ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 983 ขัดแย้ง (1)
ใบพัดเฮลิคอปเตอร์ที่หมุนด้วยความเร็วสูงพัดเอาอากาศที่มีน้ำฝนมากมาย จนเหมือนกับเป็นจานสีเทา
น้ำฝนถูกสะบัดออกไปเหมือนกับขอบจานเหยียดยืดออก
ในห้องโดยสารกว้างใหญ่ที่หนักอึ้งของเฮลิคอปเตอร์มีคนทั้งหมดสิบสองคนของสำนักเคลื่อนภูผานั่งเรียงเป็นสองแถว
ลู่เซิ่งนั่งอยู่ตรงตำแหน่งที่สองทางซ้ายมือ
ทุกคนต่างเงียบกริบ เสียงของเฮลิคอปเตอร์ดังเกินไป จำเป็นต้องพูดกันดังๆ เลยคร้านจะคุยกัน
ลู่เซิ่งมองผ่านหน้าต่างกลมหนาของเฮลิคอปเตอร์ออกไปด้านนอก
ภูเขาหิมะสีขาวที่สูงชันและทอดตัวยาว ถอยไปด้านหลัง อยู่ข้างล่างฮลิคอปเตอร์ พวกเขากำลังไต่ระดับขึ้นไปบนภูเขาหิมะด้วยความเร็วสูง
ความรู้สึกเหมือนกับพวกเขากำลังโบยบินขึ้นไปยังยอดภูเขาหิมะ
เช้าตรู่วันนี้ ลู่เซิ่งได้ถูกขอให้มานั่งเฮลิคอปเตอร์ส่วนตัว เพื่อมายังเทือกเขารกร้างในต่างประเทศแห่งนี้
หลังจากเดินเท้าเป็นระยะทางสิบกว่ากิโลเมตร เขาก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ลำเลียงขนาดหนักเพื่อมุ่งหน้าไปยังที่หมาย
ทางพี่สาวหวังจิ้ง เขาฝากให้พวกมนุษย์หมอกดำคอยดูแลอยู่ที่ตีนเขา
พวกเขาปกป้องหวังจิ้งมานานแล้ว นอกจากเทพแห่งการทำลายล้าง พวกเขาสามารถปกป้องเธอจากศัตรูที่เหลือได้
เฮลิคอปเตอร์ยกระดับความสูงอย่างต่อเนื่อง ไม่นานสายฝนก็กลายเป็นหิมะ
อีกครู่หนึ่ง พอถึงพื้นโล่งกว้างบนยอดภูเขาที่เกลื่อนด้วยก้อนกรวด และมีหิมะปกคลุมเป็นสีขาวโพลน
เฮลิคอปเตอร์ก็หยุดอยู่กลางอากาศ แล้วปล่อยบันไดเชือกลงไป
คนของสำนักเคลื่อนภูผาทยอยปีนบันไดเชือกลงไป ก่อนจะกระโดดลงพื้นเมื่ออยู่ห่างจากผืนดินสองสามเมตร
ลู่เซิ่งกระโดดลงมาเป็นคนสุดท้าย
พื้นเหมือนจะเป็นพื้นหิมะทั่วไป แต่ด้านล่างมีสิ่งที่เหมือนกับเบาะหนาๆ ปูอยู่ชั้นหนึ่ง
‘ที่นี่…’ เขายืดตัวขึ้น ก่อนจะสัมผัสความผิดปกติของที่นี่ได้ทันที
พลังวิญญาณมากมายเหมือนกับหมอกที่กระจายตัวระเหยออกมาจากในภูเขา
ลู่เซิ่งเพียงแค่กวาดตามอง ก็เห็นพลังวิญญาณผืนดินหลายสายทะลักออกมาจากพื้นเหมือนกับน้ำพุแล้ว
ผู้นำกลุ่มเปลี่ยนเป็นชายที่ชื่ออวี๋เฉิงกัง โอวหยังจี๋กับจ้าวเฉวียนเกินมาไม่ได้ชั่วคราวเพราะถูกลู่เซิ่งทำร้าย ได้แต่พักฟื้นอยู่ที่สำนัก
ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ในสำนักเองก็มีการเล่าลือถึงชื่อเสียงของหวังตงหรือลู่เซิ่งด้วย
มีคนวงในเล่าการทดสอบกับจอมอาวุโสที่เก็บเป็นความลับออกไปว่า หวังตงสู้กับจอมอาวุโสได้มากกว่าร้อยกระบวนท่าโดยไม่แพ้
รายละเอียดเองก็ดูสมจริง เล่าอย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ลู่เซิ่งกวาดตามองไป นอกจากนักบินแล้ว ในกลุ่มมีคนทั้งหมดสิบสองคน เวลานี้เขาเดินอยู่ด้านหลังสุด คนที่เหลือไม่กล้าเข้าใกล้เขามากเกินไป
หญิงสาวที่กำลังจัดกระเป๋าอยู่ใกล้ๆ พอถูกเขากวาดตามอง ก็ยิ่งตัวสั่น ทำท่าตกใจจะร้องไห้
กลุ่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือยอดฝีมือระดับทองคำของสำนักที่มีพลังเหี้ยมหาญ ทั้งหมดพกพาอาวุธภูตระดับทองคำขั้นสูงสุด จะไปหมุนเวียนกับยอดฝีมือที่ตั้งค่ายอยู่ที่นี่ในฐานะกองกำลังคุ้มกัน
หรือก็คือเปลี่ยนกะสลับเวรนั่นเอง
ส่วนอีกส่วนหนึ่งเป็นคนที่มาเยี่ยมชมโพรงหมื่นวิญญาณ
ในนี้มีลู่เซิ่งอยู่ด้วย นอกจากเขาแล้ว อีกสองคนที่เหลือต่างเป็นอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงในสำนัก
ลู่เซิ่งมองชายหนุ่มหญิงสาวสองคนที่เดินอยู่ด้านหน้าเขา คนหนึ่งเป็นชายคนหนึ่งเป็นหญิง อายุยังไม่เกินยี่สิบปี
เหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา สองคนที่อยู่ด้านหน้าจึงตัวเกร็ง ไม่กล้าขยับตัว
ลู่เซิ่งมองคนหกคนที่นำกลุ่ม พวกเขานั่งพักผ่อนบนพื้นหิมะ คอยเช็ดถูอาวุธภูต ใกล้ๆ มีเจ้าหน้าที่มืออาชีพสามคนที่รับผิดชอบการสื่อสารและซ่อมบำรุง กำลังตรวจสอบอุปกรณ์ติดตัวอยู่
ทว่าบรรยากาศที่เดิมทีกลมกลืนกลับแข็งทื่อในทันทีที่ลู่เซิ่งกวาดตามองไป
คนที่ตอนแรกกำลังดื่มน้ำเกือบสำลัก
คนที่กำลังเช็คอุปกรณ์นิ้วแข็งชาจนขยับไม่ได้
หญิงสาวที่โทรศัพท์อยู่หน้าซีด พูดจาติดอ่าง
“เป็นอะไรกันหรือ”
ลู่เซิ่งหงุดหงิดอยู่บ้าง เขาเป็นคนหนุ่มอายุสิบแปดแท้ๆ ทำไมคนพวกนี้ถึงได้ทำกับเขาเหมือนเป็นตัวประหลาดอายุพันปีกัน
หลังจากเตรียมการเรียบร้อย หญิงสาวตัวเล็กที่เมื่อครู่ตกใจจนเกือบร้องไห้ก็เดินมาหาเขาอย่างตัวสั่นงันงก
“ละ…ลูกพี่…เอ่อไม่สิ ศิษย์พี่…ถึงเวลาไปแล้วค่ะ…”
“…” ลูกพี่อะไรฟะ”
ลู่เซิ่งมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอือมๆ ก่อนจะมองคนที่แข็งแกร่งที่สุดในขบวน คนพวกนี้ร่างกายแข็งทื่อ หยุดนิ่งอย่างไม่เป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง
“อืม ผ่อนคลายหน่อยเด็กน้อย” เขายื่นมือไปลูบผมหญิงสาว “ฉันไม่กินคน”
หญิงสาวตกใจตัวสั่นกว่าเดิม เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต เกือบกรีดร้องออกมา
“เข้าใจ…แล้วค่ะ!”
ลู่เซิ่งหมดคำพูด เขากลับไม่รู้ว่าเดิมทีในกลุ่มมีคนของสมาคมกำเนิดใหม่อยู่เยอะที่สุด ถึงอย่างไรในกองกำลังระดับสูง นอกจากผู้อาวุโส ศิษย์ดั้งเดิมก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสมาคมกำเนิดใหม่มานานแล้ว
และตอนนี้รองหัวหน้าสมาคมของสมาคมกำเนิดใหม่และรองผู้จัดการเรื่องราวหลักคนหนึ่งที่คอยสนับสนุนพวกเขา ก็ถูกลู่เซิ่งเล่นงานจนสาหัสก่อนจะโดนโยนออกจากบ้านเหมือนกับสุนัขแล้ว
ทางสำนักเคลื่อนภูผาวิพากย์วิจารณ์ไม่กี่คำอย่างไม่เจ็บไม่คัน เพราะพวกเขาไปหาเรื่องก่อนเอง
ตอนนี้ลู่เซิ่งจึงได้กลายเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งและอันตรายที่สุดในหมู่ลูกศิษย์สำนักเคลื่อนภูผาไปแล้ว ไม่มีคนอื่นอีก
อีกทั้งข่าวลือยังบอกด้วยว่าเขามีนิสัยก้าวร้าว หากพูดจาไม่ลงรอยสักคำหนึ่งก็จะอัดคนจนบาดเจ็บสาหัสได้ทันที
ไม่อย่างนั้นทำไมหนุ่มหล่อที่สุภาพมีมารยาทอย่างโอวหยางจี๋ถึงถูกทำร้ายขนาดนั้นได้ล่ะ
ลู่เซิ่งกวาดตามองรอบหนึ่ง สุดท้ายก็พบว่ามีแต่หญิงสาวสวมแว่นตาที่รับผิดชอบตรวจเช็คอุปกรณ์เท่านั้นที่ไม่ค่อยกลัวเขานัก เธอเองก็เกรงๆ เขาเหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นความเคารพอีกแบบมากกว่า
ลู่เซิ่งสัมผัสกลิ่นอายพลังวิญญาณผืนดินที่คุ้นเคยได้จากตัวเธอ
พลังวิญญาณผืนดินที่วิชาทลายภูผาของสมาคมกำเนิดใหม่กลั่นกรองมีความบริสุทธิ์พอประมาณ แต่ซ่อนเร้นได้ดีกว่า กลิ่นอายมีชีวิตชีวากว่า ไม่ได้หนาหนักเท่าวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณ
ทำให้ลู่เซิ่งสัมผัสถึงพลังวิญญาณผืนดินที่คุ้นเคยได้ แสดงให้เห็นว่าเป็นวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณเหมือนกัน
‘ช่างเถอะ กลัวก็กลัวไป จะได้ไม่ต้องมีใครมากวน’ ลู่เซิ่งหยิบโทรศัพท์ออกมาดูกล้องวงจรปิด
กล้องวงจรปิดถ่ายทอดห้องที่หวังจิ้งนอนหลับ เพื่อรักษาความปลอดภัย ลู่เซิ่งได้วางแมวสองตัวที่ถูกเขาฝังหนวดเทพนอกรีตไว้รอบบริเวณที่หวังจิ้งพักผ่อน พร้อมจะป้องกันและตรวจสอบสภาพแวดล้อมได้ตลอดเวลา
นอกจากมนุษย์หมอกดำกับพวกที่เหมือนกับผีดูดเลือดซึ่งกำลังมาถึง แมวสองตัวนี้เป็นหนึ่งในแนวป้องกันที่เขาวางไว้เช่นกัน
จากที่นี่ถึงตีนเขา ถ้าเขาปล่อยพลังทั้งหมด จะไปถึงได้โดยใช้เวลาไม่เกินสิบนาที กองกำลังป้องกันมากมายที่เขาวางไว้นั้นสามารถคุ้มครองได้สิบนาทีโดยไม่มีปัญหา
ลู่เซิ่งสงบจิตใจ จากนั้นก็ย่ำพื้นหิมะผืนหนาตามกลุ่มขึ้นไป หูได้ยินเสียงพายุหิมะครางหวีดหวิว
คนที่อยู่รอบข้างต่างเป็นยอดฝีมือ สุดที่คนธรรมดาจะเทียบเคียงได้ ขนาดอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายอยางนี้ ความเร็วในการเคลื่อนที่ยังคงเทียบเท่ากับความเร็วของคนธรรมดาที่วิ่งสุดฝีเท้า
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มสิ่งก่อสร้างที่ทำจากโลหะสีเงินผืนหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏในสายตาของทุกคน
อวี๋เฉิงกังที่นำกลุ่มรีบพุ่งเข้าไปในกลุ่มสิ่งก่อสร้าง ตรงดิ่งไปตามถนนที่เกลื่อนไปด้วยหิมะโดยไม่หยุดพัก
ในกลุ่มสิ่งก่อสร้างมีคนอยู่ไม่น้อย แม้จะเห็นคนไม่กี่คนบนถนน แต่ก็มีเสียงหัวเราะกับเสียงเพลงดังลอดออกมาจากประตูและหน้าต่างของกลุ่มสิ่งก่อสร้างเป็นระยะ ในนี้มีภาษาที่ฟังไม่ออกแทรกอยู่มากมาย
ไม่นานอวี๋เฉิงกังก็ไปถึงกลุ่มสิ่งก่อสร้างขนาดกลางทรงพีระมีดสี่ชั้น ก่อนจะหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูเข้าไปทันที
คนที่เหลือทยอยเข้าไป ลู่เซิ่งที่อยู่คนสุดท้ายพลิกมือดึงประตูปิด
ด้านในคือโถงทรงกลมกว้างขวางที่มีรูปแบบต่างประเทศอย่างชัดเจน
บนผนังแขวนโคมไฟที่เหมือนกับคบเพลิง เพดานเป็นจอยักษ์ กำลังเลียนแบบทิวทัศน์การเคลื่อนไหวของท้องฟ้าอย่างช้าๆ
เพียงแต่บนโถงใหญ่เละเทะอยู่บ้าง
หญิงสาวหน้าเหลืองและร่างผอมซูบสองคนนอนอย่างอ่อนแรงอยู่บนเตียงเดี่ยว ผู้ดูแลสองคนกำลังป้อนน้ำป้อนอาหารให้กับพวกเธอ
ตรงมุมหนึ่งมีชายฉกรรจ์ตัดผมสั้นเกรียนที่พันผ้าพันแผลคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ผู้หญิงเสื้อแดงคนหนึ่งนักพักผ่อนอย่างเคร่งขรึมอยู่บนเก้าอี้ วางทวนเล่มหนึ่งไว้บนตัก
พอเห็นอวี๋เฉิงกังพาคนเข้ามา ผู้หญิงเสื้อแดงกับชายตัดผมสั้นเกรียนก็รีบลุกขึ้น
“มาแล้วเหรอ”
“อืม สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง” อวี๋เฉิงกังถามเสียงขรึม
“ฟื้นตัวแล้ว การฟื้นฟูพอได้ แต่ว่าพวกเธอ…ตอนที่พวกเราพบพวกเธอก็มีสภาพดูไม่ได้แล้ว…” ผู้หญิงเสื้อแดงผุดสีหน้าท้อแท้
“แน่ใจนะว่าเป็นอสูรเงา” อวี๋เฉิงกังถามเสียงเย็น
“ไม่ ตอนนี้พวกเราสงสัยว่าจะเป็นเจ้าขี้เมาไคลน์ในกลุ่มทหารรับจ้างยักษ์น้ำแข็งมากกว่า” ดวงตาของผู้หญิงผมแดงฉายแววเคียดแค้น
“เจ้าขี้เมาไคลน์…” อวี๋เฉิงกังทำหน้าอึ้ง
ชื่อนี้ธรรมดามาก ฉายาก็ธรรมดามากเช่นกัน แต่…พลังของไคลน์ไม่ธรรมดา
ในฐานะตัวตนอันแข็งแกร่งที่อยู่ในอันดับที่สิบเจ็ดของทำเนียบกระดิ่งดำ เขาเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอดของโลกซึ่งแข็งแกร่งกว่าจอมอาวุโสสำนักเคลื่อนภูผาหนึ่งขั้น
ความจริงอีกฝ่ายก็ยังรู้จักพอดีอยู่ ไม่ได้ลงมือกับยอดฝีมือของสำนักเคลื่อนภูผาตัวจริง แต่เล่นงานเจ้าหน้าที่สองคนที่อยู่ที่นี่ อีกทั้งยังไม่ปล่อยให้ใครหาหลักฐานเจอ
“ไม่ใช่แค่พวกเราสำนักเคลื่อนภูผาเท่านั้น ยังมีองค์กรอีกหลายองค์กรที่เจอปัญหาเหมือนกัน พวกที่มีฉากหลังกับพลังไม่แข็งแกร่ง ยิ่งถูกทรมานจนสภาพดูไม่ได้” ผู้หญิงผมแดงเอ่ยด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“แต่ตอนนี้ได้ความแน่ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลที่คนของสมาคมน้ำแข็งแห่งหอคอยนาสส่งมา โดนเล่นงานเข้า หลังจากเจ้าขี้เมาทำให้สลบแล้วก็ข่มขืน ถึงพบสถานะของพวกเธอ เหอะ สมาคมน้ำแข็งจัดอยู่ในอันดับสี่ของโลก นอกจากสามองค์กรใหญ่ที่เหลือ พวกเขาก็แข็งแกร่งที่สุด มียอดฝีมือมากมาย ทั้งยังมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับเทพจุติหลายคนคอยดูแล พวกคุณมาถูกจังหวะพอดี พวกเรากำลังจะไปชมเรื่องสนุกกันอยู่เลย” ชายฉกรรจ์ผมเกรียนกัดฟันกล่าว
เพื่อทวงถามความยุติธรรมให้พวกเดียวกัน พวกเขาจึงถูกเล่นงานจนบาดเจ็บเล็กน้อยในการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง
อีกทั้งอีกฝ่ายยังแสดงความสงสาร นี่ทำให้พวกเขาโมโหกว่าเดิม
ครั้งนี้เจ้าขี้เมานั่นไปก่อเรื่องใหญ่เข้า พวกเขาจึงเตรียมจะไปชมดูเพื่อซ้ำเติม
“หาที่พักให้พวกนี้ก่อน แล้วพวกเราไปด้วยกัน” อวี๋เฉิงกังรีบตอบ
“ได้” ผู้หญิงผมแดงคุยกับผู้นำกลุ่มที่เหลืออีกหลายประโยค ก่อนจะกวาดสายตาผ่านพวกลู่เซิ่งที่มาเยี่ยมชม
เธอหยุดมองลู่เซิ่งหนึ่งวินาทีเป็นการเฉพาะ แสดงให้เห็นว่ากำลังยืนยันชื่อกับสถานะของเขาอยู่
“ใช้ได้นี่” คนตัดผมสั้นเกรียนตบไหล่ลู่เซิ่งจากด้านข้าง ก่อนจะเขยิบเข้ามากล่าวหน้าทะเล้นว่า “แม้แต่คนเจ้าเล่ห์อย่างโอวหยางจี๋ยังเล่นงานได้สบายๆ ดูเหมือนหัวหน้าสมาคมกำเนิดใหม่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นคู่มือนายเหมือนกัน สมกับเป็นตัวอย่างของสมาคมพันภูผาของพวกเรา”
“ฉันไม่สนใจสมาคมพันภูผากับสมาคมกำเนิดใหม่อะไรนั่นหรอก” ลู่เซิ่งไม่ชอบคนที่ทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นแบบนี้
เพราะมันทำให้เขานึกถึงเพื่อนร่วมหอพักในโลกเทพนอกรีตขึ้นมา
……………………………………….
Comments