ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 986 ลงมือ (2)
“สวะ” ลู่เซิ่งก้าวเท้าข้ามตัวโหยวเหลียน เดินไปหาไคลน์ เทพเมฆา และแอนดี้ที่ยืนอยู่กลางที่เกิดเหตุ
เขาเดินอย่างผ่อนคลาย มองไปเหมือนไม่ได้ถูกโซ่มัด
“โอ มีเด็กเปรตมาอีกคนแล้ว เหมือนนายจะร้ายกาจอยู่เหมือนกันนี่ แต่…ก็งั้นๆ แหละ”
เจ้าขี้เมาไคลน์เลียริมฝีปากพลางกล่าว “คนของสำนักเคลื่อนภูผาเหรอ ตอนนี้สำนักเคลื่อนภูผาส่งเด็กอย่างนี้มาช่วยเหลือเนี่ยนะ เจ้าหนู มาที่นี่ทำไม เวลาคุกเข่าร้องไห้วิงวอนเสียงจะได้เพราะๆ หน่อยเหรอ”
“ทำไมฉันมาที่นี่ก็ถามตัวเองดูสิ” ลู่เซิ่งเงยหน้ายิ้มให้อีกฝ่าย
“แย่ล่ะ!” เทพเมฆาที่อยู่ด้านข้างสีหน้าเปลี่ยนแปลง กระโดดถึงด้านหน้าไคลน์ในพริบตา พลังวิญญาณสีเทามากมายลุกไหม้ขึ้นบนฝ่ามือ แล้วสับมือใส่ความว่างเปล่าด้านหน้าไคลน์
ร่างกายของลู่เซิ่งที่อยู่ตรงนั้นเปลี่ยนจากลวงเป็นจริง พลังอันน่ากลัววาดฝ่าอากาศมาพร้อมกับคลื่นอากาศสีขาวเส้นหนึ่ง
คลื่นอากาศที่มาพร้อมคลื่นเสียงระเบิดคลื่นสีขาวออกไปรอบๆ แยกแยะไม่ออกว่าเป็นพลังวิญญาณหรือคลื่นโจมตี
“วิชาวิญญาณ วงแหวนเสียง!” เทพเมฆาเพิ่งสัมผัสก็รู้ว่าแย่แน่ รีบกระตุ้นพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในร่าง เติมเข้าไปในทีเดียว
ตูม!
คลื่นกระแทกระเบิดอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงเหมือนขวดแตกดังออกไปรอบๆ โดยมีเทพเมฆาเป็นศูนย์กลาง ชั้นน้ำแข็งใต้ฝ่าเท้าระเบิดออกเป็นรอยร้าวมากมาย
“แก?!” เขาทั้งตกใจทั้งโมโห ยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่วิญญาณวีรชนที่รวมตัวเป็นรูปเป็นร่างด้านหลังกลับตอบสนองเร็วกว่าเขา
ยักษ์เมฆสีขาวบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งรีบยื่นสองมือออกมากันไว้ด้านหน้าเทพเมฆา
มือยักษ์สีขาวบริสุทธิ์เพิ่งห้อยตกลง กลางฝ่ามือก็ระเบิดเป็นรอยแตกสีดำกลุ่มหนึ่งอย่างแจ่มชัดทันที
เปรี้ยง!
รอยแตกขยายตัวและถี่ยิบขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุด ลู่เซิ่งที่เพิ่งจับตัวเป็นรูปเป็นร่างก็แหลกสลาย มันเป็นเพียงร่างวิญญาณจำลองที่เคลื่อนย้ายพลังวิญญาณมาสร้างขึ้นเท่านั้น!
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่ที่เดิมมองเทพเมฆาอย่างค่อนข้างเหนือความคาดหมาย เขารู้ดีว่าการโจมตีเมื่อครู่อยู่ในระดับไหน
แค่พละกำลังไม่มีทางสร้างอานุภาพระดับนี้ได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ฝ่ามือนั้นผสานกับพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่น่ากลัวและหนาแน่นถึงขีดสุดของเขาในตอนนี้
ความแข็งแกร่งทางร่างกายและพลังวิญญาณในร่างเขาเพิ่มขึ้นแทบทุกวินาที เทียบกับหลายวันก่อนแล้ว เขาในตอนนี้แกร่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ถ้าบอกว่าเขาก่อนหน้านี้มีพลังเหนือกว่ามารยักษา อย่างนั้นเขาในตอนนี้ก็คือจ้าวแห่งพละกำลังนั่นเอง
เป็นเพราะเขาฝึกฝนวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณถึงระดับเจ็ดแล้ว…
ภายใต้การปกคลุมด้วยพลังวิญญาณระดับนี้ แม้เมื่อครู่จะเป็นแค่การโจมตีแบบสบายๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าใครจะป้องกันได้
ลู่เซิ่งมองเทพเมฆาที่อยู่ห่างไปสิบกว่าเมตร ด้วยสีหน้าที่เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา
“ฉันคือหวังตงแห่งสำนักเคลื่อนภูผา นายรับการโจมตีของฉันได้ ถือว่ามีสิทธิ์ให้ฉันรู้จักชื่อนายแล้ว”
แกร๊ก
หอคอยหินที่อยู่ด้านหลังเทพเมฆาหลายสิบเมตร ตรงกลางหักโค่นก่อนจะถล่มลงมา
ส่วนกลางของหอคอยหินปรากฏรอยประทับฝ่ามือที่สมบูรณ์และชัดเจน
เทพเมฆาไม่ได้พูดอะไร แต่ว่าหัวกะทิของสมาคมหิมะน้ำแข็งกับพวกทหารรับจ้างของกลุ่มยักษ์น้ำแข็ง ซึ่งเป็นคนที่มัดโซ่พลังวิญญาณไว้บนตัวลู่เซิ่งเมื่อครู่
สีหน้ากลับเปลี่ยนแปลงไปโดยมิอาจควบคุม
อานุภาพระดับนี้ได้ก้าวข้ามจินตนาการของพวกเขาต่อผู้สื่อวิญญาณไปแล้ว
ขณะที่หอคอยเริ่มถล่มลงมานั่นเอง
ลานน้ำพุทั้งลานเงียบงันเป็นเป่าสาก
เจ้าขี้เมาไคลน์ที่เพิ่งจะเล่นเป็นแมวหยอกหนูพร้อมหัวเราะลั่นอยู่เมื่อครู่ ยังคงอ้าปากอยู่เหมือนเดิม หุบไม่ลงอยู่ชั่วขณะ เพียงแต่ดวงตาฉายแววตกใจหวาดหวั่น สายตากลอกไปมาล่อกแล่ก แสดงให้เห็นว่าคิดหาทางหนีอยู่
แอนดี้แห่งสมาคมหิมะน้ำแข็งผุดสีหน้าเคร่งขรึม จ้องมองลู่เซิ่งด้วยแววตากริ่งเกรงและตื่นตะลึง
เขาจำชื่อหวังตงแห่งสำนักเคลื่อนภูผาได้ เป็นสุดยอดอัจฉริยะที่สำนักเคลื่อนภูผาชิงรับเข้าสำนักตัดหน้าไปคนนั้นนั่นเอง
แต่ว่า…ต่อให้เก่งกาจอย่างไร ก็ต้องมีขีดจำกัดไม่ใช่หรือ?!
เขาเหลือบมองหอคอยที่ตกใส่พื้นเสียงดังสนั่น แล้วพัดพาหิมะนับไม่ถ้วนให้ฟุ้งขึ้นมา ไม่ทราบจะอธิบายความหวาดกลัวในใจอย่างไรดี
พละกำลังที่เอาชนะเทพเมฆา ทั้งยังหักหอคอยด้านหลังเขาเป็นสองส่วนได้…พละกำลังแบบนี้…ต่อให้เป็นมารยักษาเมื่อก่อนหน้าก็ยังไม่อลังการขนาดนี้เลยมั้ง
อั่ก!
เทพเมฆาที่ยืนอยู่กับที่ อดก้มหน้ากระอักเลือดออกมาไม่ได้
เขาอ้าปากอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ทรวงอกปรากฏคราบเลือดมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาไม่กล้าขยับตัวมากเกินไปอยู่ชั่วขณะ
เคร้งๆๆๆ!
โซ่พลังวิญญาณบนตัวลู่เซิ่งพากันขาดออก กลายเป็นฝุ่นผงเล็กๆ ตกลงพื้น
หลังจากพลังวิญญาณที่เกาะติดบนโซ่ ถูกพลังวิญญาณบ้าคลั่งที่แทบจะป่าเถื่อนของลู่เซิ่งกระแทกจนแหลก โซ่โลหะผสมที่เหลือก็ต้านทานแรงของเขาไม่อยู่ ถูกทำลายแหลกเป็นเสี่ยงๆ ทันที
โหยวเหลียนที่อยู่บนพื้นสับสนกว่าเดิม
เธอจำได้ว่าหวังตงเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา เขาเป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่ปัญหาก็คือตัวประหลาดที่แข็งแกร่งจนทำลายทุกอย่างให้ราพณาสูรได้ตรงหน้านี้ เธอไม่แน่ใจว่าเป็นหวังตง
หรือควรบอกว่าเป็นใครสักคนที่หน้าตาเหมือนหวังตงมากกว่า
เทียบกับเธอแล้ว คนในสำนักที่สติยังกระจ่างใสและชายผมสั้นเกรียนที่ติดตามมาด้วยตลอดทางทำหน้าเหมือนกับเห็นผี
แม้ก่อนหน้านี้จะได้ยินมาก่อนว่าหวังตงแข็งแกร่งมากๆ แม้แต่จอมอาวุโสก็สามารถสู้ได้อย่างสูสี
เพียงแต่ทุกคนไม่เคยเห็นกับตา รู้อย่างคร่าวๆ เท่านั้น
กระนั้นตอนนี้ หวังตงแข็งแกร่งขนาดไหน กลายเป็นคำถามที่ทุกคนซึ่งหายจากความตื่นตระหนกสงสัยมากที่สุดไปแล้ว
ความแข็งแกร่งนี้มีตัวเปรียบเทียบให้ดูโดยตรงแล้ว
“ตะ…ตัวประหลาด!” ผู้สื่อวิญญาณของสมาคมหิมะน้ำแข็งคนหนึ่งกรีดร้องออกมาอย่างฉับพลัน ขนาดไม่ใช้อาวุธภูตสื่อวิญญาณกับวิญญาณวีรชน ก็สามารถทำร้ายเทพจุติเทพเมฆา ผู้นำอันดับสองของกลุ่มทหารรับจ้างยักษ์น้ำแข็ง ด้วยการโจมตีครั้งเดียวได้ ถึงขั้นแม้แต่วิญญาณวีรชนเทพเมฆาที่โด่งดังของเขายังถูกเจาะทะลวง
พละกำลังที่น่าสะพรึงแบบนี้ ต่อให้เป็นสมาคมหิมะน้ำแข็งที่มากประสบการณ์ก็ยังตัวสั่น
ทหารรับจ้างยักษ์น้ำแข็งบางส่วนแอบกระจายตัวออกไป หลบหนีไปไม่น้อยแล้ว
พวกเขาเป็นทหารรับจ้าง ไม่ใช่ตัวรับกระสุนที่ยอมถวายชีวิตเพื่อระดับสูง ต่อให้หลบหนีในเวลานี้ ก็ไม่มีใครด่าว่าพวกเขาขี้ขลาด
บนตัวลานที่สองสามวินาทีก่อนหน้ายังคึกคักเป็นพิเศษ เวลานี้ลู่เซิ่งเพียงแค่ประมือกับเทพเมฆาหนึ่งกระบวนท่าเท่านั้น
สภาพการณ์ก็กลับตาลปัตร คนของสมาคมหิมะน้ำแข็งกับยักษ์น้ำแข็งเริ่มแอบหนี นอกจากยอดฝีมือหลักที่ร่วมต่อสู้
ใครหนีได้ล้วนหลบหนีหมดสิ้น เหมือนกับตอนรุมโจมตีแมงมุมสวรรค์ในตอนนั้นนั่นเอง
ต่อหน้าผู้แข็งแกร่ง ทุกคนอาจยังมีความกล้าเข้าปะทะ แต่ต่อหน้าตัวประหลาด เข้าไปก็มีแต่ตายเปล่า
ลู่เซิ่งกวาดตามอง สายตาคนเกือบทั้งหมดต่างจับจ้องอยู่บนร่างเขา
รวมถึงโหยวเหลียนและหญิงสาวจากสำนักบูรพาขาวอีกคนที่เพิ่งถูกประคองตัวขึ้นจากพื้น
คนของสำนักเคลื่อนภูผาที่ก่อนหน้านี้ตามโหยวเหลียนมา เวลานี้พากันวิ่งมารวมตัวด้านหลังเขาด้วยตัวเอง สีหน้าของแต่ละคนในตอนนี้แดงก่ำเหมือนคนเมา ดวงตาเปล่งประกาย
เมื่อครู่คนของสมาคมหิมะน้ำแข็งกับยักษ์น้ำแข็งกำลังทำตัวยโสโอหัง เหมือนตัวเองเก่งกาจที่สุดในโลก ตอนนี้กลับไม่ส่งเสียงสักแอะ
“ขอฉันถามหน่อย” ลู่เซิ่งเลื่อนสายตาไปจับบนร่างเทพเมฆาที่กึ่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
“เมื่อกี้ใครเล่นงานคนของสำนักเคลื่อนภูผา”
บรรยากาศตึงเครียดทันที
“แค่กๆ”
อสูรยักษ์แห่งน้ำแข็งแอนดี้ ระดับสูงของสมาคมน้ำแข็งกระแอมสองสามครั้ง
“ในฐานะผู้จัดการหลักของสมาคมหิมะน้ำแข็ง ฉันว่าฉันมีสิทธิ์…”
ตูม!
พละกำลังยิ่งใหญ่ไร้รูปร่างสายหนึ่งกดทับบนร่างเขาทันที
พลังวิญญาณทั่วร่างแอนดี้หยุดชะงัก จากนั้นก็ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง ช่วยป้องกันแรงกดดันมหาศาลที่ทะลักมาจากด้านนอกให้แก่ร่างกาย
“ฉันบอกให้แกพูดหรือยัง” เวลานี้ลู่เซิ่งสะบัดแขนไปทางแอนดี้ พลังวิญญาณสีเทาหยาบใหญ่ที่เหมือนงูเหลือมยื่นออกมาจากมือ แล้วพันแอนดี้กับวิญญาณวีรชนซึ่งเป็นสัตว์ยักษ์สีขาวหิมะซึ่งลอยอยู่ด้านหลังเขาไว้
นั่นคือวิญญาณวีรชนสีขาวที่คล้ายกับสิงโต ตัวสูงห้าเมตรกว่าๆ ร่างกายกำยำบึกบึน กล้ามเนื้อหนั่นแน่นบิดเบี้ยวเหมือนกับรากไม้แก่ๆ
แม้สัตว์ยักษ์จะพยายามแผดคำรามอย่างไร้เสียง ภายใต้การเกี่ยวพันของพลังวิญญาณสีเทา แต่ยังคงไม่อาจหลุดออกจากพลังวิญญาณสีเทาที่แรงกดดันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้
“วิชาวิญญาณเหมันต์ผสาน! เก้าหิมะ!” แอนดี้ดิ้นพลางส่งเสียงตวาด ด้านหลังปรากฏเกล็ดน้ำแข็งทรงขนมเปียกปูนสีขาวหิมะที่แวววาวเก้าแผ่น จัดเรียงกันเป็นทรงกลม
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นสัตว์ยักษ์แห่งน้ำแข็งร้องคำราม ก่อนที่ร่างกายจะระเบิดเสียงดังสนั่นกลายเป็นกลุ่มแสงสีขาวนับไม่ถ้วน
กลุ่มแสงห่อหุ้มแอนดี้ไปปรากฏเป็นรูปเป็นร่างบนที่โล่งอีกแห่งซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายสิบเมตร ทว่าตา จมูก และปากของเขามีเลือดซึมออกมาเพราะการปะทะชั่วพริบตาสั้นๆ เมื่อครู่
“รีบหนี!” พวกสมาคมหิมะน้ำแข็งกับยักษ์น้ำแข็งที่เหลือฉวยโอกาสที่แรงกดดันลดลงในตอนที่ลู่เซิ่งสะกดแอนดี้ พากันหมุนตัวหนีโดยไม่เสียเวลา
เจ้าขี้เมาไคลน์ก็คิดหนีเหมือนกัน แต่กลับถูกพวกโหยวเหลียนที่อ่อนแอกว่าขวางทางไว้
ดวงตาที่เคียดแค้นชิงชังของสองสาวทำให้เขารู้ว่า ถ้าไม่หนีตอนนี้ รออีกเดี๋ยวต้องหมดโอกาสแน่
ไคลน์ไม่พูดอะไรสักคำ หมุนตัวพุ่งไปยังทางหอคอยหักทันที
“จะหนีเหรอ!?” ชายฉกรรจ์หัวล้านกับหนานเก๋อขวางทางเขาไว้
ชายฉกรรจ์ถูกำปั้น จ้องมองไคลน์อย่างอาฆาต
“แกตายแน่ ไคลน์”
“เหลวไหล!” ไคลน์แค่นเสียง “ถ้าไม่ใช่เพราะตัวประหลาดตัวนั้นมา น้ำหน้าอย่างแกน่ะเหรอ”
เงาแขนดำสี่ข้างด้านหลังไคลน์จับตัวเขาเบาๆ ก่อนจะโยนไปที่ไกลทันที
เจ้าขี้เมาไคลน์พุ่งตัวออกไปหลายสิบเมตร แล้วทิ้งตัวลงบนซากหอคอยหักอย่างมั่นคง
เงาแขนดำสี่ข้างพังทลายทันที ก่อนจะไปรวมตัวขึ้นด้านหลังเขา
“พวกปัญญาอ่อน” ไคลน์ยกนิ้วกลางให้พร้อมหมุนตัวหนี
ซู่…
ทันใดนั้นบนร่างเขาก็ถูกเส้นสายพลังวิญญาณสีเทาเส้นหนึ่งดึงไว้โดยไม่รู้ตัว
เส้นสายนั้นพันบนคอเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ที่มาของมันก็คือลู่เซิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม
กลางฝ่ามือเขามีก้อนพลังวิญญาณสีเทาที่เหมือนรังไหมกลุ่มหนึ่ง เส้นสายแยกออกมาจากด้านในรังไหมกลุ่มนั้นนั่นเอง
นอกจากไคลน์แล้ว ยังมีคนอีกสิบกว่าคนที่ถูกเส้นสายพันไว้จนขยับไม่ได้เช่นกัน
สถานการณ์ในตอนนี้สับสนวุ่นวาย พวกคนที่มามุงดูหนีไปตั้งแต่ศึกตะลุมบอนเมื่อครู่ได้พอประมาณแล้ว พวกที่เหลืออยู่ถ้าไม่ได้ถูกเส้นสายของลู่เซิ่งดึงไว้ ก็เป็นคนของสำนักเคลื่อนภูผาและผู้สื่อวิญญาณจากขุมกำลังอื่นๆ ที่ถูกรุมโจมตี
คนผมเกรียนพยุงโหยวเหลียนเดินมาถึงตรงหน้าลู่เซิ่งแล้วโค้งตัวให้เขาอย่างจริงใจ
“บุญคุณใหญ่หลวง ไม่เพียงพอแค่เอ่ยคำว่าขอบคุณ” โหยวเหลียนกล่าวอย่างจริงจัง
“งั้นก็ไม่ต้องขอบคุณ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่นำพา “ผมแค่เห็นแก่หน้าหวงย่าเท่านั้น”
เส้นสายบนมือเขาไม่เพียงพันธนาการคนของสมาคมหิมะน้ำแข็งเท่านั้น นอกจากคนที่อยู่ฝั่งตน ยังมีทุกคนที่อยู่รอบๆ ด้วย
ระดับทองคำทั้งหมดในฝูงชนถูกเขาหยุดไว้ทันที
หิมะปลิวโปรยปราย ลานที่เมื่อครู่ยังสู้กันอย่างดุเดือด ตอนนี้ถูกสีขาวบางๆ ชั้นหนึ่งปกคลุม กลบฝังสถานการณ์การต่อสู้เมื่อครู่เอาไว้
เส้นสายในมือลู่เซิ่งดึงขั้นทองคำไว้เกือบสิบกว่าคน
ในนี้รวมถึงเจ้าขี้เมาไคลน์ด้วย ทุกคนยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กลับขยับตัว
มีคนคนหนึ่งที่กล้าขยับตัว แต่ถูกตัดศีรษะทันที
……………………………………….
Comments