้ว
วิชาจิตโน้มนำแสดงผลสำเร็จแล้ว ลู่เซิ่งมองเจย์ลาที่ไม่แตกต่างจากก่อนหน้า ในใจทราบว่าเธอตกอยู่ในสภาพการชี้นำของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว
“เธอเป็นใคร”
“เจย์ลา แม็คคินเซย์”
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ตอนฉันเรียกชื่อเต็มของเธอ การกระทำทุกอย่างของเธอจะต้องฟังคำสั่งจากฉัน ไม่ว่าฉันจะให้เธอทำอะไร เธอจะต้องทำตามอย่างไม่มีเงื่อนไข” ลู่เซิ่งเพิ่มการชี้นำ
“ได้…ไม่ว่าอะไร ฉันจะตอบรับโดยไร้เงื่อนไข…”
เปรี้ยง!
อยู่ๆ ก็มีเสียงทึบหนักดังมาจากบนร่างเจย์ลา
สองตาของเธอกลับมากระจ่างใสทันที จากนั้นก็ก้าวถอยหลังติดต่อกันพร้อมจ้องมองลู่เซิ่งเหมือนเห็นผี
“อย่างที่คิดไว้เลย” ลู่เซิ่งยิ้ม
ตระกูลนักดาราศาสตร์เรดวอเตอร์ น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับองค์กรทับทิมที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก
แม้เขาจะเพียงแค่ลองใช้จิตโน้มนำกับอีกฝ่ายดูเล่นๆ แต่วิชาจิตโน้มนำระดับมากกว่าพันไม่ใช่สิ่งที่ปรมาจารย์ด้านการสะกดจิตทั่วไปจะปลดออกได้
แต่อีกฝ่ายกลับดิ้นหลุดได้ เห็นได้ชัดว่าตระกูลของเธอมีเบื้องหลังกับศักยภาพไม่เลว
เพียงแต่ดูเหมือนเจย์ลาจะไม่ทราบความเป็นมาของตระกูลตัวเอง นึกว่าตัวเองโชคดีที่หลุดจากการสะกดจิตออกมาได้
สามคนที่เหลือยืนมองอย่างงงๆ อยู่ด้านข้าง
“เอาล่ะ ไปเถอะ ฉันจะไปจัดการธุระต่อ พวกคุณจะอยู่ที่นี่หรือเลือกตามฉันไปก็ได้” เขาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“คุณ!” เจย์ลาพลันได้สติ นี่ไม่เหมือนกับที่ตกลงเอาไว้นี่!
ทว่าทั้งสี่ไม่มีทางเลือก ได้แต่ติดตามลู่เซิ่งไป
…
ด้านในคฤหาสน์ริมทะเลสาบ
หวังจิ้งมองภาพในลูกแก้วคริสตัลตรงหน้าเธออย่างนิ่งเฉย
“ที่แท้เขาก็ชอบแบบนี้หรอกหรือ” สายตาของเธอตกลงบนร่างเจย์ลาที่ติดตามลู่เซิ่งอย่างทุลักทุเล
“นายท่าน ระดับความอันตรายของการมุ่งหน้าต่อไป ต่อให้เป็นพวกเราก็ต้องลงมือเองถึงจะปกป้องหวังตงเอาไว้ได้ แต่แบบนี้จะทำให้ความลับของท่านถูกเปิดเผยนะคะ ข้าขอแนะนำให้ท่านเรียกตัวทุกคนกลับมา พร้อมกับพาน้องชายของท่านออกจากเขตอันตรายทันที”
เสียงผู้หญิงที่แหลมสูงสะท้อนในห้อง
หวังจิ้งเงียบไปสักพัก ก่อนจะยิ้มขึ้น
“ไม่เป็นไร เพียงแค่มีความเป็นไปได้เท่านั้น ฉันรู้จักน้องชายของฉันดี เขาคิดทำอะไร ไม่มีใครขวางได้หรอก ให้เขาไปเถอะ”
“ถ้าหมดหนทางค่อยลงมือ” หวังจิ้งสีหน้าเรียบนิ่ง สายตาจับต้องบนร่างเจย์ลาอีกครั้ง
“นอกจากนี้ให้ซื้อชุดแบบนั้นให้ฉัน ฉันต้องการแบบเดียวกันเป๊ะๆ”
เธอว่าพลางชี้ชุดบนตัวเจย์ลาในลูกแก้วคริสตัล
“รับคำสั่ง”
หวังจิ้งลุกขึ้นอยู่ด้านหน้าลูกแก้วคริสตัล ก่อนจะบิดขี้เกียจช้าๆ
“พวกเขาถูกท่านสะกดจนหายใจไม่ออกแล้ว ถ้ารอบตัวหวังตงปรากฏเจ้าอนัตตาของฝ่ายเรา จะต้องทำให้ตำแหน่งร่างจริงของท่านรั่วไหลแน่นอน ความพยายามที่ผ่านมาของพวกเราอาจจะสูญเปล่า และท่านจะตกอยู่ในอันตรายด้วย นายท่าน ได้โปรดไตร่ตรองอีกทีเถอะขอรับ” เสียงชายแก่ชราอีกเสียงดังขึ้น
“ฉันรู้สึกได้ว่า…ที่นี่สำคัญกับน้องชายของฉันมาก” หวังจิ้งตอบอย่างราบเรียบ
“แยกย้ายกันได้แล้ว”
“แต่นายท่าน...?”
“แยกย้าย”
แม้ปัจจุบันเทพแห่งการทำลายล้างอีกสององค์ที่เหลือจะถูกหวังจิ้งสะกดไว้จนตกเป็นเบี้ยล่าง แต่สถานการณ์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ในทันที
หวังจิ้งเพิ่งตื่นมาได้ยี่สิบปี เทียบกับการสั่งสมมามากว่าพันปีของเทพแห่งการทำลายล้างองค์อื่นๆ ยังห่างกันอีกไกล
ดังนั้นก่อนที่ร่างจริงจะฟื้นฟูพลังกลับมาอย่างสมบูรณ์ เธอจะปล่อยให้อีกสองคนพบตำแหน่งของร่างจริงไม่ได้เด็ดขาด
หากความแตกเมื่อไร ผลแพ้ชนะอาจจะกลับตาลปัตรได้ตลอดเวลา นี่เป็นสิ่งที่บริวารของเธอเป็นกังวลถึงขีดสุด
เกิดว่าบริวารระดับเจ้าอนัตตาถูกเทพแห่งการทำลายล้างที่เหลือเจอตัว พวกเขาก็จะหาร่างจริงของเธอเจอผ่านการเชื่อมต่อพลังระหว่างเจ้าอนัตตาพวกนี้กับตัวเธอ
ดังนั้นนี่จึงมีความเสี่ยงสูงมาก
ความจริงหวังจิ้งก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าลู่เซิ่งจะไปยังแดนต้องห้ามอาวาโลว์ ที่นั่นคือหนึ่งในอาณาเขตไม่กี่แห่งที่อันตรายที่สุดบนโลก
แต่เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ สิ่งที่เธอทำได้คือการแอบสนับสนุนลู่เซิ่ง ป้องกันไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บ
อันตรายที่อยู่ที่นั้น เธอก็เคยสัมผัสมาก่อน หากไม่เกิดเรื่องก็ดีไป ทว่าถ้ามีเรื่องเมื่อไร…ต่อให้เสี่ยงที่ความลับจะเปิดเผยก็ต้องลงมือ
……………………………………….
Comments