ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 991 จิตวิญญาณ (1)
“เจ้า…เห็นแล้ว…” ชายวัยกลางคนพูดเบาๆ อย่างเชื่องช้า เหมือนกับพูดกับเขาและเหมือนกับพูดกับตัวเอง
“เห็นอะไร” ลู่เซิ่งหรี่ตา ขณะกำลังจะไล่ตามไป ก็เห็นชายคนนั้นกลายเป็นหมอกเทานับไม่ถ้วนสลายหายไปแล้ว
เขาถึงกับสัมผัสหมอกเทาชนิดนี้ไม่ได้ เหมือนตอนเขาเห็นมารสวรรค์ประหลาดพวกนั้นในตอนแรกสุด
“ทูตแห่งอาดีแยคเอ๋ย…ในที่สุดเจ้าก็เลือกทางนี้…” เสียงของอีกฝ่ายค่อยๆ หายไป ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน
‘อะไรกัน’ ลู่เซิ่งมองชายผู้นั้นที่สลายหายไป สัมผัสได้ว่าเหมือนตนจะพลาดสิ่งที่น่าเสียดายถึงขีดสุดไปแล้ว
แต่เขาบอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร
เขาฉุกนึกถึงการดูแลของโลกเทพนอกรีต หรือหลักฐานแห่งราชันที่เขาได้มาจากการไปถึงโลกเทพนอกรีต แล้วเติบโตทีละขั้นๆ จนสำเร็จเป็นเทพนอกรีต
หลังจากได้หลักฐานแห่งราชันมา เขาก็มักจะมีความรู้สึกว่าโลกเทพนอกรีตแอบสนับสนุนเขาอย่างเงียบๆ อยู่ด้านหลัง
ตอนเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนที่ถือตะเกียงเมื่อครู่นี้ เขามีความรู้สึกคล้ายกับตอนได้รับหลักฐานแห่งราชัน
เวลานี้ชายคนนั้นหายตัวไปแล้ว
ธารแสงสีเทาหลายสายไหลเวียนอยู่อย่างต่อเนื่อง ลู่เซิ่งพิจารณาดูก็รู้ว่า พวกมันเป็นคนที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง
‘ดูเหมือนระดับเวลาที่เราอยู่จะไม่ถูกต้อง ต้องปรับช้าลงอีกครั้ง’
ลู่เซิ่งสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเริ่มควบคุมให้พลังวิญญาณส่งผลต่อประสาทสัมผัสของตน
อวัยวะสัมผัสตัดสินการสัมผัส ในมิติจักรวาลมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สัมผัสต้องไปถึงขอบเขตหนึ่งเท่านั้น ถึงจะรู้สึกเจอ
และต้องรู้สึกได้ก่อนเท่านั้น ถึงจะแลกเปลี่ยนข้อมูลและส่งผลกระทบต่อกันได้…
ลู่เซิ่งปรับความเร็วสัมผัสไปเรื่อยๆ
โรงละครตรงหนเริ่มเชื่องช้าลง ธารแสงพวกนั้นก็ช้าลงตามไปด้วยเช่นกัน
เวลาเคลื่อนคล้อยไป ธารแสงก็กลายเป็นเงาสีเทา
เงาสีเทาจับต้องได้ กลายเป็นคนแต่งตัวอย่างเป็นทางการมากมาย
ลู่เซิ่งยืนอยู่ท่ามกลางคนเหล่านี้
เขาเหมือนกับไร้ตัวตน ไม่มีใครเจอและไม่มีใครสัมผัสได้
ทุกคนเดินผ่านตัวเขาไป พร้อมกับหลบเขาโดยไม่รู้ตัว
ลู่เซิ่งทราบว่า นี่เป็นเพราะสัมผัสของพวกเขาไม่ได้อยู่ในขั้นที่สัมผัสตัวเองได้
เป็นเพราะตอนนี้เขาลดสัมผัสของตัวเองถึงระดับนี้ จึงเห็นทุกอย่างตรงหน้า
‘แล้วตกลงที่นี่…มันคือที่ไหนกันแน่’
เขาพินิจพิจารณาคนที่ผ่านไปผ่านมา
สามีภรรยาคู่หนึ่งเดินผ่านเขาไปจากด้านขวา ฝ่ายภรรยามีรอยตีนกา แต่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม สีหน้ามีความสุข ส่วนตัวสามีเองก็สุภาพมีมารยาท สวมเสื้อคลุมสั้นสีขาวที่เหมือนกับชนชั้นสูง ถือไม้เท้าสั้นสีเงินไว้ในมือ
บนไม้เท้าสั้นสลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้ว่า ราชวงศ์ยาร์ดี เดอเบียส
พอเห็นตรงนี้ ลู่เซิ่งก็รู้ทันทีว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน
ตระกูลเดอเบียสแห่งราชวงศ์ยาร์ดี ตระกูลที่ก่อบาปยิ่งใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อนจนโดนทำลาย
ตอนนี้กลับมาโผล่ที่นี่อย่างสง่าผ่าเผย
ถ้าไม่ใช่เพราะที่นี่เป็นโลกของผู้วายชนม์ ซึ่งลู่เซิ่งไม่รู้สึกถึงไอความตายหรือพลังวิญญาณใดๆ
ก็ต้องเป็นเพราะเวลา เขาสัมผัสได้ว่าตนเองย้อนเวลากลับมามากกว่าพันปี
เขามองสองสามีภรรยาเดินผ่านร่างตัวเองไปยังทิศทางตรงกันข้าม
พอมองตามจนทั้งสองหายไปตรงสุดปลายระเบียงเสร็จ ลู่เซิ่งก็เริ่มเดินเล่นในโรงละครแห่งใหม่
แขกที่มาดูละคร กลุ่มนักแสดงที่กำลังเตรียมการแสดง พนักงานทำความสะอาดกับคนรับใช้หญิงชายที่เห็นได้ทุกที่
ยังเป็นโรงละครใหญ่ซึ่งมีเสียงโห่ร้องกับเสียงปรบมือดังขึ้นตลอดเวลา
ลู่เซิ่งเดินอยู่บนพื้นที่แห่งนี้เหมือนกับเป็นวิญญาณ
ไม่มีใครเห็นเขา และไม่มีใครสัมผัสเขาได้
ในโรงละครคึกคักเป็นพิเศษ ผู้คนที่สวมชุดประหลาดเมื่อกว่าพันปีก่อนสนทนากันอย่างสบายอารมณ์
ลู่เซิ่งเดินไปยังโถงใหญ่ของโรงละคร
แล้วก้าวเข้าไปในโถงโรงละครอีกครั้ง
ครั้งนี้โถงเงียบสงัด เหล่าคนที่เดินไปเดินมายังไม่ได้เริ่มแสดงอย่างเป็นทางการ
ด้านหลังเวทีมีแสงสีเหลืองอ่อนเล็กๆ ส่องมา
ลู่เซิ่งมองไปยังทางนั้น
‘แสงนี้มัน…’ เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับเคยเห็นแสงนี้มาจากที่ไหนสักที่
เขาอ้อมเวทีเดินเข้าไปด้านหลังเวทีในจังหวะที่ไม่มีใคร
ผู้ชายที่สวมชุดตัวตลกกลุ่มหนึ่งหลังเวทีกำลังรีบแต่งหน้า
ลู่เซิ่งอ้อมผ่านห้องพวกเขาไปยังส่วนลึกของหลังเวที
ในที่สุดลู่เซิ่งก็เจอต้นกำเนิดของแสงสีเหลืองที่กระจายออกมาจากห้องเก็บข้าวของจิปาถะห้องหนึ่งหลังเวที
ประตูสำริดที่สูงถึงสี่เมตรกว่าๆ บานหนึ่งกำลังเรืองแสงที่สว่างไสวและอ่อนโยน ปกคลุมอาณาเขตในห้องรอบๆ เอาไว้
สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งแปลกใจไม่ใช่ประตูบานนี้ หากเป็นวิธีการที่มันคงอยู่
ประตูใหญ่ให้ความรู้สึกลวงตาและไม่เป็นจริง มองดูเหมือนกับโปร่งแสง
เขาเดินถึงหน้าประตูใหญ่ แสงอาทิตย์อัสดงอันอ่อนโยน ส่องลอดเข้ามาจากด้านนอกหน้าต่างทางขวามือของห้องเก็บของ ทั้งยังแว่วเสียงหยอกล้อของพวกคนไว้หนวดจากบนพื้นหญ้าด้านนอกได้อย่างรำไร
ไม่ใช่เด็กทารก
เป็นชายไว้หนวดตัวเล็กๆ
ลู่เซิ่งมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นชายกลุ่มหนึ่งที่ไว้หนวดกำลังตะโกนโหวกเหวกขอฟังเรื่องราวอยู่ที่ปลายเท้าของหญิงอ้วนที่ร่างกายใหญ่โตคนหนึ่ง
เขามุมปากกระตุก ก่อนจะมองหญิงอ้วนที่สูงสามเมตรกว่าๆ คนนั้น เธอสวมกระโปรงสีชมพูตัวโคร่ง ติดเครื่องประดับสีทองอร่ามไว้บนหัว ท่าทางเมตตา อ่อนโยน
จากนั้นลู่เซิ่งก็ละสายตากลับมาแล้วมองไปยังประตูใหญ่ด้านหน้า
แกร๊ก
ทันใดนั้นประตูเปิดออกเป็นโดยอัตโนมัติ
ประตูอ้าเปิดกว้าง เผยให้เห็นความมืดมิดด้านใน
ในความมืดมิด มีเงือกชราที่หลังงอและผิวสีเทาสะบัดหางสีดำที่เต็มไปด้วยรอยย่น พร้อมกับเงยหน้าขึ้นในความมืดและรอยยิ้มน่าขนลุกให้ลู่เซิ่ง
“ยินดีต้อนรับ เจ้าหนุ่ม”
ภาษานับไม่ถ้วนกับเสียงนับไม่ถ้วนดังขึ้นพร้อมกัน
ลู่เซิ่งได้ยินภาษาภัยพิบัติกับภาษาหลักบนดาวปรภพในโลกมารสวรรค์ของตัวเองจากในเสียงนั้น
เขาตกตะลึงก่อนจะเพ่งสายตามองเงือกชราที่อยู่ด้านหน้า
เธอสวมชุดคลุมสีเทาที่เก่าคร่ำคร่า ปกเสื้อมีคราบสกปรกจับหนาเหมือนไม่ได้ซักมานาน
สองมือที่ซูบผอมประคองขวดน้ำสีดำไว้ขวดหนึ่ง บนขวดน้ำมีลวดลายตราชั่งประหลาดที่เหมือนกับแมลง
“ท่านเป็นใคร” ลู่เซิ่งถามเสียงทุ้ม
ผิวที่เหมือนเปลือกไม้บนใบหน้าเงือกชราย่นเล็กน้อย คล้ายกำลังยิ้ม
“มีคนมากมายเหลือเกินที่เคยถามข้าแบบนี้ แต่ข้าเองก็ลืมไปแล้วว่าเดิมทีตัวเองชื่ออะไร เจ้าเรียกข้าว่าเงือกก็แล้วกัน”
“อย่างนั้นที่ท่านมาปรากฏตัวด้านหน้าข้าในตอนนี้มีเป้าหมายอะไร” ลู่เซิ่งถามอยางระวังตัว
ที่นี่คือโลกของเทพแห่งการทำลายล้าง พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของเขากำลังถูกผลาญด้วยความเร็วสูงอยู่ทุกวินาที และสิ่งมีชีวิตที่อยู่ที่นี่ได้เป็นเวลานานแค่ใช้หัวแม่เท้าคิดดูก็รู้ว่าหาเรื่องไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจหยั่งเชิง
“ไม่ใช่ข้ามาปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าหรอกเจ้าหนุ่ม” เงือกชราหัวเราะ “หลักฐานแห่งราชันที่เจ้าครอบครอง…เป็นหนึ่งในวัตถุที่ล้ำค่าที่สุดโลก...เจ้าใช้มันแลกของที่เจ้าต้องการจากข้าได้ ขอแค่เจ้าต้องการ อยากขอสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น…”
“หลักฐานแห่งราชันหรือ” ลู่เซิ่งงุนงงก่อนจะส่ายหน้าทันที “อย่างนั้นข้าอยากแข็งแกร่งที่สุดในจักรวาลได้ไหม”
“แน่นอน...เพียงแต่ หากจะไปถึงขั้นนั้น แค่หลักฐานแห่งราชันอันเดียวยังไม่พอ” เงือกชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ลู่เซิ่งพิจารณาอีกฝ่าย ต้องการดูว่าเธอกำลังโกหกหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะใช้วิชาจิตโน้มนำหรือกลิ่นอายเทพนอกรีตของร่างมารสวรรค์หยั่งเชิง เงือกชราตรงหน้าก็เหมือนไม่ดำรงอยู่
เหมือนกับผู้ที่อยู่ด้านหน้าเขาเป็นเพียงเงาลวงตา
“อย่างนั้น…ถ้ารวมกับความอุตสาหะของข้าเล่า”
ลู่เซิ่งเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เขาเคยได้ยินมาว่าผู้ยิ่งใหญ่บางส่วนสามารถใช้ของที่เลือนรางล่องลอยแบบนี้แลกเปลี่ยนได้ ถ้าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับนั้นจริงๆ อาจจะหยั่งเชิงได้พอดี
นางเงือกชราหน้ากระตุกเล็กน้อย
“ขออภัย รวมความอุตสาหะของเจ้าก็ไม่พอเหมือนกัน…”
“แล้วความกล้าของข้าเล่า” ลู่เซิ่งกล่าวอย่างจริงจัง
“ขออภัย ยังคงไม่พอ” รอยยิ้มบนใบหน้าเงือกชราหายไปอย่างช้าๆ
“แต่ข้ารู้สึกว่าพอนี่” ลู่เซิ่งมองเธออย่างจริงจัง “ชีวิตของคนตั้งแต่ต้นจนจบต้องใช้ความกล้าและความอุตสาหะ การที่ข้าเดินมาถึงขอบเขตในวันนี้ได้ก็เพราะสองอย่างนี่เอง”
“งั้นเหรอ...แต่ยังคงน่าเสียดาย…พวกมันไม่ได้มีค่ามากมายนัก…” เงือกชราส่ายหน้าน้อยๆ
“นอกจากนี้ ขอบอกข้อมูลให้เจ้าฟังก่อนสักอย่าง…” เงือกชรายิ้มอย่างประหลาด “ผู้พิทักษ์ความว่างเปล่าของที่นี่สัมผัสตัวตนของเจ้าได้แล้ว อีกไม่นานเขาจะมากำจัดปัจจัยที่ไม่เสถียรอย่างเจ้าทิ้ง”
“จากนั้นเล่า”
“พูดอีกอย่างก็คือเจ้ามีเวลาสั้นมาก ถ้าไม่อาจแลกพลังที่แข็งแกร่งมากพอจากข้าได้ อย่างนั้น เจ้าจะถูกผู้พิทักษ์ความว่างเปล่าฆ่าทิ้ง วิญญาณโดนกลืนกินแล้วกลายเป็นผู้พิทักษ์ความว่างเปล่าโดยสมบูรณ์”
เงือกชราหัวเราะ
“ผู้พิทักษ์ความว่างเปล่า…” ลู่เซิ่งเพิ่งได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก
“ใช่…พวกเขาคือผู้พิทักษ์ชายขอบแห่งความว่างเปล่า เป็นร่างแปลงแห่งการทำลายล้างที่จะฆ่าการดำรงอยู่ทั้งหมด พวกเขาไม่มีวันตาย วิธีการเพียงหนึ่งเดียวที่ใช้กำจัดพวกเขาได้ไม่ใช่การฆ่า แต่เป็นการเติมเต็ม…” เงือกชราถอยหายเข้าไปในความมืด
“ถึงจะซาบซึ้งที่ท่านบอกข่าวนี้กับข้า แต่ข้าอยากถามคำถามเป็นครั้งสุดท้าย ว่าที่นี่คือที่ไหนกันแน่” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างรวดเร็ว
“ที่นี่หรือ ที่นี่คือดินแดนแห่งความรกร้าง…เป็นรอยแยกมายาระหว่างความว่างเปล่าและการดำรงอยู่…” เงือกชราหัวเราะพิกล
“ณ ที่แห่งนี้ การดำรงอยู่และการไม่ดำรงอยู่เป็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงแห่งพลวัต”
เงือกชรายกนิ้วขึ้น
“เหมือนกับข้า ความจริงข้าเพียงคงอยู่ในสายตาเจ้าเท่านั้น แต่การดำรงอยู่อื่นๆ ไม่อาจมองเห็นข้าได้…แต่เจ้าบอกได้หรือว่าข้าไม่คงอยู่”
ร่างของเธอค่อยๆ หายเข้าไปในความมืด ประตูสำริดปิดลง ก่อนจะหายไปต่อหน้าต่อตาลู่เซิ่ง
ลู่เซิ่งยืนนิ่งอยู่กลางกองข้าวของ มองดูสถานที่ที่ประตูใหญ่หายไป
บนพื้นตรงนั้นเหลือเทียนหยาบใหญ่แท่งหนึ่งที่ลุกไหม้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ไฟของเทียนเหมือนเพิ่งจะดับ จึงมีควันจางๆ ลอยออกมา
เขาเดินเข้าไปเก็บเทียนไว้ในอกเสื้อ
เปรี้ยง!
จู่ๆ ก็มีเสียงย่ำเท้าหนักอึ้งดังจากพื้นโรงละคร
ลู่เซิ่งพลันเงยหน้าขึ้นมองด้านบน
เห็นเพดานของโรงละครถูกมือใหญ่สีทองข้างหนึ่งดึงขึ้นด้านบนเหมือนกับเปิดฝาครอบ
มีพายุพัดเข้ามาจากท้องฟ้าสีเทาด้านนอก
คนในโรงละครหายวับไป เหลือแค่ลู่เซิ่งคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางข้าวของหลังเวที
ลู่เซิ่งเงยหน้ามองด้านบน เห็นมังกรขนาดยักษ์ที่มีลวดลายเหมือนเสืออยู่ทั่วทั้งตัวบิดศีรษะใหญ่โตหนึ่งดำหนึ่งขาวมองมาทางเขา
ลู่เซิ่งสังเกตเห็นว่า ด้านหลังมังกรตัวนี้ยังมีดวงตาสีดำขนาดใหญ่อยู่หลายดวง ดวงตาพวกนี้กลืนกินดูดซับสสารทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ตลอดเวลา
อากาศ ฝุ่นละออง ก้อนหินที่ปลิวเวียนว่อน หรือแม้แต่แสง ล้วนหนีไม่พ้นโชคชะตาที่ต้องถูกกลืนกิน
มองไปไกลๆ เหมือนกับบนหลังมังกรมีวังวนสีดำอมเทาอยู่หลายกลุ่มซึ่งกำลังดูดซับทุกอย่างรอบมัน
ลู่เซิ่งเงยหน้าสบตากับดวงตาสี่ข้างของมังกร
มังกรตกตะลึง การเคลื่อนไหวหยุดชะงักลงอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นมันก็คำรามเสียงต่ำ
ฮึ่ม!
ท่ามกลางการสั่นสะเทือนอันรุนแรงและการกระเพื่อมของคลื่นเสียง ลู่เซิ่งเพิ่งจะตั้งท่า ก็เห็นมังกรสองหัวหมุนตัวเผ่นหนีไปแล้ว
ร่องรอยของมังกรประหลาดหายไปในไม่กี่อึดใจ
……………………………………….
Comments