ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 971 ราชาวิญญาณ (1)
“…”
เสือชีตาห์แลบลิ้น กวาดตามองเจย์ลาด้วยท่าทางเหมือนมองคนปัญญาอ่อน ก่อนจะหันไปงีบหลับต่อ
เจย์ลางุนงงเล็กน้อย แบบนี้ไม่ถูกต้องสิ…เมื่อครู่เธอใช้จี้ไล่สัตว์มากมายให้ตกใจเตลิดหนีไป
ตอนนี้ทำไมถึงไม่มีปฏิกิริยาล่ะ
หลังจากขบคิด เธอก็แหย่จี้ไปอีกครั้ง
“สงสัยจะไม่พอ…”
เธอเปลี่ยนมุมของสร้อย ใช้ส่วนที่แหลมที่สุดของจี้แหย่ใส่เสือชีตาห์
โฮก!
เสือชีตาห์เผ่นพรวดขึ้น ขนลุกชูชัน ก่อนจะหมุนตัวหนีเหมือนกับเห็นผี
เจย์ลาโล่งอก ก็ได้ผลนี่นา!
เธอหันไปมองสามคนด้านหลัง!
“เฮ้ พวกนายรีบมาเร็ว ฉันไล่เสือชีตาห์ไปแล้ว”
พวกแจ๊คพากันโล่งอก เมื่อครู่นี้พวกเขาอกสั่นขวัญแขวน กลัวว่าเจย์ลาจะถูกเสือชีตาห์ขย้ำทั้งเป็นโดยไม่ทันระวัง ตอนนี้ดูเหมือนผลลัพธ์จะไม่เลว
ทั้งสามลุกขึ้นเดินทางต่อ ไม่กล้าเสียเวลาแม้แต่วินาทีเดียว
พวกเขาเพิ่งเดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร พุ่มไม้ด้านหลังก็มีเสียงดังแซ่กๆ
พุ่มไม้สีเขียวเข้มกลุ่มใหญ่ถูกแหวกออก ชายที่ดูคุ้นตาคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
เขาถือขวานที่หักแล้วด้ามหนึ่งเอาไว้ ขวานเหลือส่วนเล็กๆ บนมือเท่านั้น ไม่ต่างจากกระบองปลายทู่
“พวกนั้นยังอยู่อีกเหรอเนี่ย” ลู่เซิ่งเหลียวมองตำแหน่งที่ทั้งสามหยุดพัก สุดท้ายก็มองไปยังทิศทางที่พวกเขาจากไป
“คนธรรมดาพวกนั้น ให้กำจัดทิ้งไหมขอรับ” มินเคอถามขึ้นเบาๆ
“ไม่ต้อง รีบกลับก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งส่ายศีรษะ
เขาตรวจสอบมารยักษาที่มนุษย์หมอกดำหามอยู่อีกครั้ง มันถูกพวกหมอกดำพันธนาการไว้จนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้
“ไปเถอะ”
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจ ฉีกเสื้อที่ถูกทำลายจนแหลกทิ้ง เสื้อผ้าตัวเดิมเหลือเศษผ้านิดหน่อยเท่านั้น ก่อนจะเปลี่ยนตัวใหม่
เขาถอดเสื้อตัวนี้มาจากร่างมารยักษา มันสวมเสื้อคลุมสีเทา จึงเอามาสวมใส่ได้พอดี
“จริงสิ เก็บกลิ่นอายบนตัวซะ ป้องกันไม่ให้ส่งผลต่อสัญญาณ เดี๋ยวฉันแบกมันเอง นอกจากนี้ พวกนายมีใครมีโทรศัพท์บ้าง” ลู่เซิ่งกวาดตามองพวกหมอกดำ
มินเคอส่งโทรศัพท์ของผู้หญิงเครื่องเล็กๆ ให้ทันที
“เป็นของที่พวกคนเมื่อกี้ทำหล่นไว้ขอรับ”
“ดี”
ลู่เซิ่งพยักหน้าพร้อมกับรับโทรศัพท์มา กดปุ่มเปิดเครื่อง อินเตอร์เฟซที่โผล่มาเป็นหน้าจอที่ล็อกอยู่
บนหน้าจอเป็นภาพสาวสวยสวมบิกินี่ที่ถือกล้วยลูกหนึ่งไว้ในมือ และทำท่ากัดเบาๆ ด้วยท่าทางยั่วยวน
ผู้หญิงคนนี้ก็คือเจย์ลานั่นเอง
ลู่เซิ่งมองโทรศัพท์
“ใครปลดล็อกเป็นบ้าง”
พวกหมอกดำพากันส่ายหน้า
ลู่เซิ่งฟาดโทรศัพท์เข้ากับต้นไม้ด้านข้าง
ติ๊ง
โทรศัพท์ปลดล็อคโดยอัตโนมัติ
จากนั้นเขาก็ดึงมันมากดปุ่มโทรออกอย่างพอใจ หลังติดต่อกับคนของสำนักเคลื่อนภูผาและสั่งให้เครื่องบินส่วนตัวออกมาแล้ว เขาจึงกดวางสาย
“ไปเถอะ”
ทุกคนเดินทางต่อ ระยะก้าวของพวกเขาย่อมเร็วกว่าพวกเจย์ลาไม่รู้กี่เท่า
แค่ไม่กี่นาที ก็ตามสี่คนที่เดินอยู่ด้านหน้าทัน
ไม่นานก็เดินถึงหน้าลำธารผืนหนึ่ง
ลู่เซิ่งกำลังจะลุยน้ำตื้นไปจากกลางลำธาร ก็เงยหน้าเห็นเจย์ลาที่ยืนอยู่ต่อหน้าฝูงจระเข้เข้า
“พวกนายไม่ต้องกลัว รอฉันไล่พวกมันไป ก็ให้ไปต่อทันทีนะ!” เจย์ลาถือจี้เดินเข้าไปด้วยสีหน้ามั่นใจ
จระเข้ฝูงนั้นกำลังออกหาอาหารอย่างตะกละและหิวโหยอยู่ริมลำธาร พวกมันคล้ายจะสงสัยในตัวเจย์ลาที่เข้ามายั่วยุเองเป็นอย่างยิ่ง
มนุษย์ที่หน้าตาเหมือนอาหารผู้นี้เหมือนจะมีความมั่นใจมาก ความมั่นใจที่อธิบายไม่ได้นี้กลับทำให้พวกมันลังเลอยู่บ้าง
“ถึงตอนนี้สายตาพวกมันจะดุร้าย ความจริงในใจพวกมันจะต้องกลัวแทบตายอยู่แน่ พวกเราเป็นนักสัตววิทยา เชี่ยวชาญการมองอารมณ์ของสัตว์ ดังนั้นไม่ต้องกลัว!” เจย์ลาเอ่ยเสียงดังด้วยรอยยิ้ม
เฌอมานที่เป็นนักสัตววิทยาผู้เชี่ยวชาญตัวจริงในหมู่คนทั้งสามซึ่งอยู่ด้านหลังอ้ำอึ้ง เธอจำได้ว่าตอนที่เรียนหนังสือเห็นเจย์ลาที่อยู่ในชั้นปีเดียวกัน มาเรียนน้อยครั้งมาก
แม้เธอคิดจะเตือน แต่ก่อนหน้านี้ได้เห็นอานุภาพมากมายของจี้ในมือเจย์ลามาแล้ว จึงข่มเสียงร้องเตือนเอาไว้
“เวลานี้ พวกเราต้องห้ามถอย ใช้เสียงและการเคลื่อนไหวของตัวเองทำท่าขู่พวกมัน จระเข้ที่ขี้ขลาดพวกนี้ถึงจะตกใจหนีไปเอง”
เจย์ลาที่ไล่สัตว์ตัวเล็กๆ มาตลอดทาง โดยเฉพาะหลังจากไล่เสือชีตาห์ไปเมื่อครู่ เริ่มตื่นเต้นและนึกสนุก
เธอเหมือนกับได้ของเล่นใหม่ เวลานี้ปรารถนาจะใช้ความสามารถขับไล่นี้อย่างอดใจไม่ไหว
ลู่เซิ่งเห็นสายตาของจระเข้ฝูงนั้นเริ่มผิดปกติแล้ว
เขาพิจารณาจี้ในมือเจย์ลาอย่างหมดคำพูด
จี้เส้นนั้นไม่มีกลิ่นอายพิเศษอะไรเลย เป็นเครื่องประดับคริสตัลธรรมดาเท่านั้น
“ทำไมยัยนั่นถึงรอดมาถึงตอนนี้ได้กันนะ” เขาทอดถอนใจ จากนั้นก็อ้อมทาง เตรียมจะจากไปจากด้านข้างอย่างคร้านจะสนใจ เขาไม่คิดจะทำให้คนธรรมดาค้นพบความผิดปกติด้านนี้ เพราะอาจจะมีปัญหาได้
พวกหมอกดำรีบติดตามไป ส่วนมารยักษาที่ถูกลู่เซิ่งหามไว้บนบ่าเอี้ยวตัวไปมา แต่ก็ขยับเขยื้อนไม่ได้เหมือนกับถุงกระสอบขาดๆ
พวกแจ๊คไม่พบขบวนของลู่เซิ่งที่อ้อมทางจากไป
“พวกเราจะทิ้งพวกเขาไว้แบบนี้หรือ” แอนดี้อดส่งเสียงถามไม่ได้ “พวกเขามากับท่านไม่ใช่หรือ”
“ไม่เป็นไร หาที่ตายเองใครก็ห้ามไม่ไหว” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า
เพิ่งสิ้นเสียง ด้านหลังก็มีเสียงกรีดร้องดังมาทันที
ลู่เซิ่งหันไปเห็นพวกแจ๊คแบกหญิงสาวร่างอาบเลือด วิ่งมาทางด้านนี้อย่างสติแตก
จระเข้ฝูงหนึ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังพวกเขาไม่ยอมลดละ ทว่าหลังจากเห็นพวกลู่เซิ่ง พวกมันก็ชะงักและถอยหนีไปช้าๆ
แสดงให้เห็นว่า พวกมันทราบถึงระดับความอันตรายของลู่เซิ่ง
พอพวกแจ๊คเห็นลู่เซิ่งที่หามคนคนหนึ่งอยู่ ก็รีบเข้ามาใกล้ทันที
ครั้นเข้ามาใกล้ ลู่เซิ่งเพิ่งเห็นชัดๆ ว่าหญิงสาวที่เบนแบกอยู่คือเจลย์ลาที่เพิ่งทำท่ามั่นใจในตัวเองนั่นเอง
เอวกับแขนข้างหนึ่งของผู้หญิงคนนี้เต็มไปด้วยเลือดเหมือนถูกอะไรสักอย่างกัดมา ทั้งยังเห็นว่ามีเลือดทะลักออกมาจากแผลอย่างต่อเนื่อง
“โดนจระเข้กัดแต่ยังดิ้นหลุดได้อีกหรือ” ลู่เซิ่งแปลกใจเล็กน้อย แต่พอฉุกนึกได้ว่าคนกลุ่มนี้มีนักวิจัยที่เรียนสัตววิทยาอยู่ จึงน่าจะมีวิธีการของตัวเอง ก็หายประหลาดใจ
เมื่อพวกแจ๊คหันไปเห็นว่าจระเข้ไม่ไล่ตามแล้ว ก็พากันร้องโหยหวนพลางวางเจย์ลาไว้กับพื้นอย่างกระวนกระวาย ก่อนจะควานหาสิ่งที่ใช้ห้ามเลือดจากในกระเป๋า
เจย์ลาร่างกระตุก ตาโตงดงามมองท้องฟ้าโดยไร้ประกาย
เมื่อครู่ พริบตาที่จระเข้พุ่งเข้ามาหา สมองของเธอก็ขาวโพลนทันที
ความตายไม่เคยเข้าใกล้เธอเท่าวินาทีนั้นมาก่อน
และในพริบตานั้นเอง จี้ที่เธอถือก็เปล่งแสงบางๆ ออกมา แสงบางๆ สีขาวที่หากไม่พิจารณาให้ดีก็จะไม่เห็น
เป็นแสงนั้นที่ป้องกันปากใหญ่ของจระเข้ที่กัดลงมา ทำให้เธอไม่ถึงกับถูกจระเข้ที่แข็งแกร่งฉีกกระชากจากการสะบัดร่างของมัน
พลังของแสงทำให้ร่างกายของเจย์ลากระเด็นออกไปด้านข้างเอง จากนั้นก็ถูกพวกแจ๊คอุ้มหนีทันที
ผลสุดท้ายจึงกลายเป็นแบบนี้
เจย์ลาคิดว่าตัวเองต้องตายแล้ว
เธอเจอหนุ่มหล่อที่นั่งอยู่ด้านหลังเธอคนนั้นอีกครั้ง เขาหามใครบางคนไว้บนบ่า ใครคนนั้นเหมือนสวมหมวกกระทิง คล้ายกับนักแสดงละครสัตว์
จากนั้นเธอก็เห็นงูพิษสีเขียวตัวหนึ่งยื่นตัวออกมาเหนือศีรษะลู่เซิ่ง งูพิษตัวนั้นกำลังจะกัดแจ๊คที่อยู่ใกล้ๆ ทว่าพอมันเห็นลู่เซิ่งที่อยู่ด้านข้าง ร่างกายก็เหมือนถูกไฟช็อต หมุนตัวเผ่นหนีไปทันที
เมื่อเห็นภาพนี้ แม้เจย์ลาจะไม่ทราบว่าเหตุใดงูพิษจึงแสดงออกมาอย่างกับมนุษย์ได้ถึงขนาดนี้ แต่เธอก็รู้สาเหตุจริงๆ อย่างคร่าวๆ แล้ว
“ที่แท้ จี้ไม่ได้มีผลอะไรตั้งแต่ต้น…แต่สิ่งที่มีผลจริงๆ คือเขา…”
จิตใจของเจย์ลาเหนื่อยล้าขึ้นเรื่อยๆ ความเจ็บปวดรวดร้าวของร่างกายเหมือนกับกำลังค่อยๆ หลุดลอยจากเธอไป
‘ช่วยด้วย…ช่วยด้วย…ฉันไม่อยากตาย…’ เธอวิงวอนในใจ
จากนั้นเธอก็เห็นลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้าหันกลับมามองเธอเหมือนได้ยินคำวิงวอนในใจของเธอ
“ฉันช่วยเธอได้ แต่ฉันต้องการให้เธอช่วยทำเรื่องหนึ่ง” เสียงของลู่เซิ่งถึงกับดังขึ้นในใจเธอ
เจย์ลาลืมตาโตทันที
โครม
เบนทรุดนั่งกับพื้น ก่อนจะหอบหายใจเหมือนกับเครื่องสูบลม
แจ๊คร้องโวยวายอยู่ใกล้ๆ น้ำตานองหน้า เฌอมานแฟนสาวของเขาถูกตะขาบกัดเข้าตอนกำลังหนี
ตอนนี้พอหยุดนิ่งใบหน้าก็ม่วงคล้ำ ใกล้จะไม่ไหวเต็มที
ทางเบนเสียเลือดไปหนึ่งในสาม ตาพร่าลงเรื่อยๆ จนเกือบจะมองอะไรไม่เห็นแล้ว
ลู่เซิ่งยืนรอคอยอย่างสงบอยู่ด้านข้าง สถานที่ที่เขานัดแนะกับสำนักเคลื่อนภูผาคือตรงนี้
ไม่นานนัก เสียงใบพัดที่ทรงพลังก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
“เฮลิคอปเตอร์! เป็นเฮลิคอปเตอร์!” แจ๊คกระโดดผลุงขึ้นด้วยความลิงโลด
“พวกเรารอดแล้ว! รอดแล้ว!” เบนลุกขึ้นพร้อมกับตะโกน
ไม่นานนัก เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธก็หยุดเหนือศีรษะพวกเขา แล้วปล่อยเชือกเส้นหนึ่งลงมาด้านหน้าลู่เซิ่ง
ไม่สนใจแจ๊คกับเบนที่กำลังโบกมืออย่างบ้าคลั่งอยู่ใกล้ๆ แม้แต่น้อย
ลู่เซิ่งจับเชือกไว้แล้วหันไปมองเจย์ลา
เขาเหมือนจะได้ยินเสียงตะโกนวิงวอนที่อยู่ในใจของเธอ
เขาคลายมือจากเชือก เดินเข้าไปอุ้มเจย์ลาขึ้นไว้บนบ่าด้านตรงข้ามกับมารยักษา จากนั้นก็จับเชือกด้วยสองมือ แล้วไต่ขึ้นไปถึงเฮลิคอปเตอร์ในเวลาไม่นาน
น้ำหนักของทั้งสองคล้ายจะไม่ส่งผลใดๆ ต่อเขาแม้แต่น้อยราวกับไม่มี
หมอกดำที่เหลือพากันลอยขึ้นไปเกาะกับเฮลิคอปเตอร์ ร่างของพวกเขาแยกเป็นหมอกดำหลายสายแล้วผสมผสานกัน ประหยัดพื้นที่ถึงขีดสุด วนเวียนเติมเต็มห้องโดยสารในลักษณะนี้
ลู่เซิ่งโยนร่างทั้งสองเข้าไปไว้บนพื้นห้องโดยสาร
“ไปเถอะ กลับกัน”
นักบินมองสามคนที่อยู่ด้านล่าง
“พวกด้านล่าง…”
“ไม่ได้มากับฉัน ไปได้แล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
ต่อให้จะเป็นเจย์ลา เขาก็เห็นแก่กลิ่นอายพลังวิญญาณที่ปรากฏแวบบนตัวเธอเมื่อครู่ ถึงตอบรับคำวิงวอนและยอมแลกเปลี่ยนเงื่อนไขกับอีกฝ่าย
แน่นอนว่าลู่เซิ่งไม่เคยทำธุรกิจขาดทุน
แค่มนุษย์ธรรมดาคนเดียว ที่ช่วยชีวิตเธอก็เพราะองค์กรทับทิมที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น
คนคนหนึ่งที่องค์กรทับทิมมอบของขลังคุ้มครองให้ ไม่น่าจะมีสถานะหรือตำแหน่งต่ำต้อย
เขาไม่เคยเห็นของขลังป้องกันที่มีพลังวิญญาณใดๆ บนตัวของหวงย่าแห่งสำนักเคลื่อนภูผา อุปกรณ์ชนิดนี้น่าจะหายากเป็นอย่างยิ่ง เขาถึงกับมองไม่ออกว่าบนตัวเธอมีวัตถุปกป้องชีวิต
ดังนั้นนี่จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาช่วยคน
……………………………………….
Comments