ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 969 วิปโยค (1)
ลำแสงสีแดงอมม่วงถูกยิงออกมาจากดวงตาของโฮเซลันงูเหลือมยักษ์ และยิงกวาดใส่ต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งเหมือนกับคมดาบ
เกิดเสียงระเบิดดังตูม ต้นไม้ยักษ์ล้มลง
โฮเซลันหัวเราะพลางกวาดตามองอีกฝั่งหนึ่ง
มนุษย์หมอกดำกลุ่มหนึ่งพากันระเบิดออกแล้วรวมร่างขึ้นในสถานที่อื่นๆ
“เป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ดีแน่! เนตรพิษของนางแข็งแกร่งเกินไป! ถ้าพวกเราไม่ถอยก็ต้องหาวิธีสะกด!” หมอกดำกลุ่มหนึ่งส่งเสียงดัง
มนุษย์หมอกดำหลายกลุ่มพลิกไปมากับพื้น หลบพ้นลำแสงที่เหมือนกับแสงเลเซอร์สีแดง
บนพื้นเต็มไปด้วยรอยไหม้ดำเกรียมหลังจากถูกลำแสงกวาดผ่าน
หมอกดำร่างคนที่เป็นผู้นำไม่พูดอะไรสักคำ คอยเร่งความเร็วหลบการกวาดยิงของลำแสงอย่างต่อเนื่อง
แผ่นหลังของเขามีวัตถุทรงรังไหมสีดำกลุ่มหนึ่งกำลังเต้นอย่างช้าๆ เหมือนหัวใจ
เหมือนกำลังบ่มอะไรอยู่
ตูม!
มีหมอกดำร่างคนอีกกลุ่มโดนลำแสงกวาดยิงใส่ พลันร้องโหยหวน ก่อนที่ร่างกายจะสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
หัวหน้าหมอกดำสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สะกดอารมณ์ที่ร้อนใจกว่าเดิม
“ข้านับถึงสาม! ทุกคนพร้อมกัน!”
“หนึ่ง…สอง…สาม!”
เขาหมุนตัวใช้แผ่นหลังเล็งไปที่โฮเซลัน รังไหมที่เต้นอยู่บนแผ่นหลังปริแยกออก ยิงของเหลวสีแดงเข้มสายหนึ่งออกมาใส่ลำแสงพอดี
ซู่!
ควันเน่าเข้มข้นพลันลอยขึ้นด้านบน ปกคลุมโฮเซลันเอาไว้
“ไป!” หัวหน้าหมอกดำฉวยโอกาสตะโกน
หมอกดำทั้งกลุ่มได้รับความเสียหายมากกว่าครึ่ง เวลานี้ต่างกระจายกันออกไป
“ไปช่วยหวังตง!” หัวหน้าหมอกดำร้องขึ้น
ซู่!
เสียงคำรามอันบ้าคลั่งของโฮเซลันส่งมาจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง
นางคำรามพร้อมกับบิดลำตัวพุ่งเข้าใส่มนุษย์หมอกดำทั้งกลุ่มด้วยสองตาที่ยังเหลือเลือดติดอยู่
“อย่าหนี!”
สองฝ่ายหนึ่งไล่หนึ่งหนีเป็นระยะทางมากกว่าพันเมตรในพริบตา
โฮเซลันเร็วถึงขีดสุด ไม่นานก็ไล่ตามมนุษย์หมอกดำสองกลุ่มสุดท้ายทัน นางงับปากไปด้านหน้า งับร่างครึ่งท่อนของมนุษย์หมอกดำกลุ่มหนึ่งไว้
“ไม่ต้องสนใจข้า! รีบไปช่วยหวังตงซะ! รีบไป!” มนุษย์หมอกดำที่ถูกงับตะโกน
ทางขวามือ ลู่เซิ่งหิ้วตัวแอนดี้แหวกพุ่มไม้ออกมา
“ใครเรียกฉัน”
โฮเซลันกับมนุษย์หมอกดำทั้งกลุ่มงุนงง บรรยากาศกระอักระอ่วนอยู่ชั่วขณะ แต่ทันใดนั้น ฝั่งหนึ่งก็ตื่นตระหนก ส่วนอีกฝั่งยินดี
“รีบหนี!”
“หนีเร็ว!”
“จัดการทีเดียวเลยก็แล้วกัน! ฮ่าๆๆๆ!”
เสียงตะโกนและเสียงหัวเราะอย่างได้ใจของโฮเซลันระเบิดขึ้นข้างหูลู่เซิ่ง ผสมผสานกันเป็นเสียงเดียว
“พวกแกเงียบหน่อยได้ไหม” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ
“รีบหนี!”
“หนีสิ หนีไป!”
“มาอีกคำ! มาอีกคำหนึ่ง!!”
ทั้งสองฝั่งยังตะโกนอยู่
ลู่เซิ่งหลับตา รู้สึกว่าขมับเต้นตุบๆ
“อ๊ากกกก!”
เสียงแผดร้องอย่างบ้าคลั่งระเบิดขึ้นเหมือนสายฟ้าคำราม ลู่เซิ่งก้าวไปด้านหน้าสามก้าว แล้วกระแทกฝ่ามือใส่โฮเซลันที่พุ่งเข้ามา
ตูม!
ร่างของโฮเซลันเหมือนถูกรถบรรทุกหนักชนใส่ เกล็ดเปลี่ยนรูปร่างและแตกหักเป็นชิ้นๆ นางแผดเสียงร้อง ร่างขดเหมือนกับเชือกปลิวออกไป แล้วกระแทกเข้ากับหน้าผาที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตร
มองไปไกลๆ เห็นบนหน้าผากลายเป็นสีแดงฉาน ทั้งหมดเป็นเลือดที่พุ่งออกจากร่างโฮเซลัน…
เสียงคำรามดังสนั่นทำให้เหล่ามนุษย์หมอกดำที่เมื่อครู่ยังโวยวายหุบปาก
ใบไม้โปรยปรายลงมาราวกัยสายฝน แมลงและสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยในพุ่มหญ้าต่างหัวหมุน พวกที่อ่อนแอหน่อยถูกเสียงสั่นสะเทือนจนตายคาที่
ลู่เซิ่งเลียริมฝีปาก ชักมือกลับก่อนยืดร่างขึ้น
“เงียบได้สักที ฉันไม่ชอบให้ใครขัดใจฉัน ดังนั้น…” เขากวาดตามองหมอกดำที่อยู่ล้อมรอบ
“ถ้าพวกนายไม่เชื่อฟัง ฉันจะพิจารณาให้พวกนายเจอแบบมัน” เขามองโฮเซลันที่ฝังอยู่บนหน้าผาไกลออกไป
เมื่อครู่เป็นเพราะเขาไม่ได้กลับร่างสมบูรณ์ เพียงใช้แขนขวาปลดปล่อยพละกำลังออกมาส่วนหนึ่งง่ายๆ ดังนั้นโฮเซลันจึงรอดชีวิตได้ ทว่าก็พิการเสียแล้ว
ไม่อย่างนั้นถ้าเขากระแทกฝ่ามือด้วยร่างสมบูรณ์ ต่อให้เป็นงูที่มีผิวหนังหนา อย่างไรก็ได้แต่กลายเป็นซุปงูเท่านั้น
แอนดี้ยิ้มฝืดเฝืออยู่ด้านหลังเขา จนถึงตอนนี้ เขารู้แล้วว่าน้องชายของราชาเทพของตนมีนิสัยแบบใด
ควรบอกว่าสมกับเป็นพี่น้องกันล่ะมั้ง ท่าทีกับวิธีการในด้านนี้แทบไม่ต่างกันเลย
สมกับคำพูดว่าไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตูบานเดียวกันจริงๆ
“แอนดี้ นายมาอธิบายให้พวกเขาฟัง” ลู่เซิ่งไม่ชอบกล่าวคำพูดไร้สาระ พอเห็นมนุษย์หมอกดำด้านหน้าเงียบลงแล้ว เขาก็หมุนตัวเดินไปพักผ่อนใกล้ๆ
แต่พอเดินไปได้ครึ่งทางกลับลังเลเล็กน้อย เพราะท้องกำลังปั่นป่วน
คำนวณเวลาดู ไม่ได้กินอะไรมาสี่ชั่วโมงแล้ว…
เขาจึงเลื่อนสายตาไปอยู่บนร่างงูยักษ์สีแดงอย่างไม่รู้ตัว
…
พรุ่บ!
กองไฟสีแดงลุกไหม้ สะเก็ดไฟสีแดงอ่อนจางกระเด็นออกมาเป็นระยะ
ลู่เซิ่งถือเนื้อเสียบไม้สีแดงขนาดใหญ่ไว้ในมือ ทางหนึ่งทาเครื่องปรุง ทางหนึ่งคอยพลิกไม้ไปมา
ข้างๆ มีมนุษย์หมอกดำสิบกว่ากลุ่มยืนรอเขากินจนหมดภายใต้การนำของผู้นำที่ชื่อมินเคอ
ไกลออกไป ผิวหนังของโฮเซลันกองสุมกันอย่างไม่เป็นระเบียบ ปรากฏเป็นสีสันโปร่งแสงเหมือนกับคราบงู
“ความจริงฉันสัมผัสได้แต่แรกแล้วว่าพวกนายคอยตามฉันอยู่ แต่ขี้เกียจจะสนใจเฉยๆ นึกไม่ถึงว่าพวกนายจะเป็นลูกน้องของพี่สาวฉัน เรื่องนี้ชวนประหลาดใจจริงๆ” ลู่เซิ่งมองดูเนื้อเสียบไม้ น่าจะสุกแล้ว จากนั้นก็ยัดใส่ปากทั้งเนื้อทั้งไม้
เขากินคำละสิบกว่าไม้ ตัวโฮเซลันยาวสิบห้าเมตร เวลานี้เหลือหางที่ยาวสองเมตรกว่าๆ บนพื้น ส่วนอื่นๆ อยู่ในท้องของลู่เซิ่งไม่เว้นแม้แต่กระดูก
“ฝ่าบาทหวังตง พวกเราไม่ควรจะเสียเวลาอยู่ที่นี่อีก มารยักษากำลังจะฟื้นคืนชีพ สิ่งที่พวกเราเผชิญอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่แค่เทพแห่งการทำลายล้างองค์เดียว หากมีถึงสององค์ ถ้าพวกเขาทั้งสองถูกส่งมาพร้อมกัน…”
หัวหน้ามินเคอเกลี้ยกล่อม แต่ยังพูดไม่จบก็ถูกลู่เซิ่งตัดบทก่อน
“พวกนายรู้ไหมว่าฉันมาที่นี่ทำไม” ลู่เซิ่งย้อนถาม
“…”
หมอกดำทั้งกลุ่มส่ายหน้า พวกเขาเหมือนกับมนุษย์ที่สวมผ้าสีดำ ดังนั้นจึงแสดงการเคลื่อนไหวที่ละเอียดอ่อนอย่างการส่ายหน้าได้อย่างชัดเจน
“เป็นเพราะ…โลกสื่อวิญญาณอ่อนแอเกินไป…” ลู่เซิ่งถอนใจ “โลกช่างน่าเบื่อเหลือเกิน เมื่อไม่มีคู่ต่อสู้ มันก็จืดชืดเหมือนกับบ่อปลาที่ไม่มีปลานั่นแหละ ดังนั้นฉันถึงอยากจะมาหาสิ่งที่น่าสนใจ”
“…”
คำด่าผุดขึ้นในใจมินเคอ ไม่รู้ว่าควรจะพูดดีหรือไม่ พวกเขาเสี่ยงชีวิตปกป้องเจ้าหมอนี่อยู่ค่อนวัน แต่เจ้าหมอนี่ดันมาเสี่ยงอันตรายหาความตื่นเต้นเหรอเนี่ย
งั้นที่พวกเขาเสี่ยงชีวิตปกป้องอีกฝ่ายจะมีความหมายอะไร
รู้แบบนี้คงให้เขาไปตายเองแต่แรก
มินเคอกับแอนดี้ต่างก็ปวดหัวเหมือนกัน
ด้วยประสบการณ์ตลอดพันปีของพวกเขา มองแวบเดียวก็ดูออกว่าลู่เซิ่งเป็นคนจริงใจคนหนึ่ง
และความจริงใจนี้ก็พิเศษมาก
ชวนให้คนรู้สึกว่าเขาไม่มีทางโกหกเด็ดขาด เพราะไม่มีเหตุผลให้โกหก
เหมือนกับไม่ว่าคนภายนอกจะตอบสนองอย่างไร ก็ไม่มีความหมายอะไรสำหรับตัวเขา
คล้ายกับคนธรรมดาไม่มีทางพูดจาโกหกพกลมหรือพูดเองเออเองกับอาหารในจานตัวเอง
สำหรับลู่เซิ่งก็คล้ายๆ กัน สิ่งมีชีวิตที่อยู่ต่อหน้าเขามีสองประเภทเท่านั้น
ได้แก่ ‘ของดิบ’ และ ‘ของสุก’
…
ตอนนี้มินเคอรู้สึกว่าสายตาที่ลู่เซิ่งใช้มองตนเป็นอย่างนี้
เขาชาไปทั้งตัว ถ้าเขามีหนังศีรษะของชาติก่อน เขาจะต้องเห็นบนศีรษะของตัวเองมีตุ่มเล็กๆ โผล่ขึ้นมาแน่นขนัดแน่
“พวกนายบอกว่าที่นี่อันตรายมากสินะ” ลู่เซิ่งใคร่ครวญ “เป็นเพราะที่นี่จะปรากฏมารยักษาหรือแม่ทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของเทพแห่งการทำลายล้างใช่ไหม”
“ขอรับ! มารยักษาเป็นอมตะและมีพลังน่ากลัว มีแต่ตัวตนในระดับเดียวกันเท่านั้นถึงจะขวางพวกมันไว้ได้ สำหรับมัน พวกเราไม่มีความหมายแม้แต่น้อย” มินเคอแบกหน้าอธิบาย
“เป็นอมตะเหรอ ร้ายกาจขนาดไหน เผาให้กลายเป็นเถ้าได้ไหม” ลู่เซิ่งเกิดความสนใจ
“เอ่อ…กายเนื้อของมารยักษามีคุณสมบัติต้านทานสูงมากขอรับ พวกเราไม่เคยลองเผามันเป็นเถ้ามาก่อน...” มินเคอตอบเบาๆ
“เดี๋ยวค่อยลองดู” ลู่เซิ่งกล่าวพลางพยักหน้า
“แต่ถ้าพวกเราไม่รีบกลับไป ทางนายท่านจะ…”
“นายกลับไปแล้วช่วยปกป้องเธอได้ไหมล่ะ”
“…” มินเคอตอบไม่ได้
ในการต่อสู้ระดับเทพแห่งการทำลายล้าง อย่าว่าแต่ช่วยเหลือเลย ขอแค่อย่าเป็นตัวถ่วงก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ครืน…
ทันใดนั้นผืนดินก็เริ่มสั่นไหว
ลู่เซิ่งโยนเนื้อเสียบไม้ทิ้งแล้วลุกขึ้น
“มาแล้วเหรอ มารยักษา”
มินเคอกลืนน้ำลาย อยากจะเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง
เปรี้ยง!
ผืนดินถูกพลิกเหมือนกับพรม
สัตว์ประหลาดร่างกำยำผิวสีดำสนิทที่มีหัวเป็นกระทิงตัวเป็นคนมุดออกมาจากดิน มันกระโดดลงบนพื้นระหว่างลู่เซิ่งกับมนุษย์หมอกดำอย่างแผ่วเบา
สัตว์ประหลาดตัวนี้มีหัวเป็นกระทิง สวมเสื้อผ้าเหมือนผ้าขี้ริ้วสีดำอมเทาที่เหมือนกับเสื้อคลุม
มันสะพายขวานด้ามสั้นที่เรียบง่ายและเต็มไปด้วยสนิมไว้บนหลัง
ตัวมันสูงราวหนึ่งเมตรแปดสิบเซ็นติเมตร ใกล้เคียงกับผู้ใหญ่ทั่วไป
ถ้าไม่ใช่เพราะหัวของมัน คงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นแม่ทัพเสาหลักที่แข็งแกร่งที่สุดภายใต้สังกัดเทพแห่งการทำลายล้างแพลทินัม
“โฮเซลันกับบาเนสล่ะ” หัวกระทิงกวาดตามองรอบๆ พร้อมกับสะบัดดินที่เปื้อนร่างตนออกไปด้วย
ตอนที่เขาเห็นพวกมินเคอซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง ใบหน้าก็พลันฉายแววแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเจ้านี่เอง…ไม่ได้เจอกันมามากกว่าพันปีแล้วสินะ” มนุษย์หัวกระทิงก้มมองมินเคอ
“ถ้าเดาไม่ผิด ตอนนี้ อาณาเขตนี้น่าจะเป็นของราชาเทพแห่งข้าใช่ไหม” เขายื่นมือไปจับขวานด้ามสั้นที่อยู่บนหลัง
“โฮเซลัน! ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!” มันร้องคำราม เสียงถึงกับกระเพื่อมขึ้นกลางป่าเหมือนสายฟ้าฟาด คล้ายกับลู่เซิ่งเมื่อครู่
พุ่มไม้ที่อยู่ใกล้หน่อยถูกกระแทกจนเปลือกไม้แห้งหลุดร่วง
แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้โฮเซลันเหลือแค่ผิวหนังแล้ว
“มารยักษาอายดี้…เจ้าเพิ่งจะหลับลึกไปไม่ใช่หรือ เวลานี้ยังไม่ถึงกลางดึกเลย…” มินเคอกลืนน้ำลายพร้อมกับค่อยๆ ถอยหลัง ไม่กล้าบอกความจริงกับอีกฝ่าย
ระดับมารยักษากับเจ้าอนัตตาทั่วไปเป็นคนละสายพันธุ์โดยสิ้นเชิง
ต่อให้เขาเป็นเจ้าอนัตตาระดับสูงสุด แต่ก็ยังแตกต่างจากมารยักษาตรงหน้าราวฟ้ากับเหว ไม่มีโอกาสไล่ตามได้ทัน
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น มนุษย์หมอกดำอีกสิบกว่ากลุ่มที่เหลืออยู่ก็พากันถอยหลังอย่างอดไม่ได้เช่นกัน
นี่คือแรงกดดันทางสายเลือดของมารยักษาที่มีมาตั้งแต่เกิด เป็นพลังรังสีความกดดันที่มีเฉพาะในหมู่เครือญาติของเทพแห่งการทำลายล้างเท่านั้น
……………………………………….
Comments