ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 975 ราชาวิญญาณ (5)
แอนดี้มองตามนิ้วของลู่เซิ่งไปอย่างสงสัย
“ตรงนั้นหรือ ตรงนั้นมีอะไรหรือขอรับ” น้ำเสียงของเขาสับสน คล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย
“นายมองไม่เห็นเหรอ เจ้านี่ไง” ลู่เซิ่งเดินเข้าไปชี้ดวงตาแห่งความเลวทราม “ของที่อยู่ตรงนี้เป็นวัตถุที่ฉันตามหามาโดยตลอด”
“หา” แอนดี้ไม่เข้าใจว่าลู่เซิ่งพูดอะไร
“ขออภัยด้วยฝ่าบาท แม้จะเข้าใจความหมายของท่าน แต่ตำแหน่งที่ท่านชี้นั้นว่างเปล่าไม่มีอะไรอยู่เลย” เขาตอบอย่างนอบน้อม
“ว่างเปล่าหรือ?” ลู่เซิ่งขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะพิจารณาภาพน้ำมันอีกรอบ “ภาพนี้ นายไปได้มาจากไหน”
“นี่เป็นภาพต้นฉบับที่ถูกเก็บไว้ในวังอัฟกาลีที่ใช้ความสามารถทางวิทยาการถ่ายไว้ ศิลปินมีชื่อเสียงคนหนึ่งเมื่อพันปีก่อนเป็นผู้รังสรรค์ขึ้น ดังนั้นความจริงภาพนี้จึงมาจากบันทึกเมื่อพันปีก่อน” แอนดี้อธิบาย
“ศิลปินเมื่อพันปีก่อนหรือ” ลู่เซิ่งลูบตำแหน่งของดวงตาแห่งความเลวทรามเบาๆ แม้ภาพน้ำมันนี้จะถูกคัดลอกมา แต่ยังคงสัมผัสพื้นผิวที่ชัดเจนของมันได้
“ท่านเห็นว่าตรงนั้นมีสิ่งของจริงๆ หรือ” แอนดี้เดินเข้าไปลูบตำแหน่งที่ลู่เซิ่งแตะอย่างสงสัย
ยังคงเรียบเนียน ให้ความรู้สึกสัมผัสของกระดาษเหมือนเดิม
ภาพนี้เป็นภาพพิมพ์ที่เขาหาเจอจากรูปภาพต้นฉบับมากมาย ดูจากตอนนี้ เหมือนจะมีบางอย่างที่เป็นปริศนาอยู่จริงๆ
“ไม่เป็นไร ทิ้งภาพนี้ไว้ที่นี่ นายไปก่อนเถอะ” ลู่เซิ่งว่าพลางส่ายหน้า
“ขอรับ ข้าน้อยขอลา” แม้จะแปลกใจมาก แต่แอนดี้ยังคงทำตามกฎพื้นฐานของบริวาร กลายเป็นควันดำสลายไปเงียบๆ
บริวารของภัยพิบัติแห่งผลกรรมเช่นพวกเขามองออกว่า คนผู้นี้อาจจะเป็นราชาเทพในอนาคต ดังนั้นการทำตามคำสั่งของเขาจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่
โดยเฉพาะหลังจากเห็นการต่อสู้ระหว่างลู่เซิ่งกับมารยักษา มนุษย์หมอกดำก็ยอมสยบต่อเขาอย่างเต็มใจ
ลู่เซิ่งถือภาพน้ำมันไปหาที่แขวนไว้บนผนังแห่งหนึ่งในห้องรับแขก ก่อนจะถอยหลังออกมาพิจารณาอย่างละเอียด
ดวงตาแห่งความเลวทรามนั้นลอยอยู่เหนือสามเทพ ส่องสว่างให้ทุกสิ่งเหมือนดวงอาทิตย์
นี่ทำให้เขาที่นึกมาโดยตลอดว่าดวงตาแห่งความเลวทรามเป็นของธรรมดาเริ่มเปลี่ยนความคิด
ครอบครัวหายสาบสูญมาโดยตลอด และคำนวณออกมาได้ว่าต้องหาดวงตาแห่งความเลวทรามให้เจอ ถึงจะเจอครอบครัวได้ ระหว่างนั้นคล้ายจะมีกลิ่นอายของแผนร้ายอยู่รำไร
แต่เขาคอยระแวดระวังและทำอะไรใจเย็นมาโดยตลอด ใครกันแน่ที่วางแผนเล่นงานเขาอย่างตั้งใจขนาดนี้
‘ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดเลย พรุ่งนี้ไปโพรงหมื่นวิญญาณ ดูว่าจะสำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ควรระวังตัวหน่อย หากทำลายดาวเคราะห์ดวงนี้ เทพแห่งการทำลายล้างก็น่าจะตาย ถึงเวลานั้นค่อยรีบพาคนหนี’ ลู่เซิ่งวางแผนในใจ
คนซ่อมแซมคฤหาสน์มาถึงอย่างรวดเร็ว ลู่เซิ่งกลัวจะทำให้หวังจิ้งหนวกหู เลยอุ้มเธอไปไว้ในรถด้านนอก
หวังจิ้งดูเหมือนจะเหนื่อยมากจึงหลับเป็นตาย ถ้าไม่ใช่ลมหายใจดังสม่ำเสมอ ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง คนที่ไม่รู้คงนึกว่าตายไปแล้ว
เดิมทีลู่เซิ่งคิดจะรอให้หวังจิ้งฟื้นขึ้นมาก่อน แล้วค่อยไปที่โพรงหมื่นวิญญาณ
เพียงแต่สิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือ การหลับใหลในครั้งนี้ของเธอเหมือนกับจะไม่ตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่ขยับเขยื้อนและไม่กินไม่ดื่มถึงสี่วัน เอาแต่หลับตลอดเวลา
มนุษย์หมอกดำมินเคอกลับมาแล้ว แต่พวกเขาต่างจากลู่เซิ่งตรงที่ไม่กล้าเข้าใกล้หวังจิ้งมากเกินไป เพียงแต่พอลู่เซิ่งค้นพบลวดลายใหม่บนข้อมือของหวังจิ้งแล้วถามพวกเขา พวกมนุษย์หมอกดำจึงบอกเขาว่า เป็นไปได้ถึงขีดสุดที่นั่นจะเป็นตราประทับที่เทพแห่งการทำลายล้างองค์อื่นทิ้งไว้
เป็นสิ่งที่ใช้ตามหาเธอได้ทุกเวลา
ลู่เซิ่งที่คิดถึงความปลอดภัยของหวังจิ้งจึงตัดสินใจพาเธอไปโพรงหมื่นวิญญาณด้วย รอให้เธอฟื้นขึ้นมาเอง
และก่อนที่จะมุ่งหน้าไปเริ่มพิธีที่โพรงหมื่นวิญญาณ ตามทฤษฎีแล้ว เขาจะต้องยกระดับวิชาสื่อวิญญาณถึงขีดสูงสุดเสียก่อน
ยิ่งพื้นฐานของวิชาสื่อวิญญาณแข็งแกร่งมากเท่าไร โอกาสในการเป็นราชาวิญญาณก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น
ก่อนหน้านั้น ลู่เซิ่งจำเป็นต้องไปสำนักเคลื่อนภูผา
เหล่าผู้อาวุโสของสำนักเคลื่อนภูผารอมานานแล้ว ความจริงห้าเมล็ดวิญญาณที่พวกเขาคัดเลือกเป็นการเตรียมตัวเพื่อให้มุ่งหน้าไปยังโพรงหมื่นวิญญาณแล้วสำเร็จเป็นราชาวิญญาณ
ความจริงธรรมเนียมนี้มีมานานหลายปีแล้ว
หากว่ากันจริงๆ ลู่เซิ่งเป็นหนึ่งในแผนการเก่าแก่ และเป็นเพียงคนคนหนึ่งที่มีอัตราสำเร็จค่อนข้างสูงเท่านั้น
…
ในถ้ำที่มืดสลัว
แสงเทียนวูบไหวและปลดปล่อยแสงสีเหลืองอ่อนออกมาส่องสว่างใบหน้าของหนุ่มสาวห้าคนซึ่งนั่งอยู่บนพื้น
ลู่เซิ่งอยู่ในนี้ด้วยเช่นกัน เขานั่งขัดสมาธิเงียบๆ คอยฟังจอมอาวุโสกับผู้อาวุโสรองที่อยู่บนแท่นอธิบายจุดสำคัญของวิชาสื่อวิญญาณ
เขาย่อมไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรียน ความจริงตัวเขาได้ดูดซับความรู้เกี่ยวกับวิชาสื่อวิญญาณจากตาของหวงย่าที่เป็นผู้อาวุโสตั้งแต่เดือนแรกที่กลายเป็นเมล็ดวิญญาณแล้ว
ตอนนี้สาเหตุที่รออยู่เงียบๆ เป็นเพราะมารยาทเท่านั้น
คาบเรียนดำเนินไปเป็นเวลาสี่สิบนาที จนกระทั่งกระดิ่งด้านนอกดังขึ้นเบาๆ ผู้อาวุโสทั้งสองค่อยๆ ลุกขึ้นและโค้งตัวให้ทุกคน
พวกนักเรียนก็รีบโค้งตัวคารวะตอบเช่นกัน
นี่เป็นมารยาทเวลาเรียนของสำนักเคลื่อนภูผา
นี่เป็นการแสดงความเคารพของอาจารย์ต่อนักเรียนที่พยายามเรียนรู้เพื่ออุทิศพลังของตนให้สำนัก
รวมถึงเป็นการแสดงความเคารพที่อาจารย์ช่วยถ่ายทอดวิชาและแก้ข้อสงสัยให้แก่นักเรียนด้วย
“เอาล่ะ คาบนี้พอเท่านี้ ทุกคน ดีใจมากที่พวกเธอให้ฉันกับศาสตราจารย์หวงอวิ๋นซื่อสอน หลังจากศาสตราจารย์เบิร์ดจากจักรวรรดิอินเฟอร์มาสอน สำนักเราจะทยอยเชิญคณบดีพานอสจากแดนเหนือใหม่ รองอธิการบดีโจวอวิ๋นไคจากมหาวิทยาลับเฟิงเต๋อ รวมถึง…”
จอมอาวุโสพูดจาอย่างฉะฉานอยู่บนแท่น
ผู้อาวุโสรองหรือหวงอวิ๋นซื่อ ตาของหวงย่ารีบร้อนลงมา แล้วตบไหล่ลู่เซิ่งตอนเดินผ่าน
ทั้งสองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ผลักประตูทางออกที่อยู่หลังถ้ำออกไป
“เธอจะไปโพรงหมื่นวิญญาณในสภาพนี้ ไม่น่าจะเก็บเกี่ยวประสบการณ์สำเร็จนะ” หวงอวิ๋นซื่อมองลู่เซิ่งพลางส่ายหน้าน้อยๆ เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องราชาวิญญาณ เพียงแค่พูดถึงการเก็บเกี่ยวประสบการณ์เท่านั้น
“ผมแค่อยากจะลองไปดู” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา
“ถ้าแค่ไปดู จะต้องทำเข้าใจก่อนว่าแม้จะอนุญาต แต่เธอห้ามบุกเข้าไปด้านในเด็ดขาด สาเหตุที่ราชาวิญญาณได้ชื่อว่าราชาวิญญาณ เพราะจำเป็นต้องแบกรับวิญญาณของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน รองรับหน้าที่ที่พังทลายของพวกเขา ต้องใช้วัตถุดิบ วิธีการ และการเตรียมตัวนับไม่ถ้วน”
ครั้งนี้แตกต่างจากการทำอย่างลวกๆ เหมือนสมัยที่แล้วมา หวงอวิ๋นซื่อให้ความสำคัญกับการไปยังโพรงหมื่นวิญญาณของลู่เซิ่งในครั้งนี้เป็นอย่างมาก
เป็นเพราะลู่เซิ่งมีกายเนื้อแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งความก้าวหน้าในการฝึกวิชาวิญญาณก็เหมือนตะวันขึ้นพันลี้ แม้เขาจะไม่ทราบว่าลู่เซิ่งใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนฝึกฝนและที่ยังไม่ได้เพิ่มระดับเพราะต้องการประหยัดพลังอาวรณ์
แต่อย่างน้อยเขาก็คิดว่า ความเร็วในการยกระดับของลู่เซิ่งน่าตกตะลึงเกินไป
“เธอยังหนุ่ม ขณะเดียวกันจิตใจก็ต้องถูกเคี่ยวกรำอีกมาก เธอดูสิ ประวัติส่วนตัวของราชาวิญญาณทั้งหมดในสมัยก่อนต่างผ่านประสบการณ์เฉียดตายมามากมาย ประสบการณ์พวกนั้นทำให้พวกเขาได้เคี่ยวกรำจิตใจและตั้งตัวได้ก่อนที่จะสำเร็จการใหญ่”
“ครับ ผมเข้าใจ อย่างนั้นราชาวิญญาณที่เหลืออยู่ในตอนนี้ไม่ทราบมีกี่คนเหรอครับ” ลู่เซิ่งถาม
“แม้สำนักเคลื่อนภูผาของพวกเราจะเป็นองค์กรผู้สื่อวิญญาณที่ใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐแล้ว แต่ว่ารากฐานยังตื้นเขินเกินไป ต่างชั้นกับองค์กรระดับโลกของจริงมากเหลือเกิน” หวงอวิ๋นซื่อตอบไม่ตรงคำถาม
“พวกเราเฝ้าค้นหามานานหลายปี ถึงจะเจอเส้นทางที่กลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างได้ ทว่า เส้นทางนี้จะสำเร็จหรือไม่ จะสร้างราชาวิญญาณได้หรือไม่ ยังคงเป็นปริศนา”
หวงอวิ๋นซื่อพาลู่เซิ่งมาถึงหอคอยสูงที่อยู่ทางตะวันออกของสำนักเคลื่อนภูผา ก่อนจะแยกกันเป็นหนึ่งหน้าหนึ่งหลังปีนขึ้นหอคอย
ยามเฝ้าประตูลงมาด้วยตัวเอง มอบห้องให้แก่คนทั้งสอง
“ความจริงองค์กรผู้สื่อวิญญาณในแต่ละที่ของโลกต่างก็วางแผนทำให้ราชาวิญญาณปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง วิธีการของพวกเรายังนับว่าปรานี มีองค์กรอีกไม่น้อยที่ถูกจัดเป็นลัทธินอกรีตและองค์กรน่ากลัว ว่ากันว่าในสามองค์กรใหญ่ระดับโลกมีคนคอยติดต่อกับกับราชาวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ ระดับนั้นเป็นสิ่งที่พวกเราต่างปรารถนา”
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา อดกลั้นไม่ส่งเสียง
ที่แท้องค์กรจากทั่วทั้งโลกก็กำลังทดลองสร้างราชาวิญญาณหรือเทพแห่งการทำลายล้างขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขายังนึกว่าทางฝั่งสำนักเคลื่อนภูผาลึกลับซับซ้อน เหมือนกับมีความลับของตัวเอง
ดูจากตอนนี้ที่แท้ก็เป็นแค่ตัวประกอบ
“ถ้าเขารู้ว่าเทพแห่งการทำลายล้างที่แท้จริงคือหญิงสาวผู้สลบไสลที่เขาลงค่ายกลผนึกด้วยตัวเองในตอนเช้าของหลายวันก่อน และยังเป็นพี่สาวของลูกศิษย์ตัวเอง จะไม่ตกใจจนเป็นบ้าไปเลยเหรอ”
พึงทราบว่านอกจากลู่เซิ่งแล้ว หากใครสัมผัสกับเทพแห่งการทำลายล้างนานเกินไป จะเกิดความคิดทำลายขึ้นโดยอัตโนมัติ
เป็นเพราะลู่เซิ่งใช้พรมขนสัตว์อำพรางร่างหวังจิ้งไว้ และพอหวงอวิ๋นซื่อลงตราผนึกเสร็จก็ให้เขาพาไปที่อื่นทันที
ไม่อย่างนั้นสถานการณ์จะย่ำแย่แล้ว
“หวังตง” หวงอวิ๋นซื่อที่เดิมหันหน้าหาดวงอาทิตย์ก็เบือนศีรษะมา “ในฐานะศิษย์ของสำนักเคลื่อนภูผา บนตัวเธอมีความหวังที่สำนักเคลื่อนภูผาและความหวังที่สาธารณรัฐฝากเอาไว้ พูดได้ว่า เธอเป็นคนแรกที่มีโอกาสสำเร็จเป็นราชาวิญญาณมากที่สุดเท่าที่ประวัติศาสตร์เคยมีมา ดังนั้น รับปากฉันสิว่าถ้าเจอเรื่องอะไร จะคำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเสี่ยงอันตรายง่ายๆ ทำได้ไหม”
ลู่เซิ่งรู้ว่าเขากำลังพูดเรื่องที่ตนมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาอันมีร์ตามลำพัง หลังจากเขาสลัดผู้คุ้มกันมากฝีมือที่สำนักเคลื่อนภูผาส่งไปทิ้ง ทางนี้ก็ปั่นป่วนทันที
แม้ผู้ที่สนับสนุนเขาในสำนักเคลื่อนภูผาหลักๆ จะเป็นขุมกำลังที่ผู้อาวุโสรองเป็นผู้นำ แต่แค่ขุมกำลังของฝ่ายนี้ก็มีความสำคัญในทุกการเคลื่อนไหวแล้ว
สามารถสั่งให้เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธบินอยู่เหนือประเทศอื่นได้ การระดมขุมกำลังกับทรัพยากรแบบนี้ถือเป็นความวุ่นวายสำหรับประเทศเล็กๆ ที่อยู่ใกล้เทือกเขาอันมีร์
เกิดว่าคนบนเฮลิคอปเตอร์สติหลุดแล้วสะบัดมือกราดปืนกลจากท้องฟ้า หรือยิงขีปนาวุธออกไปสองสามลูก
นั่นก็จะกลายเป็นโศกนาฏกรรมระดับโลกอย่างแท้จริง
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงทราบถึงการสนับสนุนเขาจากหวงอวิ๋นซื่อที่อยู่ในสำนักเคลื่อนภูผา
ความจริงตอนที่กลับมาเจอหวงอวิ๋นซื่อ เขาเห็นดวงตาของชายชราผู้นี้เกือบจะลุกเป็นไฟแล้ว ถ้าไม่ใช่ว่ากลัวลงมือแล้วสู้ไม่ได้ อีกฝ่ายคงจะเข้ามาตบหน้าเขาทันที
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะยึดความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก” ลู่เซิ่งพยักหน้าอย่างจริงจัง
หวงอวิ่นซื่อเพ่งมองลู่เซิ่งอยู่สักพัก จึงใจเย็นลง
“จำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดี ฉันหวังว่าจะมีสักวันที่เดินออกไปแล้ว สำนักเคลื่อนภูผาหรือแม้แต่สาธารณรัฐภูมิใจในตัวเธอ”
“…” บรรยากาศนี้มัน…
ลู่เซิ่งหมดคำพูด นี่กำลังอบรมทางความคิดให้เขาเหรอ
“จะว่าไป ครั้งนี้เพราะเรื่องของเธอ ระดับสูงของสาธารณรัฐได้ทุ่มเทความพยายามไปมากมาย ทางฝ่ายเราเองก็มีคนในสำนักไม่น้อยที่เป็นข้าราชการระดับสูงกับระดับนายพล ดังนั้น…เวลาเจออะไรก็จงห้ามกลัว พวกเรายืนอยู่ด้านหลังเธอ ทั่วทั้งสาธารณรัฐยืนอยู่ด้านหลังเธอ”
สีหน้าของชายชรามีความเคร่งขรึมน่าเกรงขาม
“แต่ก็จงอย่าทะนงตนเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน จงควบคุมร่างกายและควบคุมจิตใจให้ดี แต่ก็อย่าระมัดระวังเกินไป ตอนนี้เธอเพิ่งอายุสิบแปดเอง”
“เข้าใจแล้วครับ” เวลานี้ลู่เซิ่งถึงเพิ่งนึกสถานะของหวังตงออก ที่แท้ตัวเองยังคงเป็นนักเรียนมัธยมที่เพิ่งอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปี
……………………………………….
Comments