ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 990 วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (2)
แต่ไม่รอให้มันตอบสนอง ลู่เซิ่งก็ชักหนวดจำนวนมากกลับไปอย่างรวดเร็ว
หนานเก๋อที่ไม่มีหนวดเหลือแล้วนอนแผ่อยู่บนพื้น ความฮึกเหิมเมื่อครู่หายไป ท ทว่าสายตาที่เธอมองไปยังลู่เซิ่งกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เท่านั้น
ถ้าบอกว่าตอนแรกเธอมองลู่เซิ่งด้วยความโกรธ อย่างนั้นตอนนี้เธอก็มองลู่เซิ่งอย ย่างสิ้นหวัง โมโห และเคียดแค้น
“เอ๋?” ลู่เซิ่งค้นพบอย่างเหนือความคาดหมาย
ระดับความเข้มข้นของพลังแห่งความรกร้างในถ้ำแห่งนี้สูงมากเกินไปจริงๆ ทำให้การ รแพร่เชื้อของพลังเทพนอกรีตเหมือนจะล้มเหลว
‘ไม่…ไม่ใช่ ไม่ได้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง…’ ลู่เซิ่งสัมผัสสภาพในร่างกายของหนานเก ก๋ออย่างละเอียด
พลังเทพนอกรีตเหมือนจะกลายเป็นสมดุลที่เปราะบางกับพลังงงานบางอย่างในตัวเธอ
สมดุลนี้ยึดครองพลังร่างหลักแทบทั้งหมดของหนานเก๋อ ทำให้เธอในตอนนี้ใช้พลัง ของร่างหลักไม่ได้ ทำได้แค่ใช้พลังกายเท่านั้น
แม้จะเป็นกายเนื้อที่รองรับพลังวิญญาณได้มากกว่าร้อยล้าน ก็ถือเป็นความแข็งแกร่ งอันเด็ดขาดเหมือนกัน
แต่เธอที่ไม่มีพลังวิญญาณก็เป็นแค่มารยักษาที่อ่อนแอลงเท่านั้น รับมือผู้สื่ อวิญญาณทั่วไปได้ แต่ถ้าเจอยอดฝีมือจะเสียท่าทันที
ตามการแยกแยะของลู่เซิ่ง
ในหมู่ผู้สื่อวิญญาณของโลกใบนี้ พลังวิญญาณล้านดูราเป็นยอดภูเขาน้ำแข็ง สูงขึ นไปสามารถเรียกว่าเทพจุติได้แล้ว
ระดับนี้กับพวกระดับทองคำและระดับเงินที่อยู่ต่ำลงไปจะแตกต่างกันราวฟ้ากับเห หว
และความแตกต่างท่ามกลางเทพจิตุก็แตกต่างกันอย่างมหาศาลเช่นกัน
ระดับสูงของสมาคมหิมะน้ำแข็งกับรองหัวหน้ายักษ์น้ำแข็งอะไรนั่นที่เขาเอาชนะได้ ก่อนหน้านี้ มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับห้าหกล้าน แข็งแกร่งมาก แต่ก็ถือว่าธรรมด ดา ไม่ถือว่าพิเศษ
คนพวกนี้ถือว่ามีพลังต่อสู้ระดับมารยักษาได้แล้ว แต่พวกเขาไม่มีขีดความสามารถเ เป็นอมตะเหมือนมารยักษาเท่านั้น
เหนือขึ้นไปน่าจะเป็นระดับเทพแห่งการทำลายล้าง
ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าเทพแห่งการทายล้างมีพลังขนาดไหน แต่ในเมื่ออยู่เหนือกว่ามา ารยักษา อย่างน้อยก็ต้องมีแปดเก้าล้านหรือมากกว่าร้อยล้าน
เพียงแต่ลู่เซิ่งสัมผัสความแปรปรวนของพลังวิญญาณจากตัวหวังจิ้งไม่ได้เท่านั้น
พอได้สติกลับมาเขาก็มองหนานเก๋ออีกครั้ง
“เจ้าว่าเทพแห่งการทำลายล้างมีพลังขนาดไหน” เขาถามข้อสงสัยของตัวเอง
“เหอะ อย่างน้อยก็มากกว่าสามพันล้าน ข้าจะพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าไปทำไมเนี่ย อย่าคิดว่าควบคุมข้าได้แล้วข้าจะเชื่อฟังเจ้าทุกอย่างล่ะ! ฝันไปเถอะ” หนานเก๋ อหัวเราะเสียงเย็น
“สามพันล้านเหรอ...” ลู่เซิ่งพยักหน้า
โผละ
อยู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากในตัวเขาเบาๆ
‘เลื่อนระดับอีกแล้ว…’ ลู่เซิ่งมองข้อมูลที่แสดงบนอินเตอร์เฟซดีปบลู คำนวณเล็ กน้อย มีจำนวนสามพันห้าร้อยล้านดูราพอดี
‘พอดีเลย’ แม้จะเสียพลังอาวรณ์ไปอีกล้านหน่วย แต่ลู่เซิ่งใจเย็นอย่างมาก หากอย ยากได้อะไรก็ต้องเสียค่าตอบแทนอยู่แล้ว
เขาหันไปมองวังวนสีฟ้าอีกครั้ง
“หมายความว่าเจ้าหมายตาที่นี่ไว้นานแล้วสินะ”
“ถูกต้อง” หนานเก๋อแค่นเสียง “เจ้าแข็งแกร่งมากจริงๆ แข็งแกร่งเหนือปกติ แต่ว่า ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเทพแห่งการทำลายล้างเด็ดขาด”
“พวกเรามาทำการแลกเปลี่ยนกันเป็นอย่างไร” ลู่เซิ่งยิ้ม “เจ้าบอกวิธีการเป็นเทพแห ห่งการทำลายล้างมา แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไป ตกลงไหม”
“ก็ได้” หนานเก๋อเคี้ยวหมากฝรั่งอย่างไม่สนใจ “เจ้าฆ่าตัวตายครั้งหนึ่งก่อนค่อยว ว่ากัน”
“หมายความว่ายังไง” รอยยิ้มลู่เซิ่งค่อยๆ เลือนหายไป
“ก็ตรงตามตัวอักษร หากต้องการเป็นเทพแห่งการทำลายล้าง จะต้องดูดซับพลังลึกลับข ของที่นี่ในสภาพวิญญาณจนถึงจุดสำคัญ แล้วพุ่งเข้าไปในวังวนกลุ่มนั้น” หนานเก๋ อว่า
“ข้าบอกวิธีเจ้าแล้ว แต่ปัญหาคือเจ้ากล้าหรือเปล่า”
ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง
โผละ
เขาเลื่อนระดับอีกครั้ง…
ลู่เซิ่งฉวยโอกาสตรวจสอบ ครั้งนี้คือพลังวิญญาณสี่พันล้านดูรา
ร่างกายกับวิญญาณซึ่งอยู่ในถ้ำแห่งนี้กำลังไต่ระดับขึ้นอย่างบ้าคลั่งด้วยการส สนับสนุนจากพลังงานลึกลับนั้น
ก่อนที่พลังงานลี้ลับนี้จะหมดลง การยกระดับนี้เหมือนจะไม่มีขีดจำกัด
ลู่เซิ่งมองวังวนสีฟ้าที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
“พุ่งเข้าไปเหรอ...ลองดูก็ได้”
หนานเก๋อมองด้วยสายตาเย็นชาอยู่ด้านข้าง
ลู่เซิ่งไม่สนใจ ครั้งนี้ร่างกายของเขาเริ่มกระจายพลังวิญญาณสีเทากับหมอกสีม่วง งเข้มหลายสายออกมา จากนั้นพลังงานสองชนิดก็ผสมผสานกันกลายเป็นของเหลวที่เหนียว วข้นและมันวาวคล้ายกับปรอท
ของเหลวนั้นเป็นสีรุ้งอ่อน แต่ส่วนใหญ่เป็นสีม่วงเข้มล้ำลึก ห่อหุ้มร่างกายของ ลู่เซิ่งเอาไว้ทั้งหมด
เขาก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง
เกิดเสียงดังเปรี้ยง ถ้ำสั่นสะเทือน ลู่เซิ่งกระโจนขี้นจากพื้นก่อนจะหายไปในวัง งวน
หนานเก๋ออ้าปากกว้าง ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ก็เห็นตัวประหลาดนั่นพ พุ่งเข้าไปในวังวนแล้ว
“อยากตายจริงๆ หรือไงกัน?!” เธอเคยลองมาแล้วหลายครั้ง คนเป็นเข้าไปในวังวนนั่ นไม่ได้ ต่อให้เข้าไป ก็จะถูกสะกดและกัดกร่อนอย่างรุนแรงถึงขีดสุด เหมือนกับโลก กทั้งใบกำลังปฏิเสธตนเอง
ตอนนั้นเธอทนได้แค่ไม่กี่วินาทีก็ถูกบีบออกมา
ทว่าตอนนี้…
“ตายอยู่ในนั้นไปเลยนะ!” เธอเอ่ยอย่างดุดัน
มีชีวิตอยู่มาตั้งนาน เธอที่อยู่บนโลกใบนี้เพิ่งเคยรู้สึกอัปยศขนาดนี้เป็นคร รั้งแรก
…
ระหว่างฟ้าดินสีเทา พายุทรายพัดโหมครางฮือ
ระลอกน้ำที่เหมือนคลื่นพัดขึ้นจากพื้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
ระลอกน้ำพัดผ่านไปยังที่ไกล ข้ามพื้นที่ขรุขระและทุ่งราบกว้างขวาง ไม่นานก็มา าถึงด้านหน้าโรงละครสีดำอมเทาขนาดใหญ่ที่ทรุดโทรมแห่งหนึ่ง
ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าโรงละคร เงยหน้ามองโรงละครขนาดยักษ์ที่สูงสิบกว่าเมตรและก กว้างหลายร้อยเมตรอย่างค่อนข้างประหลาดใจ
เมื่อครู่เขายืนอยู่ในถ้ำ ตอนนี้กลับมาโผล่ที่นี่
‘ความสามารถข้ามมิติของโลกใบนี้ร้ายกาจขนาดนี้เชียวหรือ’
เขาสงสัย
‘เพียงแต่ ที่นี่มัน…’ ลู่เซิ่งแหงนหน้ามอง สิ่งก่อสร้างคล้ายๆ โรงละครมีอยู่หลา ายแห่ง แต่ว่าสถานที่ที่อยู่ตรงหน้าของเขาใหญ่ที่สุด
ลู่เซิ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ค่อยๆ ใช้พลังวิญญาณปกคลุม แขนขวาของตัวเองมากกว่าเดิม
ไม่นานนัก พลังเทพนอกรีตกับพลังงานที่เป็นมวลอากาศลึกลับเมื่อครู่ก็กลับมาใน ร่างของเขา เหลือแต่พลังวิญญาณสีม่วงล้ำลึกปกคลุมแขนไว้ชั้นหนึ่งเท่านั้น
ลู่เซิ่งควบคุมพลังวิญญาณสีเทามาห่อหุ้มตัวเองไว้ชั้นหนึ่งเพื่อป้องกัน
สิ่งที่จะรับประกันความปลอดภัยได้ดีที่สุดในสถานที่ลึกลับแบบนี้ คือการพยายามลด การเคลื่อนไหวและลดพื้นที่สัมผัสต่อโลกใบนี้ให้มากที่สุด
แอ๊ด
ลู่เซิ่งผลักประตูแล้วสาวเท้าเดินเข้าไป
ประตูทางเข้ามีกำแพงแนวหนึ่ง หน้าต่างแถวหนึ่งบนกำแพงเปิดอ้าอยู่ ทำให้เห็นทิ วทัศน์ของโถงที่ใหญ่ที่สุดในโรงละครได้
ภายใต้ท้องฟ้ามืดสลัว บนที่นั่งและเส้นทางรอบๆ ในโรงละครขนาดยักษ์มีคนดูนั่งอ อยู่แน่นขนัด
เพียงแต่คนดูพวกนี้ต่างมีสีหน้าเฉยชา ไม่ขยับเขยื้อน ถ้าเข้าไปดูใกล้ๆ จะให้ความ มรู้สึกน่ากลัวเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งขมวดคิ้ว ละสายตากลับมา ก่อนจะหักเลี้ยวรอบหนึ่ง เดินไปตามเส้นทางในโรง งละครที่ทรุดโทรมอย่างช้าๆ
สายตาไล่ไปตามผนังที่มีลวดลายเส้นขนของสัตว์ชนิดต่างๆ ตลอดเวลา
สถานที่เหล่านี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกหนาแน่นและว่างเปล่าที่บรรยายไม่ถูก ทั้งๆ ๆ ที่เป็นความรู้สึกที่ขัดแย้งกันเอง แต่เมื่อผสานกัน กลับทำให้เขารู้สึกเหมือน นจริงเป็นพิเศษ
ลู่เซิ่งเดินอยู่ในโรงละครพร้อมกับลูบท้องเป็นระยะ
ก่อนที่เขาจะพุ่งเข้ามา แค่พลังวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างกายก็มีจำนวนราวพันล้านแล ล้ว
เพราะเสียพลังวิญญาณไปมากมาย จึงทำให้เขาเหมือนจะหิวขึ้นมาแล้ว…
ลู่เซิ่งพ่นลมหายใจเบาๆ ตัดทะลุเส้นทางเข้าประตู แล้วหยุดยืนอยู่หน้าประตูชั้ นสอง
ในโถงใหญ่ที่เห็นผ่านหน้าต่างทรงกลมบานหนึ่งทางซ้ายมือของประตูใหญ่ มีคนดูนับ บไม่ถ้วนกำลังดูแสงเจิดจ้ากลุ่มหนึ่งตรงกลางอยู่อย่างเงียบๆ
ลู่เซิ่งพิจารณาดู แสงนั้นไม่มีอะไรเลย มีแต่ความพร่ามัว
ส่วนคนดูในแต่ละแถวของโรงละครก็มีสีหน้าเรียบเฉย สายตาทั้งหมดจับอยู่บนพื้น ประหลาดสีแดงเข้มด้านหน้าแสงที่อยู่ตรงกลาง
เอี๊ยด…
ลู่เซิ่งผลักประตูใหญ่
จากนั้นก็เดินชิดขอบซ้ายอย่างระมัดระวัง เพราะกลัวว่าจะเกิดการเคลื่อนไหวอะไรข ขึ้น
ณ ที่แห่งนี้ โดยเฉพาะในอากาศ เหมือนกับมีเสียงประหลาดเมื่อก่อนหน้าดังขึ้นอีกค ครั้ง ราวกับมีคนนับไม่ถ้วนกำลังท่องอะไรสักอย่างข้างหูเขา
ลู่เซิ่งเห็นพลังวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างลดลงด้วยความเร็วสูง ก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเดินเล่น
ลู่เซิ่งรีบเข้าไปในโถงใหญ่โดยไม่พยายามส่งเสียงใดๆ แล้วเดินตามเส้นทางขึ้นไปด้ านบน ไม่นานก็เจอตำแหน่งที่นั่งแถวท้ายสุดซึ่งอยู่สูงที่สุดในโรงละคร
สิ่งที่ประหลาดมากก็คือ
ทุกอย่างของที่นี่เหมือนถูกหยุดเวลาเอาไว้ หลายสิ่งหลายอย่าง ฝุ่นผง ของเหลว และ ะอากาศนับไม่ถ้วนต่างหยุดนิ่งลงในวินาทีนี้
สิ่งที่แปลกประหลาดกว่าก็คือ ก่อนหน้านี้ตอนมองดูด้านล่างไกลออกไป เขาเห็นหัวค คนเป็นทิวแถวอยู่บนที่นั่ง ล้วนเป็นมนุษย์ทั้งหมด
ทว่าหลังจากเขาขึ้นมา จึงพบว่าที่นั่งเหล่านั้นล้วนว่างเปล่า
‘ที่นี่มันยังไงกันแน่…’ ลู่เซิ่งดึงที่นั่งลงมา จากนั้นก็ปล่อยให้ที่นั่งขอ องโรงละครที่เพิ่งดึงลงมาดีดกลับไปที่เดิม
ที่นี่เป็นโรงละครจำลองที่เขาคุ้นเคยดีที่สุดจากในความทรงจำ
เขาไล่ค้นหาจากจุดสูงสุดของโถงใหญ่ลงไปด้านล่าง
หลังเตร็ดเตร่ในโรงละครสักครู่แต่ยังไม่เจอเบาะแสใดๆ ลู่เซิ่งก็ต้องกลับไปยัง ทางเดิมด้วยความจนปัญญา
แต่ยังคงไม่เจอเบาะแสอะไรเหมือนเดิม
เขาไม่เจอผลลัพธ์ใดๆ ทั้งสิ้น คนมากมายเมื่อก่อนหน้าเหมือนกับหายตัวไปเฉยๆ ลู่เ เซิ่งได้แต่ล่าถอยออกจากโถงอีกรอบ
ซ่า!
ในทันทีที่เขาออกจากโรงละคร โถงด้านหลังก็ส่งคลื่นเสียงดังสนั่นออกมาเหมือนมีชีวิ ต
เหมือนกับเวลาขยับอีกครั้ง
ลู่เซิ่งเพิ่งเดินไปด้านหน้าได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงปรบมือดังกึกก้องดังมา าจากโรงละครด้านหลัง
เขาหยีตาหันไปมอง ที่นั่นกลับเงียบลงอีกครั้ง
เขาแค่นหัวเราะ จากนั้นก็กลับเข้าไปในโถงใหญ่โดยไม่ลังเล
พรึ่บ!
ทุกสิ่งที่เมื่อครู่ยังคึกครื้นเป็นพิเศษหยุดนิ่งลงที่เดิมเหมือนกดปุ่มหยุด
ลู่เซิ่งถอนใจ แล้วชักขาข้างที่ก้าวออกไปกลับมา
ในพริบตาที่เขาชักเท้ากลับจากอาณาเขตของโถงใหญ่ในโรงละครนั่นเอง
ตูม!
โรงละครที่เมื่อครู่หยุดนิ่งพลันมีชีวิตขึ้นมา
บนเส้นทางและที่นั่งค่อยๆ ปรากฏเงาคนหนาแน่น ร่างมนุษย์จำนวนมากที่เหมือนเงาดำ ตัดกันไปมาบนโถงใหญ่ ดูครึกครื้นอย่างยิ่ง
พอเห็นเหตุการณ์นี้ ลู่เซิ่งก็เหมือนจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น…
‘เพราะเวลาเหรอ เวลาของเราเร็วไปใช่ไหม’
เขาพลันกระจ่างขึ้นเล็กน้อย บางทีอาจเพราะเขาเร็วเกินไป จึงทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ รอบๆ เหมือนโดนหยุดเวลา
ดังนั้นตอนเขาตั้งสมาธิ ทุกอย่างจึงหยุดลงทันที
‘อย่างนั้นตอนนี้ก็มาปรับอวัยวะสัมผัสกัน…’
เขาหลับตาลง
‘ทำให้โสตประสาทช้าลงพันเท่า’
พอลู่เซิ่งควบคุมพลังวิญญาณเล็กน้อย เสียงที่เมื่อครู่ยังวุ่นวายอยู่ ก็ค่อยๆ เริ่มปรากฏสัมผัสด้านระดับชั้นและสัมผัสด้านการแยกแยะได้
เสียงบางส่วนพอฟังเข้าใจได้คร่าวๆ เหมือนคนกำลังโห่ร้องและพูดคุยกัน
‘จากนั้น ทำให้จักษุประสาทช้าลงพันเท่า…’ ลู่เซิ่งควบคุมระบบการมองเห็นของตัว วเอง
สองสามนาทีต่อมา เขาก็ลืมตา
โรงละครตรงหน้าเปลี่ยนไปในสายตาของเขาโดยสิ้นเชิง
“จงสนองความปรารถนา จงสนองการฝากฝัง…จงสนองความต้องการร่วมกันของเหล่าวิญญาณศักด ดิ์สิทธิ์นับไม่ถ้วน…เพื่อรองรับผลกรรมสุดท้าย…จงทำความเข้าใจเสียงแห่งการดำรงอย ยู่ทั้งหมดเถอะ…”
ในโรงละครที่มีคนพลุ่งพล่าน ทุกสิ่งทุกอย่างในเวลานี้เริ่มเลือนหายไม่ก็พร่ามัวลง ง
กลางธารแสงสีเทามากมาย ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อตัวใหญ่สีเทาและถือตะเกียงเจ้าพ พายุในมือคนหนึ่ง ค่อยๆ ตัดผ่านเส้นทางกว้างขวาง และท่องคำอธิษฐานประหลาดอยู่ใน นทุกหนแห่งของโรงละคร เหมือนกับวิญญาณที่ไม่มีวันเหนื่อย
สายตาของลู่เซิ่งมองข้ามระเบียงไปเพ่งมองจับจ้องอยู่ที่อีกฝ่าย
ชายเสื้อเทาคนนั้นเหมือนจะสัมผัสได้ว่ามีคนกำลังมองตน จึงค่อยๆ เบือนหน้ามายิ มประหลาดให้กับลู่เซิ่ง
Comments