ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 979 อัจฉริยะ (1)
“ลัลๆ ลา ลัลๆ ลา เห็ดน้อยเหยียบใส่หญิงสาว แบกตะกร้าไว้ด้านหลัง หญิงสาวที่มันเหยียบใส่ตัวใหญ่และผิวขาว ขาวจนเหมือนเกล็ดหิมะบนพื้น หญิงสาวที่มันเหยียบใส่ตัวใหญ่และมีหลายคน หลายคนจนนับไม่หวาดไม่ไหว หญิงสาวที่มันเหยียบใส่…”
กลางซากเมืองอันเงียบสงบที่โล่งกว้าง หญิงสาวผมสั้นสีดำอมม่วงที่สวมหูฟังปิดหูคนหนึ่ง กำลังฮัมเพลงที่ดังมาจากในหูฟัง
ไม่ไกลออกไป ชายร่างผอมสูงที่สวมเครื่องแบบซึ่งเหมือนกับเสื้อกันลมพอดีตัวสีดำคนหนึ่ง แอบเล็งปืนมาที่เธอจากรอยแยกภายในตัวบ้าน
พรุ่บ!
ปืนไม่ได้ถูกลั่นไก
ขาแมงมุมสีดำข้างหนึ่งเจาะทรวงอกของเขาเหมือนกับมีด
เขาลืมตาโพลง เลือดสาดกระจายเต็มพื้น
แคว่ก!
ชายร่างสูงถูกฉีกทึ้ง ปืนในมือวาดเป็นเส้นโค้งกลางอากาศ ก่อนตกลงบนแอ่งเลือด
หญิงสาวชะงักฝีเท้าพร้อมกับมองไปยังศพผู้ชาย
‘ชอบส่งคนมาตายกันซะจริง ต่อให้ไม่อันตรายแต่ก็น่ารำคาญอยู่ดี’
เธอผุดสีหน้าเย็นชา มองศพเหมือนกับมองเรือดที่ตายริมทางตัวหนึ่ง แล้วเร่งฝีเท้าข้ามถนน
“ฮ่าๆๆๆ! ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้เลย!” คนหัวล้านร่างสูงใหญ่กำยำคนหนึ่งค่อยๆ เดินกอดอกออกมาจากตรอกข้างหญิงสาว
คนหัวล้านมีกล้ามเนื้อบึกบึน รัดเข็มขัดสีน้ำตาลทรงกากบาทเอาไว้กลางอก บนเข็มขัดแขวนมีดบินสีดำเอาไว้เต็มไปหมด ทั้งยังสะพายกระบี่ยักษ์ที่กว้างครึ่งเมตรกว่าๆ เอาไว้ด้านหลัง
“สมกับเป็นแมงมุมสวรรค์หนานเก๋อที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพจุติอันดับหนึ่งของโลก อสูรลอบสังหารหลัวติ้งที่ถูกจัดอยู่ในอันดับสามร้อยแปดสิบห้าของสหพันธ์กระดิ่งดำ เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอแม้แต่ลั่นไกยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ สุดยอดปืนอาคมที่มันสร้างขึ้นช่างเสียเปล่าจริงๆ”
คนหัวล้านยิ้มเหี้ยมขณะขวางเธอไว้
“แกอยากพูดอะไร คาซ่า” หญิงสาวแสดงสีหน้าราบเรียบ ขณะมองวัตถุประหลาดที่ขยับขยุกขยิกอยู่ในเงาของอีกฝ่าย
“ฉันก็แค่มาเตือนเธอเท่านั้น ตระกูลขุนนางและตระกูลใหญ่ๆ เริ่มเคลื่อนไหวกันแล้ว สงครามเทพของเทพแห่งการทำลายล้างสามองค์กำลังจะเริ่มต้น ครั้งนี้เธอจะเข้าร่วมไหม” คนหัวล้านคาซ่าเป็นตัวตนแข็งแกร่งที่อยู่ในองค์กรผู้สื่อวิญญาณพเนจรที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหพันธ์กระดิ่งดำ อยู่ในอันดับที่เจ็ด
“เทพแห่งการทำลายล้าง ราชาวิญญาณหรือ” หนานเก๋อนิ่งไปครู่หนึ่ง “ถึงเวลาฉันจะไปเอง”
“อย่างนั้นก็ดี เธอที่เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกน่าจะไม่ทิ้งโอกาสที่จะได้สู้กับเทพแห่งการทำลายล้างหรอกมั้ง…ฉันสงสัยมากว่า เธอที่ได้ชื่อว่าไร้เทียมทาน พอถึงเวลาต้องเผชิญกับมารยักษาและเทพ จะสร้างผลงานแบบไหน”
คนหัวล้านคาซ่าหัวเราะลั่น ก่อนที่ร่างจะมุดเข้าไปในเงาของตัวเอง หายไปต่อหน้าต่อตาหนานเก๋อ
“เทพแห่งการทำลายล้างหรือ น่าสนใจ…จริงๆ…” หนานเก๋อมองตำแหน่งที่คาซ่าจากไป มุมปากตวัดเป็นรอยยิ้มแปลกประหลาด
…
บนยอดตึกร้างที่สูงใหญ่ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
ชายหญิงหลายคนที่สวมเครื่อบแบบสั่งตัดพิเศษสีขาว มีสัญลักษณ์ลวดลายสีม่วงอันเป็นเอกลักษณ์ติดอยู่บนแขน ถือกล้องส่องทางไกลมองดูหนานเก๋อที่อยู่บนถนน
“สัตว์ประหลาดตัวนี้…พลังเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ ประหลาดจริงๆ!”
ชายไว้เคราข้างแก้ม ที่มีกล้ามเนื้อแขนกำยำผิดปกติคนหนึ่ง จ้องมองหนานเก๋อในกล้องส่องทางไกลขณะที่เหงื่อออกหน้าผาก
หญิงสาวสวมแว่นตาอีกคนหนึ่ง กำลังเคาะอุปกรณ์พิเศษที่หน้าตาเหมือนเรดาห์และเครื่องคิดเลขผสมกัน
“ผลการอนุมานสนามพลังวิญญาณคือมากกว่าห้าสิบหกล้านดูรา…!” เธอกดปุ่มด้วยเหงื่อที่แตกโซมศีรษะ
“ค่าพลังวิญญาณห้าสิบหกล้านดูรา…เพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนสามล้านกว่าเลยเหรอ มะ…ไม่ใช่แค่นั้น…เกิดว่าเธอปล่อยโอเกลอดีนของตัวเองออกมา พลังวิญญาณอาจจะเพิ่มขึ้นสิบเท่าตัว!”
ชายไว้เคราข้างแก้มหนังหน้ากระตุก รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังมองสัตว์ร้ายที่พร้อมเขมือบตนได้ทุกเวลาอยู่
ตนที่ค่าพลังวิญญาณอยู่ในระดับทองคำเป็นอย่างมากสุด ถือเป็นยอดอัจฉริยะท่ามกลางคนธรรมดาแล้ว
ขีดจำกัดในตอนนี้ของตนซึ่งได้รับวิชาวิญญาณที่ดีที่สุด ทรัพยากรที่ดีที่สุด และการชี้แนะที่ดีที่สุด คือพลังวิญญาณไม่เกินสามแสนสองหมื่นดูรา เมื่อเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่กระจายพลังวิญญาณออกมานอกร่างกายโดยไม่รู้ตัวถึงหลายสิบล้านดูรา
ชายไว้เคราข้างแก้มก็รู้สึกว่าการรับภารกิจนี้เป็นความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต
‘เทวทูตทำลายล้างหนานเก๋อ สหพันธ์กระดิ่งดำเรียกเธอว่าแมงมุมสวรรค์ ตอนนี้ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งของทำเนียบกระดิ่งดำ เป็นนักฆ่าที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อสามสิบปีก่อน รูปร่างพลังวิญญาณที่เธอปล่อยออกมาคือสัตว์ประหลาดสุดแกร่งที่มีหน้าตาเหมือนแมงมุม ค่าพลังซึ่งวัดได้ในขั้นเบื้องต้นคือเกือบหกสิบล้านดูรา หรือมากกว่านี้’
ชายไว้เคราข้างแก้มใช้คอมพิวเตอร์บนฝ่ามือบันทึกข้อมูล
‘แยกแยะเป้าหมายของเธอในตอนนี้ เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าจะเป็นสงครามเทพแห่งการทำลายล้างสามองค์ที่หลุดออกมา’
พอบันทึกถึงตอนท้าย ชายไว้เคราก็หันไปมองผู้หญิงคนนั้น
“มีข้อมูลขีดจำกัดการต่อสู้ของเทวทูตแห่งการทำลายล้างไหม”
“ไม่…ไม่มีค่ะ!” ฝ่ายหญิงส่ายหน้า “ตั้งแต่ปรากฏตัวจนถึงตอนนี้ การต่อสู้ที่ตึงมือที่สุดที่หนานเก๋อได้เจอใช้เวลาแค่สองนาที นั่นคือวีดีโอตอนเธอสู้กับมารยักษาของเทพแห่งการทำลายล้าง ต่อจากนั้นไม่รู้ว่าใครแพ้ใครชนะ แต่คงไม่ใช่ขีดจำกัดของเธอแน่ ทว่าดูจากข้อมูลที่รู้ในตอนนี้ หนานเก๋อกับรอคโคผู้ใช้วิชาราศีคนโท มีโอกาสกลายเป็นราชาวิญญาณ และเข้าแทนที่เทพแห่งการทำลายล้างสามองค์มากที่สุดในโลก”
“รอคโค ผู้ใช้วิชาคนโทหรือ เขายังไม่ถึงขั้น…” ชายไว้เคราถอนใจ จากนั้นก็ยกกล้องส่องทางไกลมองไปยังแมงมุมสวรรค์หนานเก๋ออีกครั้ง
“คลื่นที่ใหญ่ที่สุดของพลังวิญญาณที่หนานเก๋อปล่อยออกมามีปริมาณเพิ่มขึ้นสิบสี่เท่า เกรงว่าบนโลกนี้จะไม่มีใครแกร่งกว่าเธออีกแล้ว”
“แม้แต่ผู้เผยวจนะสองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธ์กระดิ่งดำกับสหพันธ์ผู้สื่อวิญญาณก็สู้ไม่ได้เหรอคะ” ผู้หญิงถามเสียงแผ่ว
“สู้ไม่ได้หรอก...แม้พวกเขาจะแข็งแกร่งที่สุดในศตวรรษก่อน แต่ตอนนี้พวกเขาแก่แล้ว” ชายไว้เคราส่ายหน้า
“เอาล่ะ ไปเถอะ รวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว” เขาลดกล้องส่องทางไกลลงแล้วเริ่มเก็บของ “ตรวสอบจุดหมายในตั๋วเครื่องบินที่หนานเก๋อจองไว้แล้วใช่ไหม”
“ตรวจแล้วค่ะ เป็นโพรงหมื่นวิญญาณ!”
“หา? ทำไมเป็นที่นั่นล่ะ”
“น่าจะเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ของภัยพิบัติแห่งผลกรรม ขุมกำลังของหนึ่งในสามเทพรวมตัวกันอยู่ที่นั่นเป็นส่วนใหญ่น่ะค่ะ เลยทำให้หนานเก๋อสนใจ” ผู้หญิงตอบเบาๆ
“อย่างนั้นเหรอ” คนไว้เคราใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วโทรหาคนในตระกูล
…
ณ สาธารณรัฐหลันเก๋อหลั่งรื่อ
ลู่เซิ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนอน
เส้นสายสีเหลืองอ่อนหลายสายแผ่ขยายออกจากตัวเขาเหมือนกับรากไม้ แล้วแทงเข้าไปในดิน
ผืนดินกว้างขวางป้อนพลังวิญญาณมหาศาลจนไร้สิ้นสุดออกมาช้าๆ
ความจริงวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเอาไว้ใช้ดูดซับพลังวิญญาณจากผืนดินเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้แก่ตัวเอง
ความรู้ในวิชาสื่อวิญญาณบอกว่า สรรพสิ่งในโลกล้วนมีวิญญาณ หมายความว่าทุกสิ่งในโลกต่างก็มีวิญญาณของตัวเอง
ขอแค่เข้าใจเรื่องนี้และรับเรื่องนี้ได้ การฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณก็จะเข้าสู่ขั้นเบื้องต้นได้อย่างง่ายดาย
ทว่าแม้จะเข้าสู่ขั้นเบื้องต้นง่าย กลับยกระดับได้ยาก
ลู่เซิ่งได้ยินหวงย่าบอกว่า วิชาสื่อวิญญาณที่มีเฉพาะในสำนักวิชานี้มีแต่จอมอาวุโสเท่านั้นที่ฝึกฝนมันถึงขีดสูงสุดระดับแปดหรือระดับสุดท้ายได้
พลังวิญญาณของเขาถูกฝึกฝนจนมีมากกว่าหนึ่งล้านดูรา
บวกกับวิชาวิญญาณวิชาอื่น สุดท้ายจอมอาวุโสก็สำเร็จเป็นเทพจุติเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของสำนักเคลื่อนภูผา
เวลานี้ ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า พลังอาวรณ์ที่เสียไปในตอนที่เครื่องมือปรับเปลี่ยนกำลังปรับเปลี่ยนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ สิ้นเปลืองกว่าวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานมาก
เขาได้ฝึกฝนวิญญาณของหวังตงจนแข็งแกร่งถึงขีดสุดรวมถึงมีจำนวนมหาศาลแล้ว เป็นเพราะตัวเลขอันมหาศาลนี้เอง ที่ทำให้ลู่เซิ่งในตอนนี้มีพลังวิญญาณเป็นจำนวนสามล้านกว่าๆ ดูรา
ยิ่งพลังวิญญาณมากเท่าไร การปรับเปลี่ยนก็ยิ่งยากเท่านั้น
‘ยกระดับวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณสามระดับ’
ลู่เซิ่งทดลองยกระดับดูส่วนหนึ่งก่อน ถ้าร่างกายรับไหว ก็จะดำเนินการต่อ
ซู่…
อินเตอร์เฟซของดีปบลูเริ่มพร่ามัว ด้านในกรอบที่ปรากฏขึ้นใหม่สับสน เหมือนกับมีวังวนสีดำกำลังหมุน
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็สัมผัสได้ถึงกระบวนการที่พลังอาวรณ์นับไม่ถ้วนทะลักจากหน้าอกแล้วไหลไปทั่วร่าง พลังอาวรณ์เหล่านี้พากันกลายเป็นเส้นสายสีเหลืองอ่อนคล้ายๆ กับรากไม้
เส้นสายโปร่งแสงสีเหลืองอ่อนหลายเส้นปักลงไปในพื้นข้างใต้เหมือนกับหนวด
เขาสัมผัสได้ว่า รากไม้เจาะกำแพงของชั้นสองก่อนแทงลึกเข้าไปในดิน
จากนั้น พลังวิญญาณหลายสายที่มากมายมหาศาลก็พรั่งพรูออกจากผืนดิน
สำหรับพลังวิญญาณของมนุษย์ พลังวิญญาณเหล่านี้เหมือนกับน้ำครำหรือโคลนในท่อน้ำ เมื่อเทียบกับน้ำบริสุทธิ์สูงที่ไร้สิ่งใดเจือปน
มันมีสิ่งเจือปนมากจนยากจินตนาการทีเดียว
และวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณก็เป็นวิชาที่ค่อยๆ กลั่นกรองพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ออกมาจากด้านในได้
สาเหตุที่วิชานี้จะฝึกได้ก็ต่อเมื่อสำเร็จวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานเท่านั้น เป็นเพราะพลังวิญญาณของผืนดินมีสิ่งเจือปนจากพลังวิญญาณของดวงดาวอยู่มากมายเกินไป
ถ้าพื้นฐานของตัวเองย่ำแย่มากๆ แค่พลังวิญญาณของผืนดินปรวนแปรเล็กน้อย ก็จะทำลายวิญญาณทั้งหมดของตัวเองได้ในพริบตาเดียว
สำหรับผืนดินรอบๆ นั่นเท่ากับเส้นขนเส้นหนึ่งบนผิวสัตว์ยักษ์ถูกลมพัดกระดิกเท่านั้น
ทว่าสำหรับผู้สื่อวิญญาณที่พื้นฐานแย่ กลับไม่ต่างอะไรกับภัยพิบัติมาเยือน
เดิมทีลู่เซิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมคนของสำนักเคลื่อนภูผาที่ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณถึงได้มีไม่เยอะ
ตอนนี้หลังจากได้สัมผัสกับพลังวิญญาณจากดวงดาว เขาก็คล้ายจะเข้าใจแล้ว
สำหรับมนุษย์ กล่าวได้ว่าพลังวิญญาณของผืนดินหรือพลังวิญญาณในดวงดาวนั้นไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าจะกรองสิ่งเจือปนที่อยู่ด้านในออกมา
ก็ต้องใช้ความพยายามและความคิดมากกว่าการฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานตามลำดับขั้นตอนมากโข
มิหนำซ้ำยังต้องเสียเวลาอีกมากเช่นกัน
เขาคำนวณดู หากนั่งฝึกฝนพลังวิญญาณอย่างนี้หนึ่งวันหรือยี่สิบสี่ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก จะเพิ่มพลังวิญญาณได้อย่างมากสุดแค่สิบดูราเท่านั้น
สิบวันเพิ่มแค่หนึ่งร้อย หนึ่งปีเพิ่มแค่สามพันหกร้อยห้าสิบดูรา แม้หลังจากพลังวิญญาณดวงดาวเพิ่มมากถึงระดับหนึ่ง ก็จะใช้กระตุ้นพลังวิญญาณของตัวเองให้มารวมตัวกันเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติ และเพิ่มปริมาณพลังวิญญาณอย่างใหญ่หลวงได้
แต่ความก้าวหน้านี้ช้าเกินไปจริงๆ…
เป็นเพราะเงื่อนไขพื้นฐานในการสั่งสมเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสำหรับเข้าสู่ระดับที่หนึ่งก็คือ จะต้องมีพลังวิญญาณดวงดาวอย่างน้อยสุดหนึ่งหมื่นดูรา
‘ยากเย็นจริงๆ…แต่ดีที่เรามีดีปบลู’ ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนกับตัวเองนั่งอยู่บนโคลนเละๆ ที่เหม็นสุดทนทานกองหนึ่ง ส่วนด้านล่างคือพลังวิญญาณดวงดาวอันน่าขยะแขยงที่ดำเมี่ยมและเหนียวหนืด
ซู่…
ในที่สุดกรอบของดีปบลูก็กลับมาชัด
พลังอาวรณ์ที่ทะลักออกจากทรวงอกในครั้งนี้หายวับไปเหมือนกับไม่เคยมีอยู่มาก่อน
และสิ่งที่มาแทนที่ก็คือพลังวิญญาณของผืนดินอันบริสุทธิ์จำนวนมหาศาล ไหลทะลักมาจากรากไม้เข้ามาในร่างลู่เซิ่งอย่างไม่ขาดสาย
ตัวอักษรด้านในค่อยๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนจากระดับเบื้องต้นสู่ระดับที่หนึ่งอย่างช้าๆ และในคุณสมบัติพิเศษด้านหลังก็แสดงการเปลี่ยนแปลงใหม่ของพลังวิญญาณผืนดินอย่างชัดเจนว่า
[วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ: ระดับที่หนึ่ง (คุณสมบัติพิเศษ: ปลดปล่อยพลังวิญญาณ, พลังวิญญาณผืนดิน, การป้องกันแข็งแกร่งขึ้น, พลังฟื้นฟูแข็งแกร่งขึ้น)]
……………………………………….
Comments