ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 976 ราชาวิญญาณ (6)
“จริงสิ เป็นเพราะเรื่องของเธอในครั้งนี้ครึกโครมเกินไป พวกเราก็เลยส่งข้อมูลของเธอให้เบื้องบนเพื่อสมัครเข้าสหพันธ์ผู้สื่อวิญญาณนานาชาติแล้ว ต่อจากนี้เวลาไปไหน เธอจะเป็นตัวแทนสำนักเคลื่อนภูผาและสาธารณรัฐ ไม่ว่าจะหมอกขาว ทับทิม หรือเงาสลัว แม้พวกเราจะไม่แกร่งเท่าพวกเขา แต่ว่าในภายในประเทศนี้ ขุมกำลังของพวกเรามั่นคงไม่อาจทำลาย อย่างไรก็มีรัฐคอยสนับสนุนสุดกำลัง ดังนั้นต่อจากนี้ไปไหนไม่ต้องเกรงกลัว”
“ครับ เข้าใจแล้ว” ลู่เซิ่งพักหน้า
“ทางด้านโพรงหมื่นวิญญาณ ในสำนักเคยมีคนไปดูไม่น้อย สภาพแวดล้อมของที่นั่นเลวร้าย ไม่ได้มีแค่ขุมกำลังประเทศเราทำการทดลองที่นั่นเท่านั้น ยังมีองค์กรจำนวนมากใช้สภาพแวดล้อมของที่นั่นในการทดลองด้วย หลังจากเธอไป ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเจอสมาชิกของขุมกำลังอื่น ถ้าควรลงมือก็ต้องลงมือ แต่อย่าได้ยั่วยุก่อน ถือผลประโยชน์กับความปลอดภัยของตัวเองไว้เป็นอันดับแรก”
หวงอวิ๋นซื่อกล่าวคำพูดอีกมากมาย
ครั้งนี้ลู่เซิ่งต้องการจะไปหาประสบการณ์ที่โพรงหมื่นวิญญาณให้ได้ ดังนั้นเขาจึงยัดชายหนุ่มเข้าไปในขบวนที่เดิมจะไปเปลี่ยนกะที่ค่ายในโพรงหมื่นวิญญาณ
แม้กายเนื้อของลู่เซิ่งจะมีขีดจำกัดและพลังไม่ธรรมดา กอปรกับวิชาสื่อวิญญาณคอยหนุนเสริม เวลาต่อสู้สามารถข่มขู่ใครก็ได้ ในการประมือกันก่อนหน้านี้ แม้แต่เขาออกโรงเองก็ยังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
ทว่าอย่างไรก็อยู่ในสำนัก จอมอาวุโสทุกคนไม่ใช้ไม้ตายกับไพ่ตายก้นกุฎิอยู่แล้ว
ทว่าด้านนอกนั้นไม่เหมือนกัน
ตอนสุดท้าย หลังจากกล่าวคำพูดอีกมากมาย หวงอวิ๋นซื่อก็ล้วงกล่องใบเล็กทรงหกเหลี่ยมออกมาจากอกเสื้ออย่างระมัดระวัง
“พลังของผู้สื่อวิญญาณแข็งแกร่งมากจริงๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าไร้เทียมทาน เอานี่ไปสิ” เขายัดกล่องสีดำเข้าไปในมือลู่เซิ่ง
“ถ้าเจอทางตัน หรือเจอเรื่องใหญ่ที่คุกคามความปลอดภัยของเธอ ให้เปิดกล่องใบนี้แล้วกดปุ่ม ในด้านวิชาสื่อวิญญาณ พวกเราสู้สามองค์กรใหญ่ไม่ได้จริงๆ ทว่า…” หวงอวิ๋นซื่อผุดสีหน้าเคร่งขรึม
“ขีปนาวุธ ปืนใหญ่ เครื่องบินรบ และเรือบรรทุกเครื่องบินของพวกเราจะสั่งสอนให้พวกมันอยู่ในร่องในรอยเอง”
ลู่เซิ่งเปิดกล่องด้วยสีหน้าหมดคำพูด ด้านในมีอุปกรณ์สื่อสารทรงกระบอกวางอยู่
ตรงกลางอุปกรณ์สื่อสารมีปุ่มแค่ปุ่มเดียว
“ไปเถอะ” หวงอวิ๋นซื่อค่อนข้างชื่นชมลูกศิษย์ที่หลานสาวของตนเองเจอตัวอย่างหวังตง
แม้จะมีนิสัยหยิ่งทะนงไปบ้าง แต่ก็ยังคงถ่อมตัว เดิมทีเขาคิดจะจับคู่เขากับหลานสาวตัวเอง
น่าเสียดายที่…สองฝ่ายเหมือนจะไม่มีความรู้สึกอะไรต่อกัน กลับเป็นพี่สาวที่เป็นโรคทางจิตของเขาที่เหมือนจะมีลับลมคมนัยกับเขาอยู่บ้าง
แม้จะทราบว่าไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่การอยู่กับคนป่วยทางจิตก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อชื่อเสียงในอนาคตของศิษย์คนนี้นัก
หวงอวิ๋นซื่อวางแผนจะไปคุยกับหวังจิ้งพี่สาวของเขาตามลำพัง เพื่อเกลี้ยกล่อมให้เธออย่าขัดขวางอนาคตของน้องชาย
ถ้าตกลงกันไม่ได้จริงๆ เขาพิจารณาจะใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง
ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือให้คบกับหลานสาวตัวเอง อย่างไรวันหน้าเมื่อหวังตงกลายเป็นราชาวิญญาณ ก็จะต้องเป็นสุดยอดผู้สื่อวิญญาณที่มีพลังแข็งแกร่งแน่นอน
พูดตามตรง ราชาวิญญาณอะไรนั่น แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้หวังมากนัก
แต่หากได้รับการเคี่ยวกรำในโพรงหมื่นวิญญาณสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือพลัง ก็จะยกระดับขึ้นเท่าตัวหนึ่ง
คิดถึงสมัยโน้น ผู้อาวุโสอย่างพวกเขาก็สำเร็จจากโพรงหมื่นวิญญาณทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
“เรียบร้อยแล้ว ไปเถอะ รู้ว่าเธอเป็นห่วงพี่สาว แต่เธอนี่ก็แปลกนะ ไม่ให้พวกเราส่งคนไปดูแล ต่อให้พี่สาวเธอจะมีความสามารถพิเศษบ้างก็เถอะ แต่เมื่อเจอผู้เข้มแข็งในหมู่ผู้สื่อวิญญาณเช่นพวกเรา ผู้มีความสามารถพิเศษเหล่านั้นก็หยุดอยู่ที่ระดับทองคำเป็นอย่างมากสุดเท่านั้น ไม่ได้มีอุปสรรคอะไรมากนักหรอก...พวกเราสำนักเคลื่อนภูผาอย่างอื่นมีไม่เยอะ แต่มีผู้เข้มแข็งระดับทองคำไม่น้อย ดูแลได้อย่างไม่มีปัญหาแน่”
“ไม่เป็นไร ผมจัดการเองดีกว่า” ลู่เซิ่งรีบห้าม
ล้อเล่นหรือไง สำนักเคลื่อนภูผามีผู้เข้มแข็งระดับเทพจุติคนเดียวเองนะ
แถมเทพจุติที่ตาย เพราะเข้าใกล้ตัวหวังจิ้งด้วยความสนใจก็มีถึงสามคนแล้ว
พลังของผู้สื่อวิญญาณก็เป็นสิ่งที่โดดไปโดดมา
โดยเฉพาะระดับเงินถึงระดับทองคำ ระดับทองคำถึงเทพจุติ แต่ละขั้นเหมือนคูน้ำทางธรรมชาติ
ตัวหวงอวิ๋นซื่อติดอยู่ในจุดสูงสุดของระดับทองคำ เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้าไปในระดับเทพจุติ แต่อีกข้างหนึ่งเข้าไปไม่ได้
เมื่อกำชับลู่เซิ่งอีกครั้งแล้ว หวงอวิ๋นซื่อจึงค่อยปล่อยเขากลับ
ลู่เซิ่งไม่ได้ไปหาหวังจิ้งทันที แต่ไปยังห้องสมุดของสำนักเคลื่อนภูผาก่อน
เขาค้นหาข้อมูลที่ต้องการสักพัก และทำความเข้าใจข้อมูลเกี่ยวกับราชาวิญญาณ
นอกจากศึกษาวิชาสื่อวิญญาณขั้นพื้นฐานแล้ว เขายังได้ทำความเข้าใจวัตถุดิบขึ้นชื่อจากแต่ละแห่งบนโลกที่ใช้รองรับวิญญาณได้ด้วย
สิ่งที่ดีที่สุดในสำนักเคลื่อนภูผาก็คือเหล็กดัดดำ
และสถานที่ผลิตเหล็กดัดดำก็คือโพรงหมื่นวิญญาณนั่นเอง
ดังนั้นลู่เซิ่งจึงไม่นำไปด้วย ไปหาที่โพรงหมื่นวิญญาณไม่ดีกว่าหรือ
ต่อจากนั้นก็เป็นการเตรียมเอกสารเดินทาง
ครั้งนี้เป็นการตามคณะใหญ่ของสำนักเคลื่อนภูผาไปยังโพรงหมื่นวิญญาณตามที่ตกลงไว้
…
แกร๊ก
ประตูห้องนอนที่นิ่งงันถูกเปิดออก
ในห้องนอนมีแค่หวังจิ้งที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงใหญ่อ่อนนุ่ม เธอขดร่าง ผมยาวกระจายบนเตียงสีขาวบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว สองขาที่สวมถุงน่องเบียดกัน เห็นถึงสีสันน่ารัญจวนอ่อนจาง
ห้องนอนไม่มียุงสักตัว แม้แต่เชื้อโรคในอากาศก็สะอาดเอี่ยมอ่อง
ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนในตอนเข้าใกล้หวังจิ้งว่า พลังเทพนอกรีตของร่างหลักในตัวค่อยๆ หลั่งไหลออกมาเติมเต็มทั่วร่าง
เป็นพลังงานสายนี้เองที่ทำให้เขาเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ตัวหวังจิ้งได้อย่างเป็นอิสระและไร้ความเกรงกลัว
อย่างไรเทียบกับการล่อลวงจิตใจ และการชักนำความคิดวิญญาณของสิ่งมีชีวิตแล้ว พลังเทพนอกรีตก็เป็นผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดเช่นกัน
“พรุ่งนี้ผมจะไปโพรงหมื่นวิญญาณกับขบวนของสำนัก เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ ถึงตอนนั้นผมจะพาพี่ไปด้วยเพื่อป้องกันไม่ให้คนสารเลวสองคนนั้นมาฉวยโอกาส” ลู่เซิ่งเดินไปอุ้มหวังจิ้งขึ้นมาแล้วนั่งพิงหัวเตียง
“นอกจากนี้ ผมไม่รู้ว่าพี่เข้าใจรึเปล่านะ แต่ของที่ผมตามหาน่ะ แม้แต่บริวารทุกคนของพี่ก็มองไม่เห็น ตอนนี้ได้แต่หวังให้พี่รีบฟื้นขึ้นมาให้คำแนะนำผมหน่อย”
แม้หวังจิ้งจะตอบไม่ได้ แต่ลู่เซิ่งยังคงพูดให้เธอฟังเหมือนเธอตื่นอยู่
ระยะปลอดภัยรอบตัวหวังจิ้งคือสิบเมตร หากอยู่ในระยะห่างนี้นานๆ จะเกิดความคิดชั่วร้ายชนิดทำลายล้างหลายอย่างขึ้นโดยอัตโนมัติ
หลังจากเปิดหน้าต่างระบายอากาศ ลู่เซิ่งก็ตรวจสอบสถานการณ์ของหวังจิ้ง ร่างเธอเหมือนไม่มีปัญหา เพียงแค่จิตใจหลับอยู่คล้ายกำลังฝันเท่านั้น
หลังจากแน่ใจแล้วว่าทุกอยางเรียบร้อยดี ลู่เซิ่งก็เดินมายังห้องข้างแล้วปิดประตูเตรียมฝึกฝน
ในเมื่อคิดจะกลายเป็นราชาวิญญาณ ก็ย่อมต้องเตรียมตัวให้รัดกุม
เขานั่งขัดสมาธิลงบนพื้นห้องนอน
หวนนึกถึงองค์ประกอบใหญ่สองสามอย่างของการกลายเป็นราชาวิญญาณที่ได้เห็นก่อนหน้านี้
“วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีจำนวนมากพอ นี่เป็นอย่างแรก อย่างที่สองคือต้องกลายเป็นเป้าหมายใหญ่ที่สุดที่พวกมันชิงชังหรือไม่ก็ต้องบูชา อย่างที่สามคือดูดซับพลังแห่งความรกร้างมาสร้างวัฏจักรสมบูรณ์แบบที่ใช้มันเป็นศูนย์กลางขึ้นในร่างกาย เป็นตัวแทนพลังงานปกติที่จำเป็นในการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต”
เรื่องพวกนี้เป็นเนื้อหาบางส่วนที่เขาได้มาจากมนุษย์หมอกดำ บริวารของหวังจิ้ง
อย่างไรแม้พวกเขาจะไม่ใช่ราชาวิญญาณ แต่ก็ติดตามหวังจิ้งมานานมาก ติดตามตั้งแต่ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่
เทียบกับราชาวิญญาณคนอื่น หวังจิ้งได้ชื่อว่าฉลาดและมีเมตตาตั้งแต่สมัยที่ยังมีชีวิต
แม้จะมีความปรารถนาส่วนตัวหลายอย่าง และทำตัวโหดร้ายเพราะยึดติดกับรายละเอียดที่คนธรรมดาบางส่วนไม่ใส่ใจ
แต่เมื่อนำมารวมกันแล้ว เธอนำพาราษฎรในประเทศของตัวเองเอาชนะผู้รุกรานได้หลายครั้งในยุคสมัยของเธอ
แม้สุดท้ายจะตายจากการถูกรุมโจมตีเพราะพลังเหลื่อมล้ำเกินไป
แต่ความยิ่งใหญ่ที่เธอสร้างขึ้นก็มากพอจะกลายเป็นวีรสตรีของประวัติศาสตร์ทุกหน้า
สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ชาติพันธุ์ของเธอถูกใส่ร้ายว่าเป็นคนชั่วช้าและเป็นบุตรของมารร้าย
ถึงแม้พวกเขาจะรวมตัวอยู่ใต้การบังคับบัญชาของหวังจิ้ง และต่อสู้เพื่ออิสรภาพกับความเสมอภาค ทว่าบทสรุปสุดท้ายกลับกลายเป็นชาติพันธุ์ของพวกเขาค่อยๆ เลือนหายไปจากประวัติศาสตร์
ความหวังและความแค้นที่รวมตัวกันของวิญญาณทวยราษฎร์ถูกเติมใส่ร่างของหวังจิ้ง นายเหนือของพวกเขา
สุดท้าย หวังจิ้งก็กลายเป็นราชาวิญญาณ และทำลายชาติพันธุ์ที่ทำลายประชาชนของนางทิ้ง
แต่ก็เพียงเท่านั้น
กระแสประวัติศาสตร์ไหลบ่าไปเรื่อยๆ เหล่าแม่ทัพนายกองที่ภักดีกับนาง กลายเป็นขุมกำลังอันยิ่งใหญ่ชื่อภัยพิบัติแห่งผลกรรม
นางใช้พลังแห่งราชาวิญญาณเปลี่ยนคนพวกนี้เป็นครอบครัว เวียนว่ายตายเกิดเป็นอมตะไปเรื่อยๆ
ทางหวังจิ้งไม่เหลือเป้าหมายใดๆ อีก การแก้แค้นก็ดี บุญคุณความแค้นก็ดี เป้าหมายทั้งหมดหายไปในกาลเวลาหลายพันปี
หวังจิ้งได้เห็นการขึ้นลงของอารยธรรมมนุษย์ แต่ข้างกายกลับไม่มีใครเข้าใกล้ตัวเองได้
ถ้าไม่ใช่เพราะวิญญาณของเธอถูกลบความทรงจำทุกๆ ชาติ เกรงว่าจะเสียสติเหมือนกับเทพแห่งการทำลายล้างองค์อื่นไปนานแล้ว
หลังจากลู่เซิ่งได้รู้อดีตอย่างคร่าวๆ ของหวังจิ้ง ก็เข้าใจจิตใจของเธอไม่มากก็น้อย
พอดีที่เขาสนใจใคร่รู้ชีวิตพิเศษที่ถือกำเนิดจากพลังแห่งความรกร้างอย่างเทพแห่งการทำลายล้างอยู่แล้ว
กล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของเทพแห่งการทำลายล้าง ทำให้โลกใบนี้ได้รับการกัดกร่อนจากพลังแห่งการทำลายล้าง ลดลงอย่างมาก
‘ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเลย ในเมื่อพลังในตอนนี้ไม่พอใช้ ที่ปล่อยให้เนื้อที่มาถึงปากเมื่อก่อนหน้านี้หนีไปได้ ก็ดูเหมือนจะเป็นเพราะเราแข็งแกร่งไม่พอจริงๆ…จะทยอยก่อร่างสร้างฐานแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว’
เดิมลู่เซิ่งคิดจะค่อยๆ พัฒนาตามลำดับขั้นตอน เดินสู่จุดสูงสุดของโลกใบนี้โดยไม่ทำให้ร่างกายเสียหาย น่าเสียดายที่เวลาไม่คอยคน
อย่างไรถ้าเขาสร้างรากฐานในการจุติได้ อย่างนั้นการพัฒนาในอนาคตของชาตินั้นๆ จะต้องไปถึงระดับสูงสุดที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่ ถึงขั้นอาจจะมีผลดีต่อร่างหลักไม่น้อยด้วย
เสียดายที่…แต่ละครั้งต้องถูกกดดันให้ล้มเลิกกลางคันตลอด
‘ครั้งต่อไป จะต้องบ่มเพาะร่างหลักที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดให้ได้’ การบ่มเพาะถึงจุดสูงสุด ก็เป็นการเติมเต็มพลังให้แก่ร่างหลักของลู่เซิ่งเช่นกัน
เหมือนกับหมาป่าเกล็ดหิมะที่เขาเคยหลอมรวมกับร่างหลัก รวมถึงปราณปฐพีที่เกิดขึ้นจากการผสมพลังมากมายและพลังเทพนอกรีตเข้าด้วยกัน
แม้ร่างหลักของเขาจะไปถึงขั้นโบกมือทำลายดาวเคราะห์ได้แล้ว สามารถทำลายระบบดาวฤกษ์ได้อย่างง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ
แต่ระหว่างพลังต่างๆ ยังคงมีข้อดีและจุดเด่นที่ควรค่าให้เขาขัดเกลา
ลู่เซิ่งไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่า
ตัวเขากำลังเดินบนเส้นทางมารสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เหล่ามารสวรรค์ในอดีตที่เคยไปถึงมายาพิศวงมีอยู่ไม่มาก มารสวรรค์มายาพิศวงต้องเจอกับกระบวนการที่ต้องจุติหลายครั้งเพื่อค่อยๆ บ่มเพาะพลังเช่นกัน
ในฐานะแขกจากต่างโลก เหล่ามารสวรรค์ต่างก็หวาดกลัวตัวสั่น การจุติทุกครั้งเหมือนการฝ่าภัยพิบัติ ถ้าไม่ใช่เตรียมตัวทุกอย่าง ก็ต้องหลบซ้ายซ่อนขวา พยายามลดการมีตัวตนของตัวเองให้มากที่สุด
ไม่เคยมีมารสวรรค์ตนใดที่เป็นอย่างเขา
คนอื่นๆ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายสิบปีหรือหลายร้อยปียกระดับตัวเองในโลกที่จุติ หลังจากเติบโตถึงระดับสูงสุดถึงค่อยเก็บเกี่ยวดอกผล
แต่ตัวเขากลับเร็วกว่า ที่เร็วที่สุดคือสองสามเดือน ที่ช้าที่สุดคือสิบกว่าปีก็จัดการการจุติครั้งหนึ่งได้ ถ้าใครทราบถึงความเร็วและประสิทธิผลนี้เข้า คงได้ตกใจตาย
และการจุติของมารสวรรค์ยังขึ้นอยู่กับโลกด้วย
ถ้าโชคไม่ดีจุติไปยังโลกหรือจักรวาลที่มีเทพมารมากมายเหมือนสุนัขอย่างโลกบรรพกาล ปีศาจน้อยหรือผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งเกิดก็ไม่ต่างอะไรกับมด ใครเดินผ่านมาก็ฆ่าได้เป็นฝูง
ถ้าโชคดีไม่ดี ไปเจอเทพเจ้าตีกัน ก็ตายได้หลายพันหลายหมื่นครั้ง
อนาถกว่าหน่อยคือเจอเขาปู้โจวถล่ม พวกที่เพิ่งเกิดได้สามนาทีพลันตายทันทีก็ไม่ใช่จะไม่มี
ถ้าเคลื่อนไหวช้า ออกจากกายเนื้อไม่ทัน เช่นนั้นมารสวรรค์ก็จะดับสูญไปพร้อมกับกายเนื้อ กลายเป็นสารอาหารให้แก่โลกใบนั้นๆ
……………………………………….
Comments