ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 981 เกียรติภูมิ (1)
“วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณหรือ รุนแรงถึงขนาดนี้ได้ยังไง” เพราะต้องวิจัยวิชาวิญญาณให้แก่หลานสาวและลูกศิษย์ หวงอวิ๋นซื่อจึงศึกษาวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณจนทะลุปรุโปร่งตั้งแต่แรกแล้ว
ถึงแม้เขาจะไม่ได้ฝึกฝนวิชานี้ แต่เมื่อพูดถึงความเข้าใจที่มีต่อวิชาวิญญาณวิชานี้ เขากลับเป็นคนที่รู้มากที่สุดในสำนัก นอกจากจอมอาวุโส
“เป็นวิถีเคลื่อนที่ของความแปรปรวนจากวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณจริงๆ เพียงแต่ความเร็วถูกขยายขึ้น” จอมอาวุโสเอ่ยเสียงทุ้ม
“ที่นั่น…ผมจำได้ว่าเป็นสถานที่ที่ศิษย์หวังตงอาศัยอยู่…” หวงอวิ๋นซื่อเคยได้รับการบอกเล่าจากหวงย่า จึงทราบแล้วว่าคนที่ก่อความเคลื่อนไหวขึ้นที่นี่เป็นใคร
“หวังตงหรือ” จอมอาวุโสอึ้ง “สุดท้ายนายก็ให้เขาฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเหรอ” สีหน้าของเขาแสดงความปลาบปลื้ม
“ไม่ใช่สิ วิชาวิญญาณพื้นฐานของเขาเพิ่งอยู่ในระดับแปดไม่ใช่หรือไง”
ฟิ้ว!
พูดยังไม่ทันขาดคำ จอมอาวุโสก็พลันชะงักฝีเท้า
พื้นด้านหน้าเขาเกิดเสียงดังเบาๆ รากไม้สีเหลืองอ่อนหลายเส้นกระจายออกมาจากในคฤหาสน์อยางมืดฟ้ามัวดิน แล้วพากันปักลงบนพื้นราวเทพธิดาโปรยดอกไม้
รากไม้กลุ่มสุดท้ายอยู่ห่างจากเขาไม่ถึงครึ่งเมตร
ตุบๆ!
เสียงดังสนั่นที่เหมือนหัวใจเต้น กระเพื่อมจากส่วนลึกในวิญญาณของคนทุกคน
เวลานี้ผู้สื่อวิญญาณทั้งหมดเห็นอย่างชัดเจนว่ามีรากไม้สีเหลืองอ่อนจำนวนเหลือคณานับกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากคฤหาสน์ แล้วกระจายออกไป
“นี่มัน…เส้นดูดวิญญาณของวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญานนี่ แต่อย่างมากสุดควรจะมีแค่แปดเส้นเท่านั้น ทำไม…ทำไมถึงได้มีเยอะแบบนี้ล่ะ!?” มีคนอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเป็นเพียงวิชาที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในใจของลูกศิษย์ทุกคนเท่านั้น
หากคิดจะรักษาธรรมเนียมต่อไป ก็ต้องเผชิญกับการเลือกแบบนี้
วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณอันเป็นตัวแทนธรรมเนียม ค่อยๆ กลายเป็นตัวเลือกของเหล่าลูกศิษย์ที่ถูกบีบคั้นจนหมดหนทาง
ถึงขั้นที่ลูกศิษย์จำนวนมากซึ่งมีวิชาสื่อวิญญาณประจำตระกูล ยินดีฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณของตระกูลตัวเอง มากกว่าจะฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ
ผู้อาวุโสสองสามคนที่ยึดมั่นในธรรมเนียมอุตสาหะมาโดยตลอด เพื่อพลิกสถานการณ์
แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือไม่มีความหมายแม้แต่น้อย
“เรียบร้อย จบลงแล้ว” ทันใดนั้นจอมอาวุโสก็ผุดสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะสาวเท้าเดินไปด้านหน้า
เส้นสายสีเหลืองอ่อนมากมายด้านหน้าพากันสลายไป เหมือนกับไม่เคยคงอยู่มาตั้งแต่แรก
ทุกคนติดตามไป จนกระทั่งถึงขอบคฤหาสน์ริมทะเลสาบ
พวกเขาหยุดยืนอยู่ด้านหน้าประตูคฤหาสน์ พร้อมกับมองไปด้านใน
ลู่เซิ่งค่อยๆ เดินออกมาจากประตู แล้วกดปุ่มเปิดประตูเหล็กอัตโนมัติ
การที่มีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ในสำนักมาถึง อีกทั้งหวงย่ายังแอบโทรศัพท์และส่งข้อความสอบถามสถานการณ์กับเขา
เขาย่อมทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ ได้แต่หยุดชั่วคราวแล้วมารับทุกคน
“ที่แท้ก็เป็นเหล่าผู้อาวุโสจากสำนักมาถึง ศิษย์หวังตงคารวะผู้อาวุโส ผู้จัดการเรื่องราว และศิษย์พี่ทุกท่าน” ลู่เซิ่งมาต้อนรับถึงหน้าประตูเหล็กและกล่าวเสียงดัง
จอมอาวุโสไม่ได้เข้าไป
เพียงยืนจ้องเขาอยู่ที่ประตู
“เมื่อครู่ เธอกำลังฝึกวิชาหรือ”
“ครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้ารับตรงๆ
ทุกคนฮือฮาเล็กน้อย การเคลื่อนไหวเมื่อครู่รุนแรงไปบ้าง
“ถึงระดับไหนแล้ว” จอมอาวุโสโพล่งถาม
“ระดับสี่ครับ…” ลู่เซิ่งไม่ปิดบัง ตอบทันที
พวกผู้อาวุโสหวงอวิ๋นซื่อที่อยู่ด้านหลังได้ยินดังนั้นก็พลันตกใจ
ระดับที่สี่คืออะไร คนส่วนใหญ่ต่างก็รู้ดี
การฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งปีทำได้แค่สร้างพื้นฐานเท่านั้น ความยากและระดับการเสียเวลาของวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณแทบจะขึ้นชื่อเรื่องแก้ไขไม่ได้
ทว่าตั้งแต่ลู่เซิ่งเข้าสำนักมาจนถึงตอนนี้เวลาเพิ่งผ่านไปเท่าไรเอง แต่ไปถึงระดับสี่แล้ว
หวงอวิ๋นซื่อผุดสีหน้างุนงง ส่วนหวงย่าที่อยู่ด้านหลังเขาอ้าปากเล็กน้อย ทำหน้าเหมือนกับเห็นผี
แม้แต่คนรู้จักอย่างพวกเขายังเป็นแบบนี้ ยิ่งอย่าว่าแต่ศิษย์คนอื่นๆ
พอได้ยินว่าเป็นระดับสี่ คนมากมายที่ต่อให้จะใจเย็นอย่างไร กล้ามเนื้อใบหน้าก็กระตุกเล็กน้อย สงสัยว่าตัวเองหูฝาดหรือไม่
ควับ!
ทันใดนั้นจอมอาวุโสก็ยื่นมือไปแตะแขนลู่เซิ่ง พลังวิญญาณหลายสายที่บริสุทธิ์ถึงขีดสุดแทงเข้าไปในแขนเขาเหมือนกับเส้นด้าย
ชั่วพริบตานั้นพลังวิญญาณผืนดินอันมหาศาลในตัวลู่เซิ่งก็สะท้อนกลับทันที
พลังวิญญาณสีเหลืองอ่อนสายหนึ่งปรากฏแวบขึ้นบนแขนลู่เซิ่ง ดีดนิ้วของจอมอาวุโสออกไป
“พลังวิญญาณคุ้มครองร่าง! เป็นระดับสี่จริงๆ! พลังวิญญาณผืนดินที่บริสุทธิ์ชนิดนี้…ช่าง…” จอมอาวุโสไม่ทราบโดยสิ้นเชิงว่าควรพูดอะไรดี
แม้เขาจะเป็นเทพจุติที่ฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับตัวประหลาดอย่างลู่เซิ่ง ก็อดแสดงความปั่นป่วนใจออกมาไม่ได้
รองผู้อาวุโสหวงอวิ๋นซื่อก็มีสายตาซับซ้อนเช่นกัน การที่ศิษย์ของตัวเองขยันขันแข็งถือเป็นเรื่องดี
แต่ศิษย์คนนี้ขยันขันแข็งเกินไป จนความก้าวหน้าอยู่เหนือความคาดหมายของเขา
“พอแล้ว แยกย้าย แยกย้ายให้หมด!” เขาพลันรู้สึกตัว หันไปมองเหล่าศิษย์หัวกะทิที่ติดตามมา ในดวงตาของคนไม่น้อยมีเปลวเพลิงบางชนิดกำลังลุกโชน ความรู้สึกนั้นบรรยายได้ยากอย่างยิ่ง
เขารู้ว่าในศิษย์ของสำนักเคลื่อนภูผามีองค์กรหนึ่งชื่อสมาคมพันภูผา ซึ่งมีแต่ศิษย์ดั้งเดิมที่ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเท่านั้นถึงจะเข้าร่วมได้
นี่เป็นการร่วมมือกันครั้งสุดท้ายของขุมกำลังดั้งเดิม เวลาสู้หนึ่งต่อหนึ่งพวกเขาสู้ศิษย์คนอื่นไม่ได้ วิธีการเพียงหนึ่งเดียวคือเกาะกลุ่ม
เป็นเพราะในหมู่ผู้ที่ฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณไม่มีผู้นำที่สู้กับกลุ่มศิษย์กลุ่มอื่นได้
สี่คนที่เหลือในห้าเมล็ดวิญญาณต่างก็ฝึกฝนวิชาสื่อวิญญาณระดับสูงวิชาอื่น ไม่มีคนฝึกวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณสักคนเดียว
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว!
ลู่เซิ่งหรือหวังตงเป็นหนึ่งในห้าเมล็ดวิญญาณเช่นกัน แต่เขากลับเลือกฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ วิชาที่ทุกคนยอมรับว่าธรรมดานี้
นี่หมายถึงอะไร
มันหมายถึงว่าวิชาดั้งเดิมนี้จะมีประโยชน์มากพอแน่ ไม่อย่างนั้นลู่เซิ่งคงไม่เลือกฝึกฝนอย่างผ่อนคลายขนาดนี้
ทางฝั่งจอมอาวุโสถามปัญหากับความรู้สึกเกี่ยวกับการฝึกฝนอีกหลายข้อ แล้วยืนยันได้ว่าลู่เซิ่งฝึกวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณถึงระดับสี่จริงๆ
หลังจากยืนยัน เขาก็หันกลับไปกระซิบกระซาบอะไรสักอย่างกับหวงอวิ๋นซื่อและผู้อาวุโสที่เหลือ
ไม่นานนักเหล่าผู้อาวุโสก็สั่งให้ผู้จัดการเรื่องราวพาพวกลูกศิษย์กลับสำนัก
ส่วนหวงอวิ๋นซื่อที่เป็นอาจารย์ของลู่เซิ่ง อยู่ทำความเข้าใจสถานการณ์กับลู่เซิ่งต่อ
ทางที่ดีที่สุดควรจะศึกษาให้ทราบว่า เขาฝึกฝนเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
ทุกคนรีบมาและรีบไป แต่แตกต่างจากตอนขามา เพราะในดวงตาพวกศิษย์และผู้จัดการเรื่องราวของสำนักเคลื่อนภูผาที่จากไปฉายความหวังอย่างเห็นได้ชัด
ลู่เซิ่งต้อนรับหวงอวิ๋นซื่อกับหวงย่าเข้าคฤหาสน์ หลังจากทั้งสามนั่งลงแล้ว เขาก็รินกาแฟสำเร็จรูปสองแก้วให้พวกเขา
“พูดตามจริง ก่อนหน้านี้หลังจากผมฝึกวิชาสื่อวิญญาณพื้นฐานสำเร็จ ผมก็พบว่าตัวเองฝึกถึงระดับสูงสุดแล้ว เลยคิดจะหาวิชาที่ปกติหน่อยมาฝึกดูก่อน แล้วค่อยึกถึงวิชาดั้งเดิม อย่างไรมันก็เป็นวิชาที่สำนักเคลื่อนภูผาของเราสืบทอดมานาน”
ลู่เซิ่งบอกคำตอบของตัวเองอย่างว่าง่าย
“นาย…ฝึกวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณมานานขนาดไหนแล้ว” หวงย่าอดถามไม่ได้
ลู่เซิ่งมองสีหน้าของเธอ รู้ว่าความก้าวหน้าของตนอลังการเกินไปบ้าง
“น่าจะ…ห้าวัน…ไม่สิ สิบวัน เริ่มจริงๆ เมื่อสิบวันก่อน”
พอลู่เซิ่งเห็นว่าสีหน้าของหวงย่าสองตาหลานเปลี่ยนแปลง ก็รีบเพิ่มเวลาขึ้นเป็นเท่าตัวทันที
เขาจำได้ว่าในคำภีร์บันทึกไว้ว่า อัจฉริยะที่มีพรสวรรค์บางส่วนสามารถลดระยะเวลาการฝึกฝนได้อย่างใหญ่หลวง
และประสิทธิผลการฝึกฝนของอัจฉริยะพวกนี้ก็ดีเลิศกว่าคนทั่วไปมาก
“สิบวัน…ในหมู่อัจฉริยะ นับว่าไม่เลวแล้ว” หวงอวิ๋นซื่อผุดสีหน้าราบเรียบ
ในบันทึกประวัติศาสตร์ไม่น้อย ถ้าสุดยอดอัจฉริยะเจอวิชาที่เหมาะกับตัวเอง จะมีความเร็วเหนือกว่าคนทั่วไปมากโขจริงๆ
แต่ปรากฎการณ์แบบนี้จะเกิดเฉพาะในช่วงแรกและช่วงกลางเท่านั้น เป็นเพราะคอขวดของช่วงแรกและช่วงกลางหลักๆ อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงพลังวิญญาณขั้นพื้นฐาน
แต่เมื่อไปถึงช่วงหลัง ส่วนใหญ่จะเป็นการเปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลงด้านขอบเขต ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติร่างกายแล้ว
“แบบนั้นยังถือว่าปกติอยู่ แต่การดูดซับพลังวิญญาณผืนดินของเธอเมื่อครู่มุทะลุและหยาบกระด้างเกินไป เธอรู้ไหมว่าในพลังวิญญาณผืนดินมีสิ่งเจือปนอยู่มากเท่าไหร เกิดพิษที่อยู่ในนั้นฝังลึกเข้าไปในร่างจิตของเธอ คิดจะกำจัดทิ้งก็ยากเหมือนปีนป่ายสวรรค์แล้ว”
หวงอวิ๋นซื่อผุดสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่มีอาจารย์คอยดูแลอยู่ใกล้ๆ เธอถึงกลับกล้าเบ่งเส้นดูดวิญญาณออกมามากขนาดนั้น! กลัวว่าตัวเองจะตายไม่เร็วพอหรือไง!?”
พูดถึงประโยคหลัง น้ำเสียงของเขาเริ่มเฉียบขาดขึ้น
จากนั้นหวงอวิ๋นซื่อก็ผุดลุกขึ้น ยืนเอามือไพล่หลัง มองไปยังแสงอาทิตย์ยามเที่ยงที่ร้อนแรงเล็กน้อยนอกหน้าต่าง
“บนโลกใบนี้ไม่เคยขาดแคลนอัจฉริยะ แต่นั่นก็เพราะมีความได้เปรียบที่คนธรรมดาเลียนแบบไม่ได้ในช่วงแรกและช่วงกลางเท่านั้น นอกจากนี้…” เขาเปลี่ยนหัวข้อ
“อัจฉริยะเองก็ไม่ได้ขัดเกลาความคิดและจิตใจมากพอเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน พอไปถึงช่วงหลัง การยกระดับขอบเขตจะยากกว่าคนธรรมดามาก ถึงได้มีคำพูดว่าสำเร็จเพราะพรสวรรค์ แต่ก็ล้มเหลวเพราะพรสวรรค์เช่นกัน!”
ลู่เซิ่งได้ยินดังนั้นก็แสดงสีหน้าจริงจังขึ้น
“อาจารย์โปรดชี้แนะด้วยครับ”
หวงอวิ๋นซื่อพยักหน้าน้อยๆ
“อันดับแรก สิ่งที่เธอต้องทำคือการทำให้พลังฝึกปรือในตอนนี้มั่นคง พร้อมกับวางวัตถุดิบกับอาวุธภูตส่วนหนึ่งไว้ใกล้ๆ ตัวเพื่อบ่มเพาะ สำหรับใช้เป็นอาวุธ ชุดเกราะ และอุปกรณ์ในอนาคตของเธอเอง”
“ถูกแล้วครับ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
……………………………………….
Comments