ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 988 หลังฉาก (2)
‘ประหลาดใจจริงๆ รีบยกระดับก่อนดีกว่า’
ลู่เซิ่งรีบนั่งขัดสมาธิ
เขาเข้าใจคร่าวๆ แล้วว่าสิ่งมีชีวิตอย่างเทพแห่งการทำลายล้างและมารยักษากำเนิด ขึ้นมาได้อย่างไร บางทีอาจจะมีแต่สภาพแวดล้อมที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งถึงขั้นนี้ เท่านั้นถึงจะอาจให้กำเนิดตัวประหลาดอมตะอย่างมารยักษาออกมาได้
เมื่ออยู่ที่นี่ เขาสัมผัสได้ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย ยของตัวเองกำลังกระโดดโลดเต้น และดูดซับพลังงานลึกลับที่ไม่ทราบว่าอยู่ในสถานที แห่งนี้มากี่ปี
‘ดีปบลู’ ลู่เซิ่งเรียกเครื่องมือปรับเปลี่ยนออกมาโดยไม่รีรอ
เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาแห่งความเลวทรามที่ลี้ลับขึ้นเรื่อยๆ ลู่เซิ่งก็รู้สึกว่ ายิ่งพลังในมือตนแข็งแกร่งเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น
ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าจะยกระดับอยู่ตรงนี้ให้ถึงขีดสูงสุดก่อน ค่อยเข้าไปสืบต่ อ
ไม่นานนัก กรอบของวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณก็เด้งออกมา ลู่เซิ่งไม่อ่านข้อมูล ลคุณสมบัติพิเศษที่หนาแน่นบนนั้นด้วยซ้ำ
‘ยกระดับวิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณถึงระดับแปด จากนั้นให้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ! จนก กว่าฉันจะรองรับไม่ไหว’
ลู่เซิ่งออกคำสั่ง จากนั้นวิชาวิญญาณแสงสีชาดที่เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ร่างกาย ยก็เตรียมยกระดับ
คลื่นพลังบนตัวเขาทะลักและกระเพื่อมอย่างรวดเร็วในความมืดมิดเหมือนกับภูเขาไฟ
พลังอาวรณ์มากมายกลายเป็นพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง พลางพรั่งพรูเข้าไปในร่างอย่า างต่อเนื่องไม่ขาดสาย พลังวิญญาณสีเทาซึมออกมาจากร่างอย่างเลือนราง กลายเป็นงูตัว วเล็กๆ จำนวนมากที่เหมือนสายโซ่ไต่เลื้อยไปตามตัวเขา
ยิ่งมาถึงช่วงหลัง วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณก็ยิ่งยกระดับได้ยาก
และในทางเดียวกัน ยิ่งฐานพลังวิญญาณมีมากเท่าไร วิชาเคลื่อนภูผาแปลงวิญญาณก็ ยิ่งยกระดับได้ลำบากเท่านั้น
หากคิดจะยกระดับพลังวิญญาณจำนวนสี่ร้อยล้านกว่าดูราของลู่เซิ่งในปัจจุบัน แค่ พลังอาวรณ์ที่ต้องใช้ก็ปาไปมากกว่าล้านแล้ว
ขณะพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่สุดเปรียบปานกระเพื่อม พริบตาเดียวก็เลื่อนถึงขีดสูงสุ ด ก้าวสู่ระดับที่แปด
พลังวิญญาณผืนดินนับไม่ถ้วนทะลักสู่ร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง
พลังวิญญาณสี่ร้อยกว่าล้านดูรายกระดับขึ้นตามลำดับ พริบตาเดียวก็เพิ่มเป็นห้าร ร้อยล้าน หกร้อยล้าน เจ็ดร้อยล้าน แปดร้อยล้าน…
พลังงานลึกลับที่ใช้ฟื้นฟูร่างกายในอากาศเหมือนสัมผัสสถานการณ์ทางนี้ได้ จึงไหล ลบ่ามาหาร่างกายของลู่เซิ่ง เพื่อช่วยต้านทานร่องรอยการพังทลายของกายเนื้อให้แ แก่เขาเพราะพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งเกินไป
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นในความมืดมิด ดวงตาสาดแสงสีเทาแวบหนึ่ง
‘นี่คือระดับที่แปดแล้ว…’ ดีปบลูเริ่มเรียนรู้ พลังอาวรณ์หลายล้านหน่วยไหล ออกมาเป็นระยะ
แต่เขาไม่เสียดายแม้แต่น้อย
เป็นเพราะการยกระดับแหล่งกำเนิดแกนกลางอย่างพลังวิญญาณ มีส่วนช่วยต่อร่างหลักขอ องเขาไม่น้อยเช่นกัน การแปลงพลังไปให้ร่างหลักก่อนออกจากโลกใบนี้ไม่ได้สิ้นเป ปลืองเท่าตอนยกระดับกายเนื้อ
เขาลุกขึ้น พลังวิญญาณกระจายออกข้างใต้เท้า แล้วกลายเป็นจานวิชาวิญญาณ ผลักสอง งเท้าของเขาให้ลอยขึ้น
ลู่เซิ่งควบคุมทิศทาง ก่อนโดดเข้าไปในหลุม พุ่งดิ่งลงด้านล่างอย่างผ่อนคลาย
ในความมืดมิดเหมือนมีแต่แสงสีเทาหรือพลังวิญญาณที่กระจายออกจากร่างเขาเป็นแหล ล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียว
ไม่รู้ว่าร่วงลงไปนานเท่าไร ลู่เซิ่งก็รู้สึกว่าเท้าหยุดนิ่ง
ปุบ!
เขากระโดดถึงพื้นอย่างมั่นคง
เป๊าะ
จากนั้นก็ดีดนิ้ว
แสงไฟกลุ่มหนึ่งพลันสว่างขึ้นด้านหลังเขา ส่องสภาพแวดล้อมรอบข้าง
นี่เป็นถ้ำกว้างใหญ่สูงสิบกว่าเมตร เหนือศีรษะคือหลุมที่ใช้เข้ามา ส่วนด้านหน้า คือทางเข้าถ้ำ
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ในถ้ำไม่มีแหล่งกำเนิดแสงเช่นกัน แสงไฟที่ลู่เซิ่งใช้วิชาวิญญาณจุดขึ้นกลายเป็นแสง งสว่างเพียงหนึ่งเดียว
พอเข้าไปในถ้ำ สิ่งที่เขาเห็นในทันทีก็คือประตูโลหะสีดำขนาดยักษ์บานหนึ่ง
สัตว์ประหลาดสีดำดุร้ายที่คล้ายๆ มังกรสองตัวถูกฝังอยู่กลางร่องแยกประตูหนึ่ง ซ้ายหนึ่งขวา
ร่างกายของสัตว์ประหลาดเหมือนมีตัวหนังสือเล็กๆ
ลู่เซิ่งเดินเข้าไปใกล้อย่างช้าๆ
ก่อนจะพบว่าเขาไม่รู้จักตัวหนังสือชนิดนี้สักตัวเดียว กระนั้นสิ่งที่น่าประหลาด ดก็คือ แค่มองตัวหนังสือ เขาก็เข้าใจความหมายของตัวหนังสือโดยไม่รู้ตัว
‘ทำการทดสอบแห่งความมืดสามอย่างให้สำเร็จ ประตูจะเปิดออกในทันที’
‘การทดสอบแรก ณ ส่วนลึกของถ้ำทางขวามีสัตว์ประหลาดสีดำดุร้ายซึ่งมีสามหัวหกกร มั นมีปากใหญ่ที่กินไม่มีวันอิ่ม หากเอาชนะมันได้ จะได้รับตราประทับประตู’
‘การทดสอบที่สอง ในถ้ำอีกแห่งหนึ่งมีกระจกที่ไม่อาจทำลายทิ้งบานหนึ่ง ส่องกระจ จกแล้วตามหา…’
ตูม!
เสียงดังสนั่นสะท้อนในถ้ำอย่างบ้าคลั่งเหมือนเสียงระเบิด
ลู่เซิ่งเดินเข้าช่องบนประตู
ด้านในคือธารลาวาสีแดง กลางลาวามีแท่นสีดำตั้งอยู่แท่นหนึ่ง
มังกรสีดำตัวใหญ่ตัวหนึ่งหมอบอยู่บนแท่น
มังกรยักษ์สีดำที่มีปีกค้างคาว
มังกรดำพ่นเปลวไฟสีแดงก่ำหยาบใหญ่ออกจากจมูกเป็นระยะ มันเหมือนจะรู้สึกตัวเพราะ ะเสียงดังลั่นเมื่อครู่ จึงส่ายศีรษะและคืบคลานขึ้นจากแท่นอย่างหงุดหงิดงุ่นง่า าน
ดวงตามังกรที่มีสีเหลืองขนาดใหญ่คู่หนึ่งเต็มไปด้วยริ้วเลือดสีเหลืองสีแดง มองล ลู่เซิ่งที่เดินเข้ามา
“แมลงที่คิดจะแย่งชิงพลังของเทพแห่งการทำลายล้างอีกตัวหรือนี่” มันอ้าปากพูด ดภาษาภัยพิบัติที่ลู่เซิ่งรู้จัก
นอกจากนี้สำเนียงภาษาภัยพิบัติของมันยังทำให้เขาคุ้นหูอยู่บ้าง
“จงสั่นกลัวเถอะ! เจ้าแมลงต่ำต้อย มังกรมารผู้ยิ่งใหญ่คันทูราที่มาจากโลกมารน นิรันดร์ จะมอบการทำลายล้างอันเป็นนิรันดร์ให้แก่เจ้าเอง!”
ลู่เซิ่งชะงัก สีหน้างุนงงเล็กน้อย
“โลกมารนิรันดร์บ้าบออะไรกัน!? เจ้ามาจากเขตดาวเขตไหนของโลกมารสวรรค์ล่ะ ระบ บบดาวปรภพ หรือว่านครตราชั่งส่วนกลาง สำเนียงเจ้าเป็นสำเนียงของเขตระดับล่างขอ องนครตราชั่ง ผลเก็บเกี่ยวในปีนี้ของที่นั่นยังดีอยู่ใช่ไหม ข้าจำได้ว่าตอนข ข้าไป ได้ยินว่ามังกรดินดำของที่นั่นแอบหนีไปสิบกว่าตัวเพราะทนชีวิตเกษตรไม่ได ด้ หรือว่า…”
ลู่เซิ่งหวนนึกถึงเรื่องในนครตราชั่งเมื่อก่อนหน้านี้ สายตาที่มองไปยังมังกรดำ ำประหลาดขึ้นกว่าเดิม
“มังกรดินในชนบทอย่างเจ้าไม่ไปทำนา! แต่มาทำตัวเป็นมังกรมารแห่งโลกมารบ้าบออะ ะไรกันหา!?” ลู่เซิ่งปวดหัวจี๊ด
เขาจ้องมองมังกรดำที่ตกตะลึง ไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่าดี
“อีกอย่างนะ เจ้าไม่รู้จักหนังสือและเข้าไม่ถึงอารยธรรมใช่ไหม ชื่อคันทูราในภา าษาภัยพิบัติแปลว่าขี้หมานะ…” ลู่เซิ่งใช้สายตามองคนปัญญาอ่อนมองดูมังกรดำ
“มังกรดินที่ชื่อขี้หมาอย่างเจ้านอนอยู่นี่ บอกชื่อตัวเองกับทุกคนที่เจอ...กล ลัวคนอื่นไม่รู้เหรอไงว่าตัวเองชื่อขี้หมา…?”
เวลานี้มังกรดำตัวสั่น…
ไม่ใช่สั่นเพราะความโกรธ แต่เป็นเพราะความอับอายและหวาดกลัว!
“ช่างเถอะ เจ้าคงไม่รู้ ความจริงมังกรดำในโลกมารเป็นสวะยิ่งกว่าเสียอีก...” ล ลู่เซิ่งไม่อยากพูดอะไรต่อแล้ว
เขาไม่มองมันอีก หากแต่เหยียบลงไปบนลาวา เมินความร้อนของมัน แล้วลุยผ่านไปอ อย่างแผ่วเบาเหมือนลุยน้ำ
ส่วนมังกรดินดำตัวนั้นหดคอไม่กล้าโงหัวขึ้นมาอีกแล้ว
พอได้ยินลู่เซิ่งพูดเป็นชุด มันก็รู้ว่าตัวเองเตะใส่แผ่นเหล็กเข้าแล้ว อีกท ทั้งสิ่งที่บังเอิญก็คือ คนผู้นี้มาจากเขตดาวเขตเดียวกับมัน ทั้งยังมองสถาน นะของมันก่อนมาที่นี่ออกในทันทีอีก
คันทูราตกใจหวาดกลัวทันที
หากผู้ยิ่งใหญ่ระดับนี้คิดจะสู้กับมัน ย่อมง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก ดังน นั้นมันจึงหลีกทางให้ลู่เซิ่งผ่านไปอย่างรู้ความทันที
ก่อนจะหลีกทาง มันยังใช้หางปัดก้อนกรวดบนพื้นทิ้งให้อย่างใส่ใจอีกด้วย จากนั้น ก็มองลู่เซิ่งลุยลาวาจากไป ในขณะที่ส่ายหางไปมาเหมือนสุนัขสายพันธุ์ปั๊ก
ไม่นานเงาร่างของลู่เซิ่งก็หายไปจากส่วนลึกของถ้ำ
มังกรดินดำโล่งอกเล็กน้อย
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นด้านในก็เกิดเสียงดังสนั่น เสียงคำรามอันอึงอลลอยมาจากด้านใน แต่ร้อง ไม่ทันจบ ก็ถูกพลังบางอย่างสะกดไว้
ไม่นานก็เงียบลงโดยสมบูรณ์
มังกรดินดำรู้ทันทีว่า ผู้เฝ้าด่านที่สองจบสิ้นแล้ว
…
ลู่เซิ่งยืนอยู่บนงูยักษ์ที่มีหน้าเป็นมนุษย์ มองดูประตูแสงทรงรีที่บิดเบี้ยวแ และหมุนวนด้านหน้า
ในประตูแสงเหมือนสร้างจากการปรับสีฟ้านับไม่ถ้วนให้เข้ากัน เดี๋ยวก็หมุนตามเข็ม มนาฬิกา เดี๋ยวก็หมุนทวนเข็มนาฬิกา หมุนเปลี่ยนทิศทางไปเรื่อยๆ
“ตรงนั้นคือโลกของเทพแห่งการทำลายล้าง” งูหน้าคนจมูกเขียวหน้าบวม ตาปูดเหมือน นลูกท้อ หน้าซีกหนึ่งถูกต่อยจนกลายเป็นหัวหมู ไม่เหลือเค้ามนุษย์อีกต่อไป
เวลานี้มันกำลังแนะนำสถานการณ์ของที่นี่ให้ลู่เซิ่งฟังอย่างว่าง่าย
“มีแต่ชีวิตที่เคยตายไปแล้วครั้งหนึ่งเท่านั้นถึงจะเข้าออกโลกของเทพแห่งการทำลา ายล้างได้ ดังนั้น เกรงว่าท่านจะเข้าไปไม่ได้แล้ว…”
“งั้นเหรอ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างแปลกใจ “ต้องตายครั้งหนึ่งหรือ”
“ถูกต้อง แต่ท่านคือเจ้านาย ไม่แน่ว่าจะมีวิธีการอื่นๆ” งูหน้าคนรีบตอบ
มันมาจากโลกมารนิรันดร์หรือโลกมารสวรรค์เช่นกัน
แต่มันมีสถานะสูงส่งกว่าหน่อย เป็นบุตรของงูยักษ์ตัวหนึ่งซึ่งถูกเลี้ยงไว้ในร ร้านขายชาที่พวกองครักษ์เฝ้าประตูของนครตราชั่งชอบไป
หลังจากถูกลู่เซิ่งอัดไปยกหนึ่ง มันก็ยอมศิโรราบอย่างเจียมตน
ก่อนจะทำตัวเป็นมัคคุเทศก์แนะนำทุกอย่างให้แก่เขาเอง
“ต้องเข้าไปในโลกของเทพแห่งความเจ็บปวดเท่านั้น ถึงจะผ่านด่านที่สามแล้วกลายเป็ นเทพแห่งการทำลายล้างที่แท้จริงได้ นี่เป็นกฎที่ธรรมชาติสร้างขึ้น” งูหน้าคน อธิบายอย่างระมัดระวัง
‘จะต้องตายครั้งหนึ่ง…ถึงจะเข้าไปได้…’ ลู่เซิ่งครุ่นคิด ‘ไม่แน่ว่าเราเองก็ น่าจะได้เหมือนกัน ลองเข้าไปดูก่อน’
พอเขานึกถึงตรงนี้ ก็เหินร่างบินไปยังวังวนสีฟ้าโดยไม่รีรอทันที
ยิ่งเข้าใกล้ เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของพลังแห่งความลี้ลับอันเข้มข้นที กระจายออกมาจากในวังวนอย่างต่อเนื่อง
‘เป็นพลังแห่งความรกร้างจริงๆ…’ ลู่เซิ่งเข้าใจแล้ว เป็นไปได้ถึงขีดสุด ที่การ รที่ต้องตายก่อนสักครั้ง เป็นการปรับเปลี่ยนวิญญาณที่จักรวาลและโลกแห่งนี้ดำเน นินการ เพื่อต่อสู้กับพลังแห่งความรกร้าง
มีจักรวาลบางแห่งที่มีจิตของสิ่งมีชีวิต ซึ่งต้านทานพลังที่เป็นปัญหาอย่างพลังแห ห่งความรกร้างได้โดยสัญชาตญาณ
การสร้างเทพแห่งการทำลายล้างขึ้นมา เพื่อดูดซับพลังแห่งความรกร้างแล้วเปลี่ยนใ ให้กลายเป็นพลังงานอื่น เป็นวิธีการหนึ่งในนี้
และการที่เทพแห่งการทำลายล้างจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง นั่นก็เพ พราะเทพแห่งการทำลายล้างต้านทานไม่ไหวนั่นเอง
แม้วิญญาณของพวกเขาจะมีความพิเศษ เป็นวิญญาณที่ได้รับการคัดเลือก และจะมีคุณสมบัต ติต้านทานพลังแห่งความรกร้างที่สูงมากหลังถูกปรับเปลี่ยน
แต่ก็ทนได้ไม่นานนัก
“พลังแห่งความรกร้าง…” ลู่เซิ่งมองงูหน้าคนข้างใต้เท้าอีกรอบ
ในร่างกายของมันเองก็มีกลไกเปลี่ยนแปลงพลังแห่งความรกร้างที่คล้ายๆ กันอยู่ด ด้วย
น่าจะเป็นฝีมือของจักรวาลแห่งนี้
‘น่าสนใจ…’ ลู่เซิ่งรู้สึกเหมือนตนได้แตะต้องกับการต่อสู้ในระดับชั้นที่สูงกว่ าเดิมเข้าแล้ว
‘ถ้าบอกว่าเทพแห่งการทำลายล้างเป็นเพียงผลผลิตที่ใช้ต่อสู้กับพลังแห่งความรกร้ างโดยเฉพาะ อย่างนั้นจะกลายเป็นเทพแห่งการทำลายล้างได้หรือไม่ ก็ไม่สำคัญแล้ว’
เขาสัมผัสพลังอันยิ่งใหญ่ที่แผ่ตลบอบอวลอยู่ในถ้ำ พลังงานชนิดนี้น่าจะอยู่ใน ระดับเดียวกับพลังเทพนอกรีต
มันกำลังหักล้างพลังแห่งความรกร้างที่โลกของเทพแห่งการทำลายล้างปล่อยออกมา เพ พื่อไม่ให้อีกฝ่ายทำลายโลกใบนี้มากกว่าเดิม
‘แต่ในเมื่อมาแล้ว ก็ควรใช้จุดเด่นของที่นี่ฝึกสักหน่อย ลองดูว่าจะยกระดับได้ ถึงขั้นไหน’
ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง ครั้งนั้นลู่เซิ่งใช้ความพยายามและเวลาไปไม่น้อ อยเพื่อเอาพลังเทพนอกรีตมาครอง
ตอนนี้ที่นี่มีพลังลึกลับสำเร็จรูปมารวมตัวกันมากมาย ถ้าไม่กินเยอะๆ หน่อย ก็เสีย ยทีที่อีกฝ่ายให้การต้อนรับเขาแล้ว
พอเขามาถึงที่นี่ก็สัมผัสได้อย่างเลือนรางว่า การจุติมายังโลกใบนี้เหมือนจะม มีร่องรอยที่โลกใบนี้คอยจัดการอยู่เบื้องหลัง ตั้งแต่สถานะในตอนแรกมาถึงกระบวนกา ารในปัจจุบัน
เขาประหลาดใจมาก แม้โลกทั้งใบจะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่มันก็เป็นจักรวาลพลังงาน สูงอย่างโลกมารสวรรค์เช่นกัน
ส่วนจิตจักรวาลที่ว่าก็ไม่มีทางจับตาดูเขาคนเดียว แต่ควรจะจับตาดูองค์ประกอบรวม มอย่างพวกเขามากกว่า
จากการวิเคราะห์ของโลกมารสวรรค์ จิตจักรวาลน่าจะเป็นสิ่งที่พร่ามัวและเกี่ยวข้อ องกับผลกระทบในพื้นที่ใหญ่
เหมือนกับมนุษย์ที่ไม่อาจควบคุมเซลล์ทั้งหมดในร่างกายตัวเองได้อย่างเป็นอิสระ
พวกเขาทำได้แค่ออกกำลังกาย เพื่อทำให้ร่างกายของตัวเองแข็งแรงและพัฒนาขึ้นในทิ ศทางใหญ่ๆ เท่านั้น
ไม่ใช่ว่าพออวัยวะภายในสักส่วนหนึ่งเกิดโรคขึ้น เราจะหยุดส่วนนี้ไว้แล้วกระตุ้ นระบบภูมิคุ้มกันมาทำลายมันทิ้งได้
Comments