ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 982 เกียรติภูมิ (2)
“รองลงมา การดูดซับพลังวิญญาณผืนดินของวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณต้องเน้นความบริสุทธิ์เป็นหลัก จะรีบร้อนไม่ได้เป็นอันขาด” หวงอวิ๋นซื่อสอนต่อ
“ศิษย์เข้าใจ” ลู่เซิ่งพยักหน้า
คนหนึ่งสอนคนหนึ่งฟัง ดูจริงจังเป็นอย่างยิ่ง
การเคลื่อนไหวใหญ่ที่หวังตงก่อขึ้นทำให้เขาเป็นที่เล่าลือในสำนักเคลื่อนภูผาเพียงชั่วข้ามคืน
ครั้งก่อนเขาโด่งดังขึ้นเพราะอัดผู้ฝึกสอนที่ทำการทดสอบคนหนึ่งกระเด็นทั้งๆ ที่เพิ่งเข้าสำนัก
แต่เทียบกับครั้งก่อนแล้ว ชื่อเสียงในครั้งนี้ดีกว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด
ในที่ลับ ขุมกำลังดั้งเดิมชื่อสมาคมพันภูผาที่ตอนแรกทรุดโทรมลงด้วยความเร็วสูงฉวยจัวหวะโงหัวขึ้นอีกครั้ง ฟื้นกำลังกลับมาบางส่วนภายใต้การสนับสนุนของผู้อาวุโสสองสามท่าน
นอกจากนี้ศิษย์ดั้งเดิมส่วนใหญ่ยังค่อยๆ เริ่มใช้ศิษย์เมล็ดวิญญาณอย่างหวังตงเป็นตัวอย่างทั้งด้านคำพูดและด้านการกระทำ แสดงให้เห็นว่าวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณไม่ใช่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แม้แต่หนึ่งในห้าเมล็ดวิญญาณยังเลือกฝึกวิชานี้
กระแสใต้น้ำชนิดนี้เริ่มทำให้ผู้อาวุโสบางส่วนที่คิดจะพัฒนาวิชาใหม่เพื่อทำการปฏิรูปเริ่มไม่พอใจ
เวลานี้ ขบวนที่เดิมจะมุ่งหน้าไปยังโพรงหมื่นวิญญาณถูกเลื่อนให้ช้าออกไปหนึ่งสัปดาห์กว่าๆ เพราะเรื่องของลู่เซิ่ง
ทว่าไม่นาน ก็ใกล้ถึงเวลาเดินทางที่ได้รับการกำหนดอีกครั้ง
ในคฤหาสน์
หวังจิ้งยังคงหลับลึก ลู่เซิ่งกำลังเก็บสัมภาระทั้งหมด เพื่อเตรียมออกเดินทางในวันพรุ่งนี้
ติ๋ง…ติ๋ง….ติ๋ง…
มีเสียงหยดน้ำดังมาจากมุมหนึ่งของห้องรับแขกในคฤหาสน์อย่างแผ่วเบา นั่นเป็นเสียงอันมีแบบแผนของนาฬิกาน้ำ
ลู่เซิ่งที่นั่งอยู่บนเบาะกลมวางอยู่บนพื้น มองสองคนที่มาเยี่ยมเยือนอย่างกะทันหันตรงหน้า
ผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เขา เป็นรองผู้จัดการเรื่องราวหลักจ้าวเฉวียนเกินซึ่งจะนำกลุ่มออกเดินทางไปยังโพรงหมื่นวิญญาณในวันพรุ่งนี้ รวมถึงศิษย์พี่โอวหยางจี๋ที่เป็นอัจฉริยะในสำนักเช่นเดียวกัน
รองผู้จัดการเรื่องราวหลักจ้าวเฉวียนเกินไว้เคราแพะ ท่าทางเยือกเย็นเรียบเฉย ราวกับผู้นำกลุ่มที่มาไม่ใช่เขา
แต่นี่คือความจริง เขาเป็นแค่คนนำทางเท่านั้น คนที่ต้องการมาที่นี่จริงๆ คือโอวหยางจี๋
ทั้งสามนั่งนิ่งกันอยู่นาน
ตอนนี้โอวหยางจี๋อายุยี่สิบห้าปี ท่าทางสุภาพเรียบร้อย มีความทะนงตนกับความสูงศักดิ์อันคลุมเครือของตัวเอง แสดงให้เห็นว่าชาติกำเนิดไม่ธรรมดา
เขามองลู่เซิ่งอย่างคุกคามเล็กน้อย
“ศิษย์น้องหวัง ครั้งนี้ที่อุกอาจมาหา ความจริงก็เพราะได้ยินว่าศิษย์น้องฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณระดับสี่สำเร็จแล้ว ศิษย์น้องเองก็รู้ว่าแม้วิชานี้จะมีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่ไม่ค่อยมีประโยชน์นัก ทั้งยังพัฒนาได้อย่างเชื่องช้า ถ้าคิดจะพัฒนาเร็วๆ จะต้องพูดถึงปัญหาด้านสิ่งเจือปนในพลังวิญญาณผืนดินอีก”
เขาเว้นเล็กน้อยก่อนช้อนตามองลู่เซิ่ง
“ศิษย์น้องอย่าได้มองข้ามระดับความบริสุทธิ์ของพลังวิญญาณเพราะความเร็ว…”
“เรื่องนี้ผมจะระวัง ขอบคุณศิษย์พี่ที่เตือน” ลู่เซิ่งยิ้มพลางพยักหน้า
“อย่างนั้นก็ดี” โอวหยางจี๋พยักหน้าและกล่าวอีกว่า “นอกจากนั้น ที่ฉันมาหาด้วยตัวเอง เพราะยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ต้องการกำชับศิษย์น้องเอาไว้”
“ครับ”
“เรื่องนี้ทำเพื่อตัวศิษย์น้องเอง อย่างไรศิษย์น้องก็ทุ่มเทกับการฝึกฝน ไม่ทราบถึงความวุ่นวาย การแข่งขัน และการเปลี่ยนแปลงในสำนัก” โอวหยางจี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อีกสักสองสามวัน ในขบวนที่จะมุ่งหน้าไปยังโพรงหมื่นวิญญาณของพวกเรา อาจมีคนติดต่อกับศิษย์น้องเพื่อให้ศิษย์น้องรับตำแหน่งหัวหน้าสมาคมพันภูผา เรื่องนี้ ฉันไม่อยากให้ศิษย์น้องตอบรับ แน่นอนว่าเพื่อแลกเปลี่ยน ฉันย่อมไม่มีทางให้ศิษย์น้องทำให้ฟรีๆ” โอวหยางจี๋หยิบเช็คใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วใช้สองมือวางลงบนพื้นด้านหน้าลู่เซิ่งอย่างแผ่วเบา
“นี่เป็นเช็คจำนวนร้อยล้าน สามารถไปถอนที่ธนาคารได้ทุกเวลา จะใช้สิ่งนี้แลกกับการปฏิเสธครั้งหนึ่งของศิษย์น้อง ไม่ถือว่าเกินไป อย่างไรสมาคมพันภูผาก็เป็นแค่พวกศิษย์หลงทางที่จะต้องถูกลอยแพอยู่แล้ว ที่ฉันทำแบบนี้เพราะหวังดีกับศิษย์น้อง ไม่อยากให้ศิษย์น้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย”
โอวหยางจี๋ผุดสีหน้าราบเรียบ เหมือนกับสิ่งที่ให้ออกไปเป็นเงินสองสามร้อย ไม่ใช่เงินสดหนึ่งร้อยล้าน
แต่ถ้าเป็นคนที่รู้สถานะและเบื้องหลังของเขา ก็จะเข้าใจได้ว่า จะกี่ร้อยล้านก็เป็นเพียงตัวเลขหรือเงินเท่านั้น ลูกหลานรุ่นสองที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจตั้งแต่เกิดอย่างเขา คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด สิ่งที่ไม่ขาดตกบกพร่องก็คือสิ่งเหล่านี้
ลู่เซิ่งมองเช็คบนพื้น หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
“นอกจากนี้ ในฐานะระดับสูงของสมาคมกำเนิดใหม่ในสำนัก ครั้งนี้ที่ฉันมาเพราะต้องการเชิญศิษย์น้องเข้าร่วมสมาคมกำเนิดใหม่ของฉัน” โอวหยางจี๋เอ่ยปากอีกรอบ
“แน่นอนว่าศิษย์น้องจะเลือกไม่เข้าร่วมก็ได้ นี่เป็นอำนาจของศิษย์น้องในฐานะเมล็ดวิญญาณ” เขายิ้มอีกครั้ง “แต่เป้าหมายที่สามที่ฉันมา ความจริงก็เพื่อทำให้ศิษย์น้องเข้าใจว่า วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณกับวิชาของสมาคมกำเนิดใหม่ต่างกันขนาดไหน”
“หา?” ลู่เซิ่งเลิกคิ้ว “จะทำให้เข้าใจอย่างไร”
โอวหยางจี๋ยิ้มน้อยๆ พร้อมผุดลุกขึ้นเบาๆ
“ฉันจะกดพลังวิญญาณให้อยู่ในระดับเดียวกับศิษย์น้อง พวกเรามาสู้กันอย่างยุติธรรม ฉันจะทำให้ศิษย์น้องเข้าใจว่า ความแตกต่างระหว่างวิชาหลายๆ ครั้งก็ทำให้คนเรารู้สึกถึงความสิ้นหวัง”
รองผู้จัดการเรื่องราวหลักจ้าวเฉวียนเกินที่อยู่ด้านข้างทอดถอนใจ ความจริงนี่เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของโอวหยางจี๋
การกระทำหลายอย่างเมื่อก่อนหน้านี้ ใช้เพิ่มความลังเลสงสัยในตัวหวังตงเท่านั้น
หากในการต่อสู้ไม่อาจสร้างความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วและแน่วแน่ ก็จะกลายเป็นความแตกต่างระหว่างชัยชนะกับความพ่ายแพ้
โอวหยางจี๋เป็นรองหัวหน้าสมาคมกำเนิดใหม่ มีพลังถึงขีดสูงสุดของร่างกายมนุษย์เช่นกัน อีกทั้งขีดสูงสุดของเขายังเหนือกว่าคนทั่วไปมาก เพราะทางบ้านเขาซื้อทรัพยากรล้ำค่ามากมายมาสร้างรากฐานที่หนักแน่นถึงขีดสุดให้เขาตั้งแต่ยังเด็ก
โอวหยางจี๋เป็นสุดยอดศิษย์ที่ถูกจัดอยู่ในระดับต้นๆ ของระดับทองคำ แทบจะยืนอยู่บนจุดยอดของศิษย์สำนักเคลื่อนภูผา
แม้แต่หลานของผู้อาวุโสอย่างหวงย่ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
พูดอีกอย่างก็คือ หวงย่าเกือบจะถูกจับแต่งงานกับเขาเป็นของแถม แต่ถูกเขาปฏิเสธ
“มาเถอะ ฉันจะชี้แนะถึงข้อบกพร่องที่อันตรายถึงชีวิตในวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณให้ศิษย์น้องเอง” โอวหยางจี๋เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งในตอนนี้กลายเป็นความหวังสุดท้ายของสมาคมพันภูผาแล้ว หากคิดจะทำลายแผนการของคนหัวรั้นกลุ่มนั้น และปฏิรูปสำนักทั้งหมด การเอาชนะฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายของพวกเขาเป็นวิธีการที่ดีที่สุด
ฟ้าว
โอวหยางจี๋โยนยันต์ข่ายอาคมสื่อวิญญาณระดับสูงออกมาเพื่อตัดขาดกับสภาพแวดล้อมรอบๆ ชั่วคราว
ข่ายอาคมโปร่งแสงกลุ่มหนึ่งกลายเป็นทรงกลมห่อหุ้มคนสามคนเอาไว้ พริบตาเดียวก็แยกตัวจากโลกในความเป็นจริง
“เข้ามาเลยศิษย์น้อง ศิษย์น้องลงมือก่อนได้ ฉันจะให้ศิษย์น้องลองสัมผัสความแข็งแกร่งของวิชาทำลายภูผาพิฆาตวิญญาณของสมาคมกำเนิดใหม่เอง” โอวหยางจี๋ที่ยืนเอามือไพล่หลังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
สายตาของลู่เซิ่งที่เปี่ยมมารยาทก็หลุบต่ำลง เสียเวลาตั้งนานไอ้หมอนี่แค่มาหาเรื่องเท่านั้นเองหรือ
“ความจริงผมไม่ได้สนใจสมาคมกำเนิดใหม่หรือสมาคมพันภูผาอะไรของพวกคุณหรอก”
เขาค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับปลดกระดุมเสื้อ
“เป็นเพราะพวกคุณอ่อนแอเกินไป…อ่อนแอจนน่าเบื่อ…”
โอวหยางจี๋อึ้งไป ก่อนที่สีหน้าเริ่มอึมครึมลง
“ศิษย์น้องปากดีจริงๆ ไม่รู้หรือว่าถ้ารองผู้อาวุโสอาจารย์ของศิษย์น้องได้ยินคำพูดนี้จะรู้สึกอย่างไร”
“ไม่เป็นไร เขาสู้ผมไม่ได้มานานแล้ว” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างราบเรียบ
พูดจบ เขาก็ไม่สนใจสีหน้าแตกตื่นสงสัยของคนสองคนตรงหน้า ยกมือขวากางนิ้วออก
คิดไปคิดมา สุดท้ายเขาก็หุบนิ้วจนเหลือแค่นิ้วชี้นิ้วเดียว
“รู้ไหมว่าทำไมผู้แข็งแกร่งถึงได้โดดเดี่ยว” เขาเอ่ยอย่างเรียบเฉย “นั่นก็เพราะ มีแต่ความโดดเดี่ยวเท่านั้นที่สร้างคนที่แข็งแกร่งที่สุดได้…”
ดวงตาเขาเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนหวนนึกถึงวันเวลาในอดีตที่ตนฝึกฝนมามากกว่าพันปี
เขาเดินมาถึงขั้นนี้ทีละก้าวๆ คนนอกที่เห็นแต่เปลือกนอกอันแข็งแกร่งและรุ่งโรจน์ของเขา กลับไม่รู้จักสำนวนที่ว่าอยู่บนเวทีหนึ่งนาที สิบปีที่ฝึกซ้อม
วันคืนนับไม่ถ้วนในตอนที่คนอื่นกำลังเที่ยวเล่นพักผ่อน เขากำลังฝึกหนัก ในตอนที่คนอื่นกำลังคุยโวดื่มเหล้า เขาก็กำลังฝึกหนัก
ตอนที่คนอื่นๆ จีบสาวหรือฆ่าเวลา เขายังคงฝึกหนัก
ความจริงเขาเองก็รู้ว่า ดีปบลูมีส่วนช่วยต่อเขาอย่างมหาศาล
แต่การช่วยเหลือนี้เพียงแค่หดเวลาในการกลายเป็นผู้เข้มแข็งของเขาให้สั้นลงเท่านั้น ถ้าไม่มีดีปบลู อย่างมากสุดเขาก็แค่สำเร็จช้าไปบ้าง
ความจริงผลลัพธ์สุดท้ายยังคงเหมือนเดิม
เวลานี้พวกโอวหยางจี๋รู้สึกผิดปกติบ้างแล้ว แต่สภาพการณ์เป็นเช่นนี้ ธนูอยู่บนสายไม่อาจไม่ปล่อย โอวหยางจี๋ผุดสีหน้าคร่ำเคร่ง ไม่สนใจว่าลู่เซิ่งพูดอะไร
“ศิษย์น้องยื่นนิ้วชี้ออกมานิ้วเดียว กำลังดูถูกฉันหรือ” เสียงของเขาเคร่งขรึมขึ้น
“ไม่…” ลู่เซิ่งหรี่ตาเล็กน้อย “ฉันอยากให้คุณสัมผัสถึงความเลวร้ายของโลก มีความแตกต่างบางอย่างที่ต่อให้พยายามก็ชดเชยไม่ได้”
เขาค่อยๆ ยื่นนิ้วชี้ออกไป
ทันใดนั้นก็มีพลังวิญญาณน่ากลัวที่ยิ่งใหญ่และบิดเบี้ยวสายหนึ่งทะลักออกมาเหมือนมหาสมุทร
ความยิ่งใหญ่ของพลังวิญญาณนั้นทำให้สีหน้าของโอวหยางจี๋เปลี่ยนแปลง เขาเหมือนเห็นจอมอาวุโสคนที่สองอยู่ชั่วขณะ
พลังวิญญาณน่ากลัวที่ปกคลุมฟ้าดินจนทำให้คนแทบหายใจไม่ออกนั้น ไร้สิ้นสุดเหมือนกับหุบเหวลึกและห้วงมหรรณพ!
วิชาทลายภูผาพิฆาตวิญญาณที่เขาเพิ่งปล่อยออกมายังไม่ทันรวมตัวเป็นวิชา ก็สลายไปเหมือนกับฟองน้ำ
พลังวิญญาณก่อตัวเป็นพายุ ห่อหุ้มตัวเขาไว้พร้อมกับเชือดเฉือนและกัดกร่อนอย่างคลุ้มคลั่ง
ชั่วขณะนั้นโอวหยางจี๋เหมือนเห็นภาพลวงตานับไม่ถ้วน พลังวิญญาณของเขาเพียงพอจะป้องกันส่วนทรวงอกไว้ได้เท่านั้น ส่วนพลังวิญญาณที่เหลือเพิ่งจะล้นออกมานอกตัว ก็ถูกพลังวิญญาณที่ไร้สิ้นสุดรอบๆ สะกดทำลายทิ้ง
“สิบนิ้วของฉัน ทุกนิ้วฝังหนึ่งในร้อยของพลังวิญญาณทั้งหมดไว้” ลู่เซิ่งยกนิ้วชี้ขึ้นแล้วแตะหว่างคิ้วของตน
“ถ้าแม้แต่นิ้วนิ้วเดียวคุณยังเอาชนะไม่ได้ อย่างนั้นอนาคตของคุณ…”
“ออมมือด้วย!” ในที่สุดจ้าวเฉวียนเกินที่อยู่ด้านข้างก็อดไม่ไหว ระเบิดพลังวิญญาณยิ่งใหญ่ออกมาจากร่างเพื่อคุ้มครองโอวหยางจี๋
ตูม!
ลู่เซิ่งหรี่ตา พริบตานั้นพลังวิญญาณที่บ้าคลั่งกว่าเดิมสายหนึ่งกระแทกจ้าวเฉวียนเกินกระเด็นไปชนใส่ผนังข่ายอาคมอย่างแรง
รองผู้จัดการเรื่องราวหลักกระอักเลือด ผิวแดงก่ำ สายตาเริ่มแตกซ่าน
“เวลาทำอะไร ฉันไม่ชอบให้คนอื่นสอดมือ” ลู่เซิ่งเบือนสายตาไปจับบนร่างโอวหยางจี๋
“มาเลย ขอฉันดูหน่อยว่าสมาคมกำเนิดใหม่ที่คุณพูดอยู่ในระดับไหน”
“ฉัน…!”
โอวหยางจี๋ผุดสีเหน้าเหยเก เส้นเอ็นและเส้นเลือดปูดโปน แต่ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นพลังวิญญาณอย่างไร ความแตกต่างเหมือนฟ้ากับเหวนั่นก็ยังคงควบคุมร่างกายของเขาเอาไว้ ทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้
สุดท้ายเขาได้แต่มองดูนิ้วชี้นิ้วนั้นเคาะหน้าผากตนเบาๆ
ตูม!
ชั่วพริบตานั้นห้วงสมองของโอวหยางจี๋ส่งเสียงดังสนั่น ทุกอย่างตรงหน้าระเบิดหายไป
เขารู้สึกว่าจิตของตัวเองเหมือนถูกทำลาย ตรงหน้าดำมืด ร่างกายอ่อนยวบ
ถัดจากนั้นเขาก็ไม่รู้อะไรแล้ว
เปรี้ยง!
ร่างสองร่างถูกโยนลงกับพื้นก่อนจะแน่นิ่งไป ศิษย์สำนักเคลื่อนภูผาที่ได้ยินข่าวและมาถึงที่นี่ก่อนเวลา เห็นฉากนี้เข้า หัวใจพลันเต้นระส่ำ
พวกเขาหลายๆ คนเป็นศิษย์และผู้จัดการเรื่องราวที่ฝึกวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ อีกส่วนมาเพื่อเข้าร่วมแผนการทำลายขวัญกำลังใจของสมาคมพันภูผาตามที่โอวหยางจี๋ประกาศ
ทว่าวินาทีนี้ หลังจากเห็นคนสองคนที่ถูกโยนออกมา ความกังวลและความเศร้าใจของศิษย์ทั้งหมดที่เดิมกำลังมองโลกในแง่ร้ายก็ค่อยๆ หายไป
สิ่งที่มาแทนที่คือ ความฮึกเหิมซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
พวกเขาสามารถมองเห็นลู่เซิ่งที่นั่งอยู่กลางโถงใหญ่ผ่านประตูคฤหาสน์ที่อ้าอยู่ได้ ด้านหลังของเขามีดวงตาแนวตั้งสีแดงก่ำขนาดยักษ์ที่ดุร้ายยึดครองอยู่
……………………………………….
Comments