ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 987 หลังฉาก (1)
หนานเก๋อเดินไปถึงด้านหน้าไคลน์ก่อนจะมองซ้ายมองขวา การใช้เส้นด้ายพลังวิญญาณที่หยาบกระด้างแบบนี้เป็นคนละแบบกับสิ่งที่เธอถนัด นี่ทำให้เธอโล่งใจเล็กน้อย
หวังตงคนนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ
แข็งแกร่งถึงขั้นไม่มีเพื่อน
แม้จะเทียบเธอไม่ได้ แต่ก็คู่ควรกับคำเรียกตัวประหลาดในหมู่คนธรรมดาแล้ว
หนานเก๋อสังเกตเห็นว่า พละกำลังและกายเนื้อของหวังตงแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แทบจะอยู่ในระดับเดียวกับมารยักษา
‘ถ้าคำนวณดีๆ นี่แทบจะเป็นมารยักษาร่างมนุษย์แล้ว…น่าสนใจ ไม่เคยเจอตัวตนแบบนี้ในโลกใบนี้มาก่อน...’
เธอจุติมาโลกใบนี้ได้สามสิบกว่าปีแล้ว
ในวันเวลาสามสิบปีนี้ เธอทรมานอย่างอกสั่นขวัญแขนในช่วงสร้างพื้นฐานเมื่อสิบปีก่อนแทบทุกวัน
หลังจากเฉียดตายมาหลายครั้ง ในที่สุดเธอก็โดดเด่นขึ้นมาในองค์กรชื่อสหพันธ์กระดิ่งดำโดยอาศัยประสบการณ์และความรู้เดิมของตัวเองจนสำเร็จ แล้วได้รับการบ่มเพาะอย่างเฉพาะเจาะจงจากผู้เข้มแข็งระดับสูง
จากนั้นเธอที่ดูดซับการหล่อเลี้ยงจากสหพันธ์กระดิ่งดำจนหมด ก็ฆ่าอาจารย์ที่คิดจะปล้ำเธอทิ้ง และฆ่ายอดฝีมือมากกายที่ตามไล่ล่ารุมโจมตีเธอ จากนั้นก็ได้ฉายาผู้สื่อวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกมา
แม้จะมีการหักมุมที่ยากลำบากอยู่บ้าง แต่สำหรับเธอแล้ว การจุติครั้งนี้นับว่าราบรื่นมาก
เธอยังจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งจุติไปยังโลกระดับเดียวกัน เป็นไส้เดือนอยู่ที่นั่นเกือบหมื่นปี อุตส่าห์คืนร่างเป็นมนุษย์ได้ สุดท้ายเพราะระดับชั้นของพลังในโลกใบนั้นเข้มงวดถึงขีดสุด
ประสบการณ์ทุกอย่างในอดีตของเธอไม่มีประโยชน์ จึงได้แต่กล้ำกลืนปีนจากระดับล่างสู่ระดับบน
พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านพ้นไปอีกสองสามหมื่นปี
ในที่สุดเธอก็ไปถึงจุดสูงสุด
แต่เธอตาบอด แขนขาเองก็เหลือข้างเดียว ลิ้นถูกทำลายถาวรตอนโดนคู่แค้นทรมาน ทั้งยังโดนพิษจนรักษาไม่ได้
ใช้ชีวิตอย่างที่เขาเรียกว่าอยู่มิสู้ตกตาย
หวนนึกถึงว่าตอนนี้ดีมากแล้ว
เป็นหนานเก๋อที่ยังสบายดี
เวลานี้คนของสำนักเคลื่อนภูผาเริ่มเข้ามาจัดระเบียบแล้ว แต่เป็นเพราะพวกเขามีคนน้อยเกินไป บางส่วนจึงต้องกลับไปโทรศัพท์รายงานสถานการณ์กับทางสำนัก
คนที่เหลืออยู่ไม่อาจรักษาสภาพที่เกิดเหตุไว้ได้ ดังนั้นพวกโหยวเหลียนจึงขอให้คนของสำนักบูรพาขาวช่วยจัดระเบียบด้วย
อย่างไรเมื่อครู่ก็มีแต่คนของสำนักบูรพาขาวเท่านั้นที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา
ลู่เซิ่งซึ่งย่ำพื้นหิมะไปถึงหน้าหลุมหลุมหนึ่ง แล้วทรุดนั่งลงพร้อมกับยื่นมือไปขุดดินโคลนที่ก้นหลุมออกมาเบาๆ
‘สัดส่วนโลหะเข้มข้นมาก...ที่นี่มีวัตถุดิบสำหรับสร้างอาวุธภูตแม้แต่ในดิน!’
เขาสนใจที่นี่ขึ้นเรื่อยๆ
เขาเพียงถือโอกาสจัดการเรื่องไร้สาระบนลานกว้างให้จบๆ ไปเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการฉวยโอกาสนี้กำจัดการคุกคาม
ลู่เซิ่งลุกขึ้นก่อนจะกวาดตามอง
ผู้สื่อวิญญาณขั้นทองคำสิบกว่าคนถูกเขาใช้เส้นด้ายวิญญาณมัดตัวไว้
“มานี่” ลู่เซิ่งออกแรงดึง ผู้สื่อวิญญาณทุกคนพลันถูกเส้นด้ายวิญญาณกระชากมายังทิศทางที่เขาอยู่อย่างไม่อาจควบคุม
มีคนทั้งหมดสิบห้าคนรวมถึงเจ้าขี้เมาไคลน์ คนของสมาคมหิมะน้ำแข็งหนีไปได้หลายคน มีคนผ่านทางสองสามคนที่คิดฉวยโอกาสเข้ามาหาโอกาสในช่วงชุลมุนถูกจับมาด้วย
ลู่เซิ่งเขย่าเส้นด้ายในมือ เจ้าขี้เมาไคลน์พลันยกมือจับคอ เสียงจากหลอดลมที่ถูกเจาะรั่วดังขึ้น เลือดทะลักออกมาเป็นสาย
“ฉัน…ฮ่า…” เขายังคิดจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เรี่ยวแรงหายไปอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างไม่สำคัญอีกแล้ว
ตุบ
เจ้าขี้เมาไคลน์ล้มลงกับพื้นอย่างไร้เสียง ยอดฝีมือระดับสูงที่มีอันดับสูงกว่าจอมอาวุโสของสำนักเคลื่อนภูผาเสียชีวิตลงบนยอดเขาอย่างเงียบเชียบเช่นนี้
บนกระบี่สั้นสีดำสนิทที่โค้งงอเล็กน้อยบนศพของไคลน์ค่อยๆ ปรากฏเงาแขนสีดำสี่ข้างขนาดยักษ์สายหนึ่ง เป็นวิญญาณวีรชนในอาวุธภูติที่เขาใช้นั่นเอง
“เฮ้อ…”
วิญญาณวีรชนสี่แขนถอนใจ มองศพบนพื้น จากนั้นก็ประสานมือให้ลู่เซิ่งแล้วหดร่างกลับเข้าไปในกระบี่สั้นทันที
“นั่นคือแอนดาเซียส ราชาผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ที่เคยรวมอาณาเขตมาซันด้าทั้งหมดเป็นปึกแผ่น ว่ากันว่าเป็นจอมราชาที่ยุติธรรมและเมตตา การให้คนอย่างไคลน์ครอบครองถือเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง”
ชายผมเกรียนเข้ามากล่าวเบาๆ
“จริงสิ นายวางแผนจะจัดการผู้สื่อวิญญาณขั้นทองคำพวกนี้อย่างไร ถ้า…ถ้าไม่สะดวก พวกเราช่วยนายจัดการดีไหม”
ลู่เซิ่งคร้านจะตอบเขา เวลาสู้กันให้เขาอยู่ด้านหน้า พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลจากชัยชนะ ยังพูดเหมือนช่วยเขา กำลังล้อเล่นอยู่หรือไง
เขากวาดตามองรอบๆ จากนั้นก็เดินไปทางกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่ขอบของลานกว้าง
ยอดฝีมือขั้นทองคำสิบกว่าคนถูกเขาดึงไปยังทางหนึ่ง
ไม่นานนัก ลู่เซิ่งก็ยืนอยู่หน้าบ้านขนาดปานกลางอีกหลัง
เปรี้ยง!
เขาถีบประตูบ้านเปิด ประตูพลันหลุดออกจากกรอบ
ผู้สื่อวิญญาณขั้นทองคำสิบกว่าคนทยอยตามเขาเข้าไป
ลู่เซิ่งบอกกับคนอื่นว่าต้องการเรียกร้องเงินชดเชย แต่ความจริงเขาคิดจะฝังพลังเทพนอกรีตใส่ตัวคนพวกนี้
หลังผ่านไปราวสองสามนาที ลู่เซิ่งก็เดินออกมาเป็นคนแรก ด้านนอกมีขุมกำลังเบื้องหลังผู้สื่อวิญญาณพวกนี้รออยู่ไม่น้อย
พอเห็นลู่เซิ่งเปิดประตู คนพวกนี้ก็ร่างแข็งทื่อ ไม่กล้าส่งเสียง
คนที่กำลังคุยกันได้ยินวีรกรรมเมื่อก่อนหน้านี้ของลู่เซิ่งคร่าวๆ แล้ว
สำหรับคนที่มาถึงระดับนี้ได้ทั้งๆ ที่เพิ่งอายุได้สิบแปดปี ทุกคนได้ยกระดับตำแหน่งของลู่เซิ่งจากอัจฉริยะขึ้นเป็นตัวประหลาดแล้ว
ลู่เซิ่งไม่เหลือบแลคนพวกนี้ หากหมุนตัวจากไป
คนของสำนักเคลื่อนภูผาเข้าไปถามไถ่สองสามประโยค หลังได้รับคำตอบบางอย่าง ต่างก็หลีกทางให้อย่างสบายใจ
ถัดจากนั้นราวสองสามนาที ผู้สื่อวิญญาณขั้นทองคำสิบกว่าคนที่ถูกจับตัวไว้ก่อนหน้านี้ก็พากันเดินออกมาจากบ้าน
สิ่งที่ไม่มีใครู้เลยก็คือ บนท้ายทอยของพวกเขามีบางอย่างเพิ่มมา สิ่งนี้หลอมรวมเข้ากับร่างของพวกเขาด้วยความเร็วสูง พร้อมกับเริ่มปรับปรุงและเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่กายเนื้อของพวกเขา
พลังเทพนอกรีตไม่ได้มีแค่การกลืนกินและควบคุมเท่านั้น ยังมีการแพร่เชื้อด้วย
ลู่เซิ่งเรียกการแพร่เชื้อนี้ว่าแปลงเทพนอกรีต
สิ่งมีชีวิตที่ถูกแปลงเทพนอกรีตจะได้รับการยกระดับพลังคืนชีพอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันคุณสมบัติด้านจิตใจก็จะเพิ่มขึ้นมากเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน สิ่งมีชีวิตแปลงเทพนอกรีตหลังปนเปื้อนจะสามารถแพร่เชื้อใส่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต่อได้
แต่เหมือนจะไม่ได้ราบรื่นในโลกใบนี้เท่าไรนัก อาจเป็นเพราะพลังแห่งความรกร้าง
พอกลับถึงค่าย ลู่เซิ่งก็หยิบแผนที่ของโพรงหมื่นวิญญาณซึ่งยึดมาจากยอดฝีมือพวกนั้นขึ้นมาดู
หลังศึกษาตำแหน่งอย่างเป็นรูปธรรมเสร็จ เขาก็แอบมุ่งหน้าไปยังโพรงหมื่นวิญญาณคนเดียวกลางดึก
ตอนกลางวันเขาสร้างชื่อในการต่อสู้ครั้งเดียวแล้ว เขาไม่อยากให้มีคนมาชมดูด้านหลังเหมือนตอนนั้น
เขาเสียเวลาในโลกใบนี้มานานแล้ว
ต้องรีบจัดการเทพแห่งการทำลายล้างทิ้ง จากนั้นหาดวงตาแห่งความเลวทรามบนภาพสามเทพที่คนอื่นมองไม่เห็นให้เจอ
เขาเกิดลางสังหรณ์อย่างรุนแรง เป็นไปได้ถึงขีดสุดว่าเทพแห่งการทำลายล้างกับดวงตาแห่งความเลวทรามจะมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง
…
กลางดึก
ร่างสีดำร่างหนึ่งทิ้งตัวลงเหนือกำแพงสูงบนกลุ่มสิ่งก่อสร้างใกล้ๆ ที่ตั้งค่ายอย่างแผ่วเบา
เงาคนเพิ่งกระโดดลงพื้นก็พุ่งลิ่วตามพื้นหิมะไปยังทางหนึ่งด้วยความเร็วสูงโดยไม่มีอาการลังเลใดๆ
ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวกลางพายุหิมะอย่างรวดเร็ว
ยอดเขามีภูมิประเทศซับซ้อนเป็นพิเศษ หลายส่วนมีเสาน้ำแข็งที่เหมือนกับเสาหินและที่ลุ่มต่ำซึ่งเหมือนกับเปลือกไข่ครึ่งซีก
ต่อให้ลู่เซิ่งจะมีแผนที่ แต่ก็อาศัยป้ายบอกทางที่ตั้งอยู่ริมทาง ถึงได้เจอทางเข้าโพรงหมื่นวิญญาณเร็วขนาดนี้
นั่นคือทางเข้าเหมืองร้าง
พูดให้ถูกต้องคือ คนงานเหมืองคนหนึ่งเป็นผู้พบโพรงหมื่นวิญญาณในตอนแรกสุด
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเหมืองหยุดพักสักครู่ ก่อนจะสาวเท้าเข้าไป
สองเท้าของเขาย่ำพื้นอย่างเงียบงัน ก้าวเท้าข้ามระยะทางสิบเมตรได้ในหนึ่งก้าว แสดงความคล่องแคล่วและว่องไวเหมือนกับภูตพราย
หลังจากกระโดดลงหลุมหลายแห่งขณะที่ลงลึกเข้าเหมืองไปเรื่อยๆ นั่นเอง
ในที่สุดลู่เซิ่งก็ได้ยินเสียงที่แว่วแผ่วเบามาจากความมืด
นั่นเป็นเสียงที่เหมือนคนจำนวนมากกำลังส่งเสียงอะไรกันสักอย่างอยู่
เหมือนเป็นเสียงครวญคราง แต่ก็เหมือนเสียงโหยหวน ทว่าส่วนใหญ่เป็นเสียงวิงวอน เสียงคำราม และเสียงตะโกน
กุญแจสำคัญที่ทำให้โพรงหมื่นวิญญาณโด่งดังไปทั่วโลกก็คือ ที่นี่เคยเกิดเรื่องใหญ่มาไม่น้อย ฝังสาวกลัทธิกางเขนผู้ศรัทธาไว้มากกว่าหมื่นคน
ในหมู่พวกเขามีสาวกงมงายที่ภักดีที่สุดเป็นจำนวนมาก ยังมีอัศวินผู้ปกป้องศาสนาอีกมากมาย วิญญาณที่แข็งแกร่งเพราะความคลั่งไคล้พวกนี้ไม่ได้สลายตัวไปหลังจากตาย กลับได้รับการหล่อเลี้ยงจากภูมิประเทศที่มีประโยชน์อย่างบังเอิญของที่นี่
ลู่เซิ่งเคลื่อนที่อยู่ในความมืดสักพัก ไม่นานก็เจอหลุมแห่งหนึ่งที่สุดเส้นทางเหมืองด้านหน้า
เสียงนั้นลอยมาจากอุโมงค์ที่มืดสนิทแห่งนั้น
ลู่เซิ่งเดินเข้าไป แต่ขณะกำลังจะกระโดดเข้าไปด้านใน เขาก็ชะงักฝีเท้าพลางยื่นมือไปลูบขอบหลุม
‘ตรงนี้ยังอุ่นๆ มีคนเคยนั่งมาก่อน แถมเพิ่งจะจากไปไม่นาน’ เขาลองลูบตำแหน่งอื่นดู สถานที่อื่นต่างก็เย็นเยียบ มีแต่ตรงนี้เท่านั้นที่อุ่นอยู่บ้าง
ความจริงลู่เซิ่งยังหาวิธีการกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างไม่เจอ การสนองเงื่อนไขเป็นเรื่องหนึ่ง แต่กุญแจสำคัญก็คือควรจะใช้ประโยชน์จากเงื่อนไขพวกนี้อย่างไร
ลู่เซิ่งลุกขึ้น ขณะกำลังจะกระโดดเข้าหลุม ร่างกายเขาก็ชะงักไปอีกครั้ง
‘ความเร็วในการฟื้นฟูของที่นี่สูงขนาดนี้เชียวหรือ’ เขานั่งขัดสมาธิอย่างประหลาดใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เพื่อยกระดับพลัง เขาได้เลื่อนระดับวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณถึงระดับที่เจ็ดในคราวเดียว
ตอนนี้พลังวิญญาณในตัวมีจำนวนถึงสี่ร้อยกว่าล้านดูราแล้ว พลังวิญญาณระดับนี้เทียบเท่ากับมารยักษามากกว่าร้อยตน
แม้ว่าจุดที่แข็งแกร่งของพวกมารยักษาจะไม่ใช่พลังวิญญาณหากเป็นความอมตะ แต่แบบนี้ลู่เซิ่งก็คู่ควรกลับฉายาแข็งแกร่งที่สุดในโลกแล้ว
ว่ากันว่ามีคนชื่อแมงมุมสวรรค์ที่ตอนนี้ผู้คนยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลก แต่ลู่เซิ่งไม่คิดว่าเธอจะมาถึงระดับตนได้
การที่พลังวิญญาณที่แข็งแกร่งแบบนี้บีบอัดอยู่ในกายเนื้อกายนี้ สุดท้ายจะทำให้ร่างกายร่างนี้ค่อยๆ อิ่มตัว
ก่อนหน้านี้ร่างกายอิ่มตัวแล้ว ตอนแรกลู่เซิ่งนึกว่าครั้งนี้ต้องรออีกนาน ร่างกายถึงจะปรับตัวเข้ากับพลังวิญญาณสายนี้แล้วค่อยยกระดับรอบใหม่ได้
นึกไม่ถึงเลยว่า…อากาศในโพรงหมื่นวิญญาณเหมือนจะมีกลิ่นอายบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่เป็นจำนวนมาก
และกลิ่นอายนี้ก็มีผลหล่อเลี้ยงที่ดีถึงขีดสุดต่อพลังวิญญาณกับกายเนื้อ
นี่ทำให้ระดับความแข็งแกร่งทางกายเนื้อที่ก่อนหน้านี้เขาต้องปรับตัว ยกระดับได้อีกครั้งโดยไม่มีลางบอกเหตุ
……………………………………….
Comments