ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 973 ราชาวิญญาณ (3)
ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปมองที่แขนข้างนั้น
แขนข้างนั้นขาวบริสุทธิ์และบอบบาง ผิวมีลวดลายเล็กๆ ที่เหมือนเส้นเลือดสีน้ำเงินอยู่รางๆ เล็บนิ้วคมกริบ ปลายนิ้วยังมีคราบเลือดแดงฉานติดอยู่เป็นหย่อมๆ
“มิติเวลา หยุดหมุน”
เสียงผู้หญิงที่แผ่วเบาและเย้ายวนดังขึ้น เหมือนกับเสียงร้องเพลงดังแผ่วๆ ในโถงพิธีการ สะท้อนกลับไปกลับมาในห้องอย่างต่อเนื่อง
หน้าต่างที่อยู่ใกล้ลู่เซิ่งที่สุดฉีกเป็นชิ้นๆ พรมบนพื้นแหลกสลายกลายเป็นสิ่งที่เหมือนกับฝุ่นผง
ภาพน้ำมันบนผนังลุกไหม้กลายเป็นสีดำเกรียม
ผิวผนังสีขาวโพลนม้วนตัวและกลายเป็นสีเทา เผยให้เห็นร่องรอยเก่าคร่ำคร่าเป็นด่างดวง
เปรี้ยงๆๆ!
ขวดเหล้ากับแก้วที่วางอยู่บนโต๊ะระเบิดแตก เหล้ามากมายยังไม่ทันกระเซ็นออกไปก็ถูกพลังแข็งแกร่งที่แปลกประหลาดชนิดหนึ่งระเหยจนแห้ง
“หาเจอแล้ว! อยู่นี่เอง!” เสียงผู้หญิงแสดงความประหลาดใจ
แขนสีขาวผ่องเปลี่ยนทิศทางตะปบมาทางลู่เซิ่งทันที
“ฮ่าๆๆๆ! จับได้แล้ว!”
…
ในโลกของเทพแห่งการทำลายล้าง
ภายใต้ท้องฟ้าหม่นมัว ฝุ่นผงสีเทาอันเหลือคณานับปรากฏบนผืนดินเป็นระยะ
มองเป็นภาพที่เหมือนมีฝนตกกลับหัว
ฝุ่นลอยขึ้นจากพื้นไปยังท้องฟ้า ก่อนจะหายไปยังสุดความว่างเปล่าที่ไหนสักแห่ง
บนที่ราบขรุขระอันกว้างขวางเต็มไปด้วยหลุมบ่อเหมือนกับหลุมบนดวงจันทร์ มีหลุมอุกกาบาตในลักษณะครึ่งวงกลมอยู่เต็มไปหมด
สถานที่บางส่วนมีเปลวไฟสีม่วงที่ลุกไหม้หลงเหลืออยู่ แม้ไม่มีเชื้อไฟใดๆ แต่ก็ยังลุกไหม้ต่อไป
สถานที่บางส่วนมีควันดำหนาแน่นลอยออกมา พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเป็นรูปเสา
เงาคนสามสายที่ลอยอยู่กลางอากาศกำลังประจัญหน้ากันตรงจุดที่มีควันดำอยู่มากที่สุด
สองคนในนี้ล้อมคนที่สามเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นหนา
คนหนึ่งเป็นชายผมทองท่าทางสูงส่งที่สวมเสื้อกันลมสีแดงขลิบทอง มองไปเหมือนขุนนางตระกูลเก่าแก่ หน้าประดับด้วยรอยยิ้ม บุคลิกสุภาพเรียบร้อย
เขาถือไม้เท้าที่ฝังอัญมณีสีรุ้งไว้นับไม่ถ้วน ทั้งยังสวมแหวนอัญมณีที่ซับซ้อนและวิจิตรงดงามซึ่งส่องประกายสีทองระยิบระยับไว้วงหนึ่ง
อีกคนเป็นหญิงสาวหน้าตาหยาดเยิ้มเจ้าของผมยาวถึงบ่าสีเงิน ใบหน้าหมดจด ทรวดทรงร้อนแรง
เธอใส่กระโปรงบาน ฟูฟ่อง เนื้อผ้าบางเบา สีขาว สองขาเรียวเล็กสวมถุงน่องเนื้อบาง แขนข้างหนึ่งสวมถุงมือยาวประดับลูกไม้สีขาวอันงดงาม ส่วนมืออีกข้างที่ไม่ได้สวมอะไรแตะอยู่บนทรวงอกของตัวเองเบาๆ
ทั้งสองคนกระหนาบหวังจิ้งพี่สาวในชาตินี้ของลู่เซิ่งเอาไว้ตรงกลาง
หวังจิ้งยังคงสวมกระโปรงขาวและถุงน่องดำ ผมสีดำเหมือนจะยาวขึ้น สยายไปถึงเอวอย่างนุ่มสลวย มือถือดาบไว้ข้างละเล่ม
ดาบทั้งสองเล่มยาวสั้นไม่เท่ากัน และเป็นประกายสีเทา
เทียบกับหญิงสาวหยาดเยิ้มที่อยู่ด้านหน้าแล้ว เธอมีบุคลิกเย็นชาเรียบเฉยกว่า แม้ว่าใบหน้าอันงดงามกับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบ จะทำให้เธอมีแรงดึงดูดที่อันตรายถึงชีวิตต่อผู้ชายเช่นกัน แต่ก็ยังด้อยกว่าหญิงสาวที่อยู่อีกฝั่ง
“แบล็คมิสต์ไม่ใช่สิ ชาตินี้เจ้าชื่ออะไรนะ หวังจิ้งเหรอ” หญิงสาวผมเงินที่สวมกระโปรงบานและฟูชักมือออกจากทรวงอกเบาๆ
ซู่…
ปลายนิ้วของเธอเกี่ยวตาข่ายสีแดงผืนใหญ่ออกมาจากทรวงอกของตัวเอง
สิ่งที่เหมือนกับใยแมงมุมพวกนี้เพิ่งจะออกจากร่างเธอ ก็เริ่มแผ่ขยายออกไป
“เจ้าจะบอกอะไร” หวังจิ้งมีสีหน้าไร้อารมณ์ เธอเสือกกระบี่สั้นในมือไปด้านหน้า พายุระลอกหนึ่งพัดขึ้นมาทันที
ลมพัดกรวดและทรายนับไม่ถ้วนบนพื้นขึ้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นพายุสีดำขนาดใหญ่ที่เชื่อมฟ้าเชื่อมดิน พุ่งใส่ใยแมงมุม
เดิมทีใยแมงมุมสีแดงกำลังแผ่ขยาย พลันถูกพายุสีดำหยุดเอาไว้ทันที แรงลมอันรุนแรงกระชากใยแมงมุมเข้าไป ไม่ทันไรใยแมงมุมก็ถูกฉีกขาดกระจัดกระจายหายเข้าไปในพายุ
“น้ำแข็งขาว” ชายสูงศักดิ์ที่อยู่อีกด้านชี้ไปที่พายุ
ทันใดนั้นพลันมีเกล็ดหิมะสีขาวนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาปกคลุมและแช่แข็งพายุยักษ์ หรือพายุสีดำที่กำลังพัดโหมอย่างบ้าคลั่งในพริบตา
ตูม!
เสาน้ำแข็งแหลกสลายกลายเป็นจุดแสงสีขาวนับไม่ถ้วนโปรยปรายออกไป
“หากไม่ใช้วิชาผลกรรม เจ้าก็หลุดจากการผนึกของเทพแห่งการทำลายล้างอย่างพวกเราสองคนไม่ได้” ชายสูงศักดิ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“แบล็คมิสต์ ยังจำตอนที่เจ้าจับข้ามัดไว้กับเสาสวรรค์และถลกหนังข้ามากกว่าพันดาบได้ไหม ครั้งนั้นข้าแพ้ แต่ครั้งนี้ข้าน่าจะชนะ”
ทั้งสองเหมือนจะล้อมแบบนี้ไว้มาได้เกือบสามชั่วโมงกว่าๆ แล้ว
ที่นี่คือโลกของเทพแห่งการทำลายล้าง เป็นโลกประหลาดที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างตลอดเวลา ต่อให้พวกเขาจะเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง
ก็จำเป็นต้องคอยป้องกันการกลืนกินไร้รูปร่างของที่นี่ทุกวินาทีเช่นกัน
สาเหตุที่พวกเขาลากหวังจิ้งมายังที่นี่ ก็เพื่อจะใช้พลังกลืนกินในสถานที่แห่งนี้ลดทอนกำลังของหวังจิ้งอย่างช้าๆ เหมือนใช้น้ำอุ่นต้มกบ แล้วกำจัดเธอในตอนสุดท้าย
พูดถึงพลังระเบิดและพลังทำลายล้าง หวังจิ้งแกร่งกว่าพวกเขาคนใดคนหนึ่ง ทั้งยังแกร่งกว่าไม่น้อย
ทว่าเมื่อเทียบความทนทานแล้ว พวกเขากลับแข็งแกร่งกว่าหวังจิ้ง
แทนที่จะบอกว่าพวกเขาแกร่งกว่าหวังจิ้ง ควรจะบอกว่าหวังจิ้งละทิ้งความทนทานและความอดทนส่วนหนึ่งไปเพื่อพละกำลังที่แข็งแกร่งกว่าเดิมจะดีกว่า
ชายสูงศักดิ์แพลทินัมกวาดมองหญิงสาวผมสีเงินที่อยู่ไม่ไกลออกไป
เพียงแต่ตัวแปรหนึ่งเดียวที่ปรากฏขึ้นก็คือ หวังจิ้งมีความทนทานเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้เล็กน้อย นอกจากนี้หนึ่งในไพ่ตายที่เธอเพิ่งจะใช้ก็ทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกหลอนว่าจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ด้วย
แม้เปลือกนอกจะยังคงทำท่าเหมือนมีแผนการเป็นมั่นเหมาะ แต่แพลทินัมกลับเริ่มร้อนใจแล้ว
“ลงมือเถอะ อย่าให้โอกาสนางพักหายใจ” หญิงสาวผมสีเงินคือสการ์เล็ต หนึ่งในเทพแห่งการทำลายล้างสามองค์
เธอกางแขนออกโดยไม่รีรอ บนท้องฟ้าพื้นดินที่มีอาณาเขตหลายพันตารางเมตรปรากฏตราประทับทรงกลมสีแดงนับไม่ถ้วนในทันใด
ตราประทับอันหนึ่งสว่างขึ้น เหมือนกับแสงไฟนับไม่ถ้วนที่ถูกจุดอย่างกะทันหัน
พรุ่บๆๆ!
เสาแสงสีแดงเหลือคณานับพวยพุ่งสู่ท้องฟ้าแล้วระเบิดออกดังเปรี้ยงกลางอากาศ กลายเป็นใยแมงมุมสีแดงอ่อนนับไม่ถ้วนกระจายลงมา
ชายสูงศักดิ์แพลทินัมยกไม้เท้าขึ้น เปลี่ยนมันให้กลายเป็นกระบี่สองคมขนาดยักษ์เล่มหนึ่ง
“อัคคีพิฆาต!”
เขาโบกมือเบาๆ คมกระบี่ยักษ์พลันฟันเปลวไฟสีทองคำขาวสิบกว่ากลุ่มออกมา ไฟวนเวียนรอบตัวหวังจิ้งทีหนึ่ง พร้อมกับยิงลำแสงสีขาวหลายสายออกมาเหมือนกับป้อมปืน
“…” หวังจิ้งไม่พูดไม่จา เงาดำหนาแน่นโผล่ขึ้นรอบตัว
เงาสีดำที่เหมือนกับงูหลายตัวขัดขวางลำแสงทั้งหมดเอาไว้
ตาข่ายสีแดงนับไม่ถ้วนหายไปเองในพริบตาที่เข้าใกล้เงางูดำนั้น
“เจ้าจะสู้ได้อีกสักกี่น้ำ หนึ่งชั่วโมง สองชั่วโมง หรือว่าหนึ่งวัน” สการ์เล็ตหัวเราะพลางโปรยตาข่ายสีแดงออกมาอีกมากมาย
ตาข่ายพวกนี้ลอยออกจากมือเธอพร้อมตัดทุกสิ่งทุกอย่างที่สัมผัส ทว่าทันทีที่เข้าใกล้เงางูดำ กลับถูกกัดกร่อนสลายไปทันที
ทว่าเธอไม่รู้สึกอะไร ยังคงผลาญพลังกายของหวังจิ้งต่อไป
เทพแห่งการทำลายล้างก็มีขีดจำกัดเช่นกัน โดยเฉพาะหวังจิ้งที่ตอนนี้ยังไม่เติบโตเป็นร่างสมบูรณ์
พริบตาเดียวก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ
หวังจิ้งยังคงมีสีหน้าคงเดิมและป้องกันการโจมตีของทั้งสองอย่างมั่นคง ไม่เห็นถึงความเหนื่อยอ่อนแม้แต่น้อย
แต่แพลทินัมกับสการ์เล็ตเริ่มกระวนกระวายแล้ว
ทั้งสองสบตากัน
‘คงจัดการนางไม่ได้ในเวลาสั้นๆ จะทำยังไงดี’ อารมณ์ของสการ์เล็ตเริ่มปั่นป่วน เธอไม่อาจยืดเวลาต่อไปได้
ในฐานะหนึ่งในเทพแห่งการทำลายล้าง เธอย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน
เพื่อต้านทานการทำลายล้างของเทพแห่งการทำลายล้างต่อทุกสิ่งรอบตัว และความโดดเดี่ยวในกาลเวลาอันยาวนาน
เธอได้แยกอารมณ์ด้านลบทั้งหมดออกมา แล้วสร้างเป็นบุคลิกภายในขึ้น
บุคลิกนี้มีอารมณ์ด้านลบที่เธอไม่อยากแบกรับ พอสั่งสมนานวันเข้า ปริมาณก็เพิ่มถึงระดับที่สุดโต่งและน่ากลัว
ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง เธอจะต้องพักผ่อนหลับลึก เพื่อสะกดการระเบิดบุคลิกภาพภายใน
เดิมทีนึกว่าจะฆ่าแบล็คมิสต์ได้ในเวลาสั้นๆ ตอนนี้กลับคิดไม่ถึงว่าตนจะถูกลากเข้าบึงโคลนไปด้วย
“วิธีเดิม” แพลทินัมฟันกระบี่ยักษ์ไปพลาง ส่งกระแสเสียงไปพลาง
“แบล็คมิสต์เป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากที่สุดในหมู่พวกเรา หาคนที่เธอเป็นห่วงที่สุดให้เจอแล้วใช้มันเป็นไพ่ตาย น่าจะได้ผล”
ชัยชนะไม่กี่ครั้งของพวกเขาเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้มาจากการทำแบบนี้ จึงรู้แผนกันดี
เนื่องจากแบล็คมิสต์เป็นอมตะ แม้รอบนี้จะพ่ายแพ้ ครั้งหน้าก็ค่อยคืนชีพมาใหม่ได้ จึงยอมรับความพ่ายแพ้อย่างตรงไปตรงมา ตราบใดที่พวกเขาไม่เล่นงานคนที่เธอให้ความสำคัญ
ดังนั้นขณะที่ทั้งสองสะกดหวังจิ้ง ก็แอบเปิดโลกของเทพแห่งการทำลายล้างไปด้วย เพื่อตามล่าครอบครัวที่หวังจิ้งให้ความสำคัญที่สุดมา
สการ์เล็ตโปรยตาข่ายสีแดงออกมาอย่างไม่หยุดยั้งด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างแทงใส่อากาศด้านหลังอย่างรุนแรง
ฉัวะ!
กลางอากาศพลันปรากฏร่องแยกสีดำสายหนึ่ง
จากนั้นเธอก็วาดฝ่ามือลงด้านล่างเหมือนกับคมดาบโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เกิดเสียงดังซ่า อากาศพลันปรากฏร่องแยกสีดำแคบยาวสายหนึ่ง ร่องแยกเพิ่งจะโผล่ออกมาก็กลายเป็นหลุมทรงกลมอันเป็นวังวนสีดำ ด้านในมีหมอกดำหมุนวนช้าๆ
ดวงตาของสการ์เล็ตสาดแสงสีเงินวาบ เส้นสายความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับหวังจิ้งพลันพากันปรากฏขึ้นด้านหน้าเธอเหมือนกับรูปภาพ
พ่อแม่ ญาติ เพื่อนในโรงพยาบาลจิตเวช พยาบาลแก่ๆ ที่คอยเอาใจใส่เธอ ยังมีอีกคน เป็นคนสุดท้าย…น้องชาย
“เขานี่แหละ” สการ์เล็ตตาเป็นประกายขณะเล็งร่างของลู่เซิ่งในภาพ ก่อนจะยื่นมือคว้าเข้าไปในวังวนอย่างเงียบๆ
“เจ้าจะทำอะไร?!” หวังจิ้งพลันรู้สึกตัว พอกวาดตาเห็นการเคลื่อนไหวของสการ์เล็ต รู้สึกผิดปกติ สีหน้าก็พลันเปลี่ยนแปลง
“หยุดนะ!”
เธอกระโดดขึ้น ปีกสองข้างงอกออกมาจากกลางหลัง ก่อนพุ่งเข้าหาสการ์เล็ต
“สายไปแล้ว! ฮ่าๆๆๆ!” สการ์เล็ตยื่นมือเรียวแดงออกไป ทันใดนั้นเส้นสายที่เป็นรูปร่างของลู่เซิ่งในดวงตาของเธอก็ถูกเธอจับเอาไว้
“ครั้งนี้…ข้าชนะแล้ว” ใบหน้าของเธอยิ้มอย่างหยาดเยิ้มที่สุด
เปรี้ยง!
ตัวของสการ์เล็ตถูกพละกำลังที่มหาศาลลากเข้าไปในวังวน
วังวนที่เพิ่งเป็นรูปเป็นร่างก็ปั่นป่วนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ครั้นถูกพลังระเบิดของเทพแห่งการทำลายล้างชนเข้าไป ก็พังทลายทันที
“???”
“???”
หวังจิ้งกับแพลทินัมมองวังวนสีดำที่เมื่อครู่ยังอยู่อย่างสับสน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
…
ในคฤหาสน์
แขนขวาของลู่เซิ่งขยายใหญ่ขึ้นเป็นหลายเท่า ลวดลายสีแดงปรากฏบนตัวอย่างหนาแน่น ดวงตาถลึงมองสการ์เล็ตที่ถูกลากออกมาจากวังวน
ทั้งสองสบตากันอย่างเงียบงันอยู่ชั่วขณะ
ผ่านไปสักพัก
สการ์เล็ตก็สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง รู้สึกสมองสับสน มองดูลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้า รู้สึกว่าเรื่องราวผิดปกติเล็กน้อย
“เจ้า…” เธออ้าปากพะงาบๆ ไม่รู้ควรพูดอะไรดี
……………………………………….
Comments