ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 980 อัจฉริยะ (2)
สำนักเคลื่อนภูผา หอคอยฝึกฝน
หญิงสาวสองคนที่สวมเครื่องแบบลูกศิษย์กำลังสู้กันในระยะประชิดตัวในโถงใหญ่
กระบวนท่าของทั้งสองดุดันทรงพลังและรวดเร็วว่องไว เพียงแต่คนหนึ่งแรงมาก คนหนึ่งปราดเปรียว จึงยากตัดสินผลลัพธ์อยู่ชั่วขณะ
เหล่าศิษย์ของสำนักเคลื่อนภูผาที่อยู่รอบๆ พากันมามุงดู
ผู้อาวุโสสามคนนั่งนิ่งอยู่บนที่นั่งอีกด้าน ชมการต่อสู้จากระยะไกล มีคนขมวดคิ้วเป็นระยะ
“บนโลกใบนี้มีวิชาดูดซับพลังวิญญาณผืนดินอยู่ไม่น้อย วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณของพวกเราก็ไม่ต่างจากวิชาอื่น แต่เหนือกว่าตรงคำว่าหนักแน่น ไม่เอนเอียงสงบนิ่ง ไม่ก้าวร้าว และไม่ทิ้งผลเสียไว้”
จอมอาวุโสอธิบายช้าๆ
“ดังนั้น การฝึกฝนพลังวิญญาณผืนดินจึงต้องพยายามเลือกวิญญาณวีรชนที่เข้ากับตัวเองได้ เพื่อนำมาสิงอาวุธช่วยเหลือตัวเอง”
“ไม่เอนเอียงสงบนิ่งอะไรกัน พูดถึงที่สุดแล้วมันก็คือธรรมดาสามัญไม่ใช่เหรอคะ พูดเสียน่าฟังเชียว” หวงย่าที่นั่งอยู่ด้านหลังคุณตาหวงอวิ๋นซื่ออดบ่นเบาๆ ไม่ได้
สาเหตุที่เธอไม่ได้ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณของสำนักอย่างตั้งใจ เป็นเพราะวิชานี้ใช้เวลามากเกินไปนั่นเอง
มันต้องใช้เวลาและความตั้งใจมากมาย รอเธอฝึกสำเร็จ เกรงว่าอายุจะปาไปสามสิบสี่สิบแล้ว
ถึงเวลานั้น จะเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ไหม จะแต่งงานอยู่ไหม นี่มันเป็นการใช้ชีวิตวัยหนุ่มสาวอย่างเสียเปล่าไม่ใช่หรือ
ความจริงไม่ใช่แค่เธอเท่านั้น แม้แต่กับหวังตง หวงอวิ๋นซื่อก็ไม่เคยพูดถึงความคิดฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณให้เขาฟังมาก่อน ไม่อย่างนั้นคงจะมอบวิชาให้นานแล้ว
และเป็นเพราะแบบนี้ เขาถึงได้หาวิชาวิญญาณระดับสูงที่มีความเหมาะสมกว่าอีกวิชาให้แก่หวังตงกับหลานสาวของตนแทน มันสามารถดูดซับพลังวิญญาณผืนดินได้เช่นกัน แม้จะรุนแรงไปเล็กน้อย สิ้นเปลืองทรัพยากรไปบ้าง แต่ก็ปลอดภัยหากมีผู้อาวุโสคอยดูแล
ในความเป็นจริง มีแต่ศิษย์ธรรมดาที่ไม่มีเบื้องหลังและทรัพยากรในสำนักเคลื่อนภูผาเท่านั้น ถึงจะเลือกวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเป็นวิชาระดับสูงของตัวเองในอนาคต
ส่วนลูกศิษย์ที่มีหนทางต่างก็เลือกวิชาจากสถานที่อื่น นี่แทบจะกลายเป็นความลับที่ใครๆ ในสำนักต่างก็รับรู้ไปแล้ว
หวงอวิ๋นซื่อที่มองดูสองคนด้านล่างสู้กันอย่างดุเดือดเกิดความกังวลอยู่บ้าง พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ขบวนซึ่งจะมุ่งหน้าไปยังโพรงหมื่นวิญญาณออกเดินทาง
การยืนกรานของหวังตงทำให้เขากระสับกระส่าย แต่พอได้ยินคำบ่นของหลานสาว เขาก็เถียงด้วยรอยยิ้มว่า
“วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเป็นวิชาสืบทอดของสำนักเรา เก่าคร่ำครึไปบ้างจริงๆ แต่ก็ถูกจัดอยู่ในอันดับหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามของวิชาขั้นสูงจากทั่วโลกนะ ตัวมันก็มีประโยชน์เหมือนกัน”
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ความจริงเขาเองก็ทราบว่า วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเป็นวิชาระดับรองๆ ของโลก
ที่ชมจนเกินจริงไปบ้าง ก็เพราะต้องการปิดทองใส่หน้าตัวเอง ไม่ว่าอวยอย่างไร ความจริงก็ยังคงเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี
“เชอะ ในศึกประลองของสหพันธ์เมื่อคราวก่อน ศิษย์พี่ซ่งที่ฝึกถึงระดับสามของสำนักของพวกเราแพ้แบบไหนกันล่ะคะ” หวงย่าแสดงความรังเกียจ
“กระบวนท่า ความกล้า ต่างก็ไม่แพ้ให้อีกฝ่าย แต่ในการเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณกลับแพ้ติดต่อกันสิบสามครั้ง ตอนนี้เขาหมดอาลัยตายอยาก เปลี่ยนไปฝึกวิชาอื่นแล้ว มีอย่างเหรอคะ การป้องกันก็สู้คนอื่นที่เน้นการป้องกันไม่ได้ การฟื้นฟูก็สู้คนอื่นที่เน้นการฟื้นฟูไม่ได้ การคงสภาพพลังวิญญาณก็เป็นซี่โครงไก่เหมือนกัน พูดถึงที่สุดคือทำได้ทุกอย่าง แต่ไม่ดีสักอย่าง”
หวงอวิ๋นซื่อตบหัวหลานสาวตัวเองผัวะหนึ่ง
“ควบคุมตัวเองหน่อย” แต่ความจริงเขาก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน
ศิษย์ระดับเงินส่วนใหญ่ในสำนักต่างก็ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ แม้ตัววิชาจะธรรมดาไร้จุดเด่น แต่ก็มีข้อดีตรงที่มั่นคงไม่ซับซ้อน
ตอนนี้คนที่ยังคงรักษาธรรมเนียม ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณอย่างแท้จริง นอกจากพวกศิษย์ที่ไร้หนทางแล้ว ก็มีเฒ่าสี่ เฒ่าห้า และเฒ่าเจ็ด
ผู้อาวุโสสามคนอย่างพวกเขาแน่ใจว่า วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเป็นรากฐานที่แท้จริงของสำนัก แม้แต่จอมอาวุโสเองก็อาศัยวิชานี้สร้างสำนักขึ้นมาใหม่เช่นกัน
‘พวกเราจะทิ้งการสืบทอดที่หลงเหลืออยู่ของบรรพชนแล้วไปหาสิ่งอื่นไม่ได้’
พอนึกถึงตรงนี้ หวงอวิ๋นซื่อก็ค่อนข้างจนปัญญา
เขาเองก็อยากจะรักษาธรรมเนียมไว้เช่นกัน แต่ทำอย่างไรได้ ทุกครั้งที่ออกไปประลอง ทั้งๆ ที่เขามีประสบการณ์และความมั่นใจเหนือกว่าใคร แต่ด้านพลังวิญญาณกลับอ่อนด้อย ทำให้ตามคนอื่นไม่ทัน
“เชิญ!”
“ศิษย์พี่โปรดอ่อนข้อ”
ตอนนี้ด้านล่างมีการประลองของผู้ฝึกฝนวิชาใหม่และวิชาเดิมพอดี
ศิษย์หญิงที่ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณตามธรรมเนียมมาสามปี แพ้ให้แก่ศิษย์น้องที่ฝึกฝนวิชาวิญญาณซึ่งสืบทอดในตระกูลอย่าสง่าผ่าเผย
และศิษย์น้องคนนี้ก็เป็นคนที่เธอพาเข้าสำนักด้วยตัวเองเมื่อหนึ่งปีก่อน
ศิษย์หญิงคนนั้นชื่อเจิ้งซิ่วหลิง เวลานี้มองสองมือของตัวเองอย่างอึ้งๆ กึ่งคุกเข่าบนพื้นด้วยสีหน้าหดหู่
คนที่มีสีหน้าเช่นเดียวกับเธอยังมีศิษย์คนอื่นๆ รอบตัวเธอที่ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณอย่างหนักเช่นกัน
พวกเขาเห็นเธอถูกศิษย์น้องเอาชนะ ทั้งยังเป็นการเอาชนะได้อย่างสบายๆ
วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ถึงกับสู้วิชาวิญญาณประจำตระกูลที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ไม่ได้
ความรู้สึกนี้ อารมณ์อันเจ็บปวดนี้ เหมือนกับก้อนหินยักษ์กดทับทรวงอกจนหายใจไม่ออก
‘นี่คือความจริงเหรอ...’ เจิ้งซิ่วหลิงหวนนึกถึงความเด็ดเดี่ยวในตอนที่ตนต้องการรักษาวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณและธรรมเนียมของสำนักอย่างแน่วแน่
เธอจินตนาการว่า ต่อให้วิชานี้จะแย่อย่างไร ก็คงไม่แย่เท่าไหร่…กลับนึกไม่ถึงว่า
ศิษย์ที่อยู่รอบข้างบ้างก็กำหมัดแน่น บ้างก็หดหู่ท้อแท้ แม้คนส่วนใหญ่จะมีสีหน้าคงเดิม แต่ความเร่าร้อนในใจและความเชื่อมั่นที่มีต่อวิชาดั้งเดิมของสำนัก ถูกกระทบกระเทือนอย่างเงียบงันอีกครั้ง
วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณไม่ไหวจริงๆ หรือ…
ความรู้สึกเศร้าใจที่ธรรมเนียมกำลังจะหายไป ค่อยๆ ก่อตัวในหัวใจของศิษย์จำนวนมาก
จอมอาวุโสเองก็เผยสีหน้าไร้อารมณ์และทอดถอนใจเงียบๆ เช่นกัน…
“หือ?”
ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนแปลง เงยหน้ามองไปยังที่ไกล
“นี่มัน…มีคนกำลังดูดซับพลังวิญญาณผืนดินอยู่?! นี่มันความเร็วอะไรกัน! เร็วมาก!”
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น รองผู้อาวุโสหวงอวิ๋นซื่อก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงเช่นกัน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสลายหายไป สายตามองไปยังทิศทางที่มีความแปรปรวนส่งมา
“ความเร็วกลืนกินระดับนี้…ใครกัน!?” เขาสัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า สนามพลังวิญญาณที่พลังวิญญาณสายนี้กระจายออกมาเหมือนจะคุ้นๆ อยู่บ้าง
ผู้อาวุโสสองคนพากันลุกขึ้น ถัดจากนั้นผู้อาวุโสสามที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สามก็ลุกขึ้นตาม พร้อมกับมองไปยังที่ไกลด้วยสีหน้าคร่ำเคร่ง
ความแปรปรวนจากพลังวิญญาณผืนดินทางด้านนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“ไปดูไหม!?” จอมอาวุโสสบตากับผู้อาวุโสอีกสองคน ทั้งสามต่างผงกศีรษะพร้อมกัน ก่อนจะลุกออกจากที่นั่งไป
เวลานี้ความแปรปรวนของพลังวิญญาณผืนดินสายนั้นส่งผลต่อผู้จัดการเรื่องราวและศิษย์บางส่วนเหมือนกับวัตถุจับต้องได้แล้ว
คนพวกนี้ต่างก็เป็นสุดยอดผู้เข้มแข็งที่มีพลังอยู่ในระดับหัวกะทิของสำนัก พวกเขาส่วนใหญ่อยู่ในระดับทองคำ
พวกเขาต่างสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนของพลังวิญญาณผืนดินระดับนี้
แม้ความแปรปรวนจะเบาบางมาก แต่สามารถส่งมาจากตำแหน่งที่ไกลขนาดนั้นได้ ความแปรปรวนตรงใจกลางจะรุนแรงถึงขนาดไหน
ดีที่ตรงนั้นห่างจากตรงนี้ไม่ไกล ยอดฝีมือบางส่วนที่มีสัมผัสแข็งแกร่งจึงพุ่งตามไปยังทางนั้นด้วยความเร็วสูง
การกระตุ้นความแปรปรวนในชีพจรดินที่รุนแรงถึงขนาดนี้ในระยะห่างที่ใกล้แบบนี้ สำหรับสำนักที่อาศัยชีพจรของผืนดินในการฝึกฝนอย่างสำนักเคลื่อนภูผาแล้ว มันชัดเจนแจ่มแจ้งถึงขีดสุด
อย่างไรพวกเขาก็อาศัยมันในการฝึกฝน ย่อมตรวจสอบพลังวิญญาณในชีพจรดินใกล้ชิดกว่าขุมกำลังทั่วไป
…
รากไม้สีเหลืองอ่อนอันแน่นขนัดยื่นเหยียดออกมาจากร่างลู่เซิ่ง ดูดซับพลังงานสีดำในลักษณะเหนียวข้นมากมายออกมาจากในผืนดิน
นั่นคือพลังวิญญาณดวงดาว หรือก็คือพลังวิญญาณผืนดินที่สำนักเคลื่อนภูผาพูดถึง
พลังอาวรณ์เหมือนกับปกคลุมด้านนอกด้านในร่างกายของลู่เซิ่งไว้ชั้นหนึ่ง ร่วมกับเยื่อป้องกันบนวิญญาณ
หลังจากพลังวิญญาณผืนดินทะลักเข้าไป ก็จะถูกเยื่อป้องกันชั้นนี้กรองสิ่งเจือปนให้เหลือเพียงพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุด ก่อนจะไหลเข้าไปในร่างวิญญาณของลู่เซิ่งต่อ
การกรองแบบนี้มีความเร็วถึงหลายร้อยหน่วยต่อวินาที
พลังวิญญาณผืนดินที่ต่อเนื่องทะลักเข้าไปในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็เกิดปฏิกิริยาทางเคมีกับพลังวิญญาณของลู่เซิ่ง สองสิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว
พลังวิญญาณของลู่เซิ่งที่เดิมมีมากถึงสามล้านกว่าดูรา ขยายตัวขึ้นอีกครั้งเหมือนเติมลม
มนุษย์หมอกดำมากมายที่เฝ้าอยู่นอกคฤหาสน์มองดูพลังวิญญาณของลู่เซิ่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนรับชมเรื่องสนุก
พร้อมกับทอดถอนใจว่า ผู้ชายของราชาเทพเป็นอัจฉริยะจริงๆ ความเร็วยกระดับในการฝึกฝนพลังวิญญาณที่เร็วขนาดนี้หาได้ยากอย่างยิ่ง
แอนดี้เองก็อยู่ในจำนวนนี้เช่นกัน แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นคุณสมบัติร่างกายอันน่ากลัวที่ลู่เซิ่งใช้สะกดมารยักษามาก่อน จึงไม่ได้ตกใจกับความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณมากนัก
ทว่าต่อมา หลังจากพลังวิญญาณขึ้นไปถึงสามล้านกว่าดูรา ก็ถึงกับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
อีกทั้งการยกระดับในครั้งนี้ยังเป็นพลังวิญญาณผืนดินที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงด้วย
พลังวิญญาณผืนดินกับพลังวิญญาณของตัวเองเป็นคนละความหมาย
การสกัดพลังวิญญาณของตัวเอง เหมือนกับของที่ตัวเองมีอยู่แล้ว เพียงแต่วางไว้ในลิ้นชักเท่านั้น กระบวนการใช้งานจึงเทียบได้กับการดึงลิ้นชักแล้วหยิบออกมา
ส่วนพลังวิญญาณผืนดิน นั่นคือของของคนอื่น คุณจะต้องบุกเข้าไปในบ้านคนอื่นแล้วค้นให้ทั่วถึงจะเจอพลังวิญญาณได้ หลังจากเจอแล้ว จะต้องเปลี่ยนมันให้กลายเป็นสิ่งที่ตัวเองใช้ได้
เอี๊ยด!
รถจี๊ปและรถยนตร์หลายคันจอดลงในเขตคฤหาสน์ริมทะเลสาบอย่างรวดเร็ว
จอมอาวุโสถูกคนหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวคนหนึ่งประคองลงจากรถ ก่อนจะเงยหน้ามองคฤหาสน์ที่ปิดอยู่ของลู่เซิ่ง
รองผู้อาวุโสกับผู้อาวุโสสามก็พากันลงรถเช่นกัน
ถัดจากนั้นจึงเป็นผู้จัดการเรื่องราวกับศิษย์หัวกะทิคนอื่นๆ
หวงย่าติดตามอยู่ด้านหลังหวงอวิ๋นซื่อ เธอจำคฤหาสน์ที่ลู่เซิ่งอยู่ได้แทบทันที
ถัดจากนั้นยังคงมีศิษย์ของสำนักเคลื่อนภูผาเร่งรุดมาถึง รถหลายคันพากันจอดในถนนเขตนี้อย่างต่อเนื่อง
การจราจรที่เดิมปลอดโปร่ง ติดขัดอย่างรวดเร็ว
ตำรวจจราจรหลายคนต้องการเข้าไปรักษากฎระเบียบ และขับไล่การรวมกลุ่มที่ผิดปกติของพวกเขา แต่พอมีผู้จัดการคนหนึ่งเข้าไปเจรจา พวกเขาก็ตกใจเหงื่อแตกเต็มศีรษะ หมุนตัววิ่งหนีทันที
แม้กลุ่มคนที่ผ่านทางมาจะสัมผัสไม่ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่ดูจากรูปการณ์กลับเป็นเหตุการณ์ใหญ่โตที่หาได้ยาก จึงพากันมาปักหลักมุงดู บ้างก็หยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป
“ไล่คนผ่านทางพวกนี้ไปให้หมด” จอมอาวุโสถือไม้เท้าหัวมังกรเดินเข้าเขตเล็กๆ ทีละก้าวๆ มุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ที่ลู่เซิ่งอยู่
คนที่เหลือได้แต่ติดตามไปเงียบๆ โดยทิ้งคนบางส่วนไว้ขับไล่พวกสอดรู้สอดเห็น
พอจอมอาวุโสไม่พูดอะไร คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าส่งเสียงเช่นกัน
เขานำอยู่ด้านหน้า รองผู้อาวุโสหวงอวิ๋นซื่อกับผู้อาวุโสสามเดินเคียงไหล่อยู่ด้านหลัง ถัดจากนั้นเป็นผู้จัดการเรื่องราวห้าคน
ผู้จัดการเรื่องราวคนหนึ่งเช็ดเหงื่ออย่างต่อเนื่อง ที่เขตนี้เขาเป็นคนดูแล
ตอนนี้ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดีไป แต่ถ้าเกิดเรื่องล่ะก็…
“นี่มัน…กลิ่นอายของวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณนี่!” เดินไปได้ครึ่งทาง จอมอาวุโสก็งุนงงเล็กน้อย กล่าวเสียงขรึมทันทีว่า “ที่นั่นมัน…!?”
……………………………………….
Comments