ยอดวิถีแห่งปีศาจบทที่ 994 นอกสายธาร (2)
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว…” ลู่เซิ่งมองหลักฐานแห่งราชันที่ลอยมาถึงด้านหน้าตน
เขาแสยะยิ้ม
“ตอนแรกฉันไม่คิดจะยุ่งกับเรื่องนี้…น่าเสียดายที่…ตอนนี้…แกยั่วโมโหฉันเข้าแล้ว!”
เขายื่นแขนที่เต็มไปด้วยเลือดออกมา
“ต่อให้เจ้าจะรับหลักฐานแห่งราชันไว้ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อยู่ดี” ชายชุดขาวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สิ่งมีชีวิตอ่อนแอที่ยังกระโดดไม่พ้นธารมารดาของตัวเองอย่างแก ไม่รู้ถึงรูปแบบการดำรงอยู่ของพวกเราด้วยซ้ำ”
“แล้วมัน…ยังไงเล่า!”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งคว้าหลักฐานแห่งราชันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
“อีกไม่ช้าก็เร็วฉันจะทำให้แกเข้าใจความโหดร้ายของโลกเอง!” เขากดหลักฐานแห่งราชันเข้ากับทรวงอกของตัวเอง
ชายชุดขาวมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“สำหรับพวกเรา โลก เป็นเพียงอาหาร...”
เปรี้ยง!
ร่างเขาแตกสลายเหมือนกับกระจก หายไปในทันที
“ข้าชื่อซีหนิง ราชาโลกวิญญาณอุดร สิ่งมีชีวิตที่พึ่งพิงธารมารดาเอ๋ย…วันใดที่เจ้าหลุดจากการคุ้มครองของธารมารดา กระโดดออกจากสายธาร ก็จะรู้ว่าพวกเรา…”
เสียงด้านหลังค่อยๆ จางหายไป
ลู่เซิ่งกึ่งคุกเข่ากับพื้น หลักฐานแห่งราชันหลอมรวมเข้าไปในทรวงอก กลายเป็นส่วนหนึ่งของเขาแล้ว
โครม
เขาพลิกตัวล้มลงพื้น เงยหน้ามองเพดานถ้ำ
เขารู้สึกว่ารอบนี้เหมือนจะหาเรื่องตัวตนระดับสุดยอดอะไรสักอย่างเข้าแล้ว
แต่…นั่นแล้วจะอย่างไร
ลู่เซิ่งกางแขนออก ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงด้วยความเร็วสูง
ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะ
เสียงดังขึ้นและคลุ้มคลั่งขึ้นเรื่อยๆ
หนันเก๋อยืนมองเขาอยู่นอกถ้ำอย่างระวังตัว ตั้งท่าถ้ามีอะไรผิดปกติก็พร้อมเผ่นทันที
ถ้ำสั่นไหวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ลู่เซิ่งค่อยๆ ลุกขึ้น พลังวิญญาณรอบๆ ไหลบ่าเข้ามาในตัวเขาอย่างบ้าคลั่ง
“ชีวิตก็เป็นอย่างนี้…ถ้าราบรื่นไปเสียทุกก้าว ชีวิตมันจะไปมีความหมายอะไร”
ลู่เซิ่งกางแขนซ้ายออก เช็ดคราบเลือดบนหน้าเบาๆ
“ทุกๆ ก้าวต้องสะท้านสะเทือน ถึงจะเป็นเส้นทางที่ชีวิตข้าคิดจะมุ่งไป!”
คนเมื่อครู่ใช้ขอบเขตพลังจิตควบคุมพลังต่างๆ ในตัวเขาให้ขัดแย้งกันเอง ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บหนัก
นี่เป็นการใช้ขอบเขตพลังฝึกปรือที่เหนือกว่าบดขยี้เขา
แต่ลู่เซิ่งไม่ได้ท้อใจแต่อย่างใด กลับรู้สึกฮึดสู้ขึ้น
พลังของคนผู้นั้นเป็นเหมือนศัตรูธรรมชาติของทุกสิ่งที่มีรูปร่างและทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นพลังเทพนอกรีตหรือพลังลึกลับของโลกใบนี้ ต่างถูกทำลายได้อย่างง่ายดายเพียงยกมือ เมื่ออยู่ต่อหน้าอีกฝ่าย
นี่เป็นสาเหตุที่ตอนนั้นเขาควบคุมตัวเองไม่ได้
‘ถ้าบอกว่าพลังเทพนอกรีตสู้กับพลังแห่งความรกร้างได้ อย่างนั้นพลังของคนเมื่อกี้…บนตัวเรากลับไม่มีพลังชนิดไหนที่สู้ได้เลย…’
ร่างหลักของลู่เซิ่งที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณกำลังต้องการต่อสู้ เดิมทีมารสวรรค์เป็นผู้บำเพ็ญที่เหนือธรรมดาในด้านการฝึกจิตอยู่แล้ว
ตอนนี้กลับถูกตัวตนที่ไม่รู้จักชิงพลังในตัวไปในด้านขอบเขตพลังจิต
จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาเหลือเกิน
ยังมีการกระโดดออกจากธารมารดาที่คนคนนั้นพูดถึงอีก
ลู่เซิ่งได้สติ รีบจับหนันเก๋อพุ่งออกจากถ้ำ โถมตัวไปยังบนพื้นด้านนอกทันที
เกิดเสียงตูมดังสนั่น
ถ้ำสีรุ้งที่เมื่อครู่ต้านรับอย่างลำบากถล่มลงอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ถ้ำที่อยู่บนเส้นทางถล่มไล่หลังพวกลู่เซิ่งลงมาติดๆ
ไม่นานนักเขาก็กระโดดออกจากหลุม ก่อนพุ่งออกจากปากถ้ำ
ยอดเขาหิมะกำลังสั่นสะเทือน
ลู่เซิ่งเร่งรุดไปยังทางที่ผู้สื่อวิญญาณตั้งค่ายอยู่
ด้านนอกกลุ่มสิ่งก่อสร้างเกิดเสียงดังเอะอะ ผู้สื่อวิญญาณที่ถูกจัดให้อยู่ในกระโจมหลายหลังบนที่ราบวิ่งออกจากกลุ่มสิ่งก่อสร้างเกือบทั้งหมด
แสดงให้เห็นว่า พวกเขามองการสั่นสะเทือนเมื่อก่อนหน้าเป็นภัยพิบัติเหมือนแผ่นดินไหวไปแล้ว
ลู่เซิ่งลดความเร็วลง เห็นผู้สื่อวิญญาณไม่น้อยนอนบนเปลระหว่างทาง บนร่างพันผ้าพันแผลเอาไว้
ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บ
“เมื่อกี้นี้มันอะไรกัน!? ทำไมข้าไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย” หนันเก๋อถูกลู่เซิ่งหิ้วตัวไว้ ข่มกลั้นถึงตอนนี้ในที่สุดก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ไหว
“ยิ่งรู้น้อยยิ่งดี รู้มากเท่าไหร่ก็สิ้นหวังเท่านั้น” ลู่เซิ่งตอบ “บางทีวันหน้าเจ้าอาจเกิดความสงสัยต่อความหมายในการดำรงอยู่ของตัวเองก็ได้”
“เชอะ” หนันเก๋อแค่นเสียง “ถึงยังไงตอนนี้ข้าก็เป็นคนของเจ้าแล้ว เจ้าไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ”
ลู่เซิ่งพลันชะงัก สองตาจ้องมองเธอ “ร่างหลักของเจ้าอยู่ในขอบเขตไหน”
“ทำไมต้องบอกเจ้าด้วยล่ะ” หนันเก๋อหัวเราะอย่างเย็นชา
“งั้นเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าพิการแล้วส่งตัวให้สหพันธ์กระดิ่งดำก็แล้วกัน อยากเห็นนักว่าพวกเขาจะจัดการเจ้ายังไง” ลู่เซิ่งกล่าวพลางเลิกคิ้ว
“…โหดจริง” หนันเก๋อยอมแพ้ทันที “มายาพิศวง”
ผลงานของลู่เซิ่งเมื่อครู่ทำให้เธอมองออกว่า คนตรงหน้าคิดจะทำแบบนี้จริงๆ ไม่เหมือนคนอื่นที่อาจจะใช้เรื่องนี้ข่มขู่เธอเท่านั้น
ลู่เซิ่งคนนี้เหมือนไม่ใส่ใจอะไรเลย
“ยอมทำตามดีๆ เถอะ วันหน้าติดตามข้าแล้วจะมีอนาคตเอง” ลู่เซิ่งอุตส่าห์ได้เจอคนบ้านเดียวกันจากโลกหลักทั้งที ท่าทีย่อมเป็นมิตรขึ้นเล็กน้อย
เขาถูกใจเธอหรือ จะเป็นไปได้อย่างไร เขายังไม่กระหายถึงขั้นเกิดความสนใจต่อหญิงสาวรูปร่างแบบนี้ มีหวังจิ้งอยู่ทั้งคน ใครยังจะเลือกสวะแบบนี้โดยไม่เลือกอีก
ลู่เซิ่งหิ้วตัวหนันเก๋อเคลื่อนที่ในค่าย ไม่นานก็ไปถึงค่ายที่ปักป้ายสำนักเคลื่อนภูผา
สำนักเคลื่อนภูผาตั้งกระโจมสีเหลือง โหยวเหลียนกับชายผมเกรียนคนนั้นกำลังคุยกันอยู่ในกระโจมหลังหนึ่ง
พอเห็นลู่เซิ่งเข้ามา ทั้งสองก็มารวมตัวทันที
“เจ้านาย มาพอดีเลย” ชายผมเกรียนรีบเอ่ย “โพรงหมื่นวิญญาณเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงกะทันหัน คุณว่าพวกเราควรไปดูหน่อยไหม ที่นั่นมีแต่ยอดฝีมือ สำนักเคลื่อนภูผาของเราไม่มีคุณอยู่ ไม่กล้าเข้าไปจริงๆ”
“สำนักเคลื่อนภูผายังมีคนอีกเท่าไหร่ที่ขยับตัวได้” ลู่เซิ่งกวาดตามอง เห็นคนที่ได้รับบาดเจ็บจาก ‘แผ่นดินไหว’ อย่างน้อยเจ็ดแปดคน
ชายผมเกรียนหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน
“คนงานทั่วไปทำงานอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ฉันเองต้องรับผิดชอบประสานงานกับหน่วยหลัก จัดการเส้นทางการช่วยเหลือ ส่วนทางโหยวเหลียน ดูว่าเธอจะยอมรึเปล่า ความจริงเธอยังมีธุระ…”
เปรี้ยง!
ลู่เซิ่งประทับฝ่ามือใส่ทรวงอกชายผมเกรียนดุจสายฟ้าฟาด
อั่ก!
เขาเงยหน้ากระอักเลือด ร่างปลิวออกไป ก่อนจะชนพื้นหิมะเป็นหลุมสีแดงหลุมหนึ่ง
“หัวหน้า!?”
“ศิษย์พี่หวัง!”
“ศิษย์พี่หวัง คุณบ้าไปแล้วหรือ!?”
คนของสำนักเคลื่อนภูผาหลายคนที่อยู่รอบๆ รวมถึงโหยวเหลียนตกใจ รีบแบ่งคนสองสามคนไปตรวจสอบอาการบาดเจ็บของชายผมเกรียน โหยวเหลียนเข้ามาขวางทางลู่เซิ่งไว้ กลัวว่าเขาจะเกิดคลั่งเข้าไปฆ่าคนทิ้ง
ลู่เซิ่งยืนนิ่งกับที่
“ให้มันรู้สถานะตัวเองค่อยมาคุยกับฉัน”
ชายผมเกรียนทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่ขอของรางวัลเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว
ตอนนี้ยังกล้าทำเหมือนกับเขาเป็นทัพหน้า ส่งเขาไปสำรวจโพรงหมื่นวิญญาณอีกหรือ
คนสิบคนมีเก้าคนที่เดาออกว่า โพรงหมื่นวิญญาณในตอนนี้จะต้องเกิดสถานการณ์ที่อันตรายร้ายแรงแน่นอน
ชายผมเกรียนคนนี้กลับถือดีว่าเขาไม่รู้เรื่อง สั่งให้เขาไปตรวจสอบสถานการณ์เอง
พอได้ยินคำพูดของลู่เซิ่ง โหยวหลิงก็รู้สึกว่าคำพูดของชายผมเกรียนผิดปกติอยู่บ้าง เมื่อใคร่ครวญดู ก็เห็นว่ามีความจงใจอยู่ส่วนหนึ่งจริงๆ
เธอจึงไม่ทราบจะพูดอะไรอยู่ชั่วขณะ อีกอย่างก่อนหน้านี้ลู่เซิ่งยังช่วยเธอไว้ด้วย
แม้เธอจะมีความสัมพันธ์กับชายผมเกรียนไม่เลว แต่เวลานี้ก็ได้แต่หลีกทางให้
“เตรียมถอนกำลังทั้งหมด” ลู่เซิ่งไม่คิดจะเสียเวลาอยู่ที่นี่ต่อไป เขาเก็บของดีของโพรงหมื่นวิญญาณมาหมดแล้ว
“…รับทราบ”
ตอนนี้เขาครอบครองหลักฐานแห่งราชันสองชิ้น เท่ากับเป็นการสนับสนุนที่ได้จากโลกสองใบ
โลกเทพนอกรีตเป็นโลกระดับสูงที่ระดับพลังงานเทียบเท่ากับโลกมารสวรรค์ ส่วนโลกใบนี้แม้จะสู้โลกมารสวรรค์ไม่ได้ แต่อย่างไรก็เป็นการสนับสนุนส่วนหนึ่ง
มาถึงขั้นนี้ ลู่เซิ่งมองสถานการณ์ออกคร่าวๆ แล้ว
พลังความว่างเปล่ากับพลังอื่นๆ เหมือนจะมีความสัมพันธ์แบบกดข่มกัน
ไม่ว่าจะเป็นโลกใบใด พลังความว่างเปล่าล้วนเป็นพลังงานน่ากลัวที่เล่นงานพลังอันมีตัวตนทั้งหมด
พลังเทพนอกรีตก็ดี พลังหงส์ชาดก็ดี หมาป่าน้ำแข็ง อัคคีอนธการ หรือพลังอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายดีหรือฝ่ายชั่ว มีชีวิตชีวาหรือล้ำลึก ต่างก็ถือเป็นชนิดหนึ่ง นั่นก็คือพลังแห่งการดำรงอยู่
พลังความว่างเปล่าและพลังแห่งการดำรงอยู่เป็นพลังสองชนิดที่อยู่ในขั้วตรงข้าม
สิ่งมีชีวิตที่บอกว่าตัวเองอยู่นอกธารมารดาหรือคนที่มีชื่อว่าราชาโลกวิญญาณเมื่อครู่ น่าจะเป็นตัวแทนพลังความว่างเปล่า
ลู่เซิ่งพลันนึกเชื่อมโยงถึงรากแห่งความว่างเปล่า ลัทธิชั่วร้ายที่ลึกลับยากหยั่งคาดและกระจายไปทั่วโลกมารสวรรค์ทั้งใบลัทธินั้น มีชื่อใกล้เคียงกับพลังความว่างเปล่าขนาดนี้ หรือสองฝ่ายจะมีส่วนเกี่ยวพันกันในระดับหนึ่ง
เขาตัดสินใจกลับไปหาหวังจิ้ง จากนั้นเอาชนะแดนรกร้างในโลกใบนี้ พาคนกลับโลกบรรพกาลและโลกมารสวรรค์ แล้วค่อยวางแผนอีกที
ส่วนจะจัดการแดนรกร้างอย่างไร…
เขามีแผนการแล้ว
…
ลู่เซิ่งที่ออกมาจากภูเขาหิมะอันเป็นที่ตั้งโพรงหมื่นวิญญาณ ไม่เจอหวังจิ้ง
ภายหลังเขากลับไปใกล้ๆ สำนักเคลื่อนภูผา แต่ก็ยังคงไม่เจอหวังจิ้ง
ในคฤหาสน์ยังคงมีมนุษย์หมอกดำบางส่วนอารักขา แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าหวังจิ้งไปอยู่ไหน
ลู่เซิ่งไม่ยินยอม จึงกลับมาค้นหาที่โพรงหมื่นวิญญาณอีกรอบ ทว่าก็ไร้เบาะแสใดๆ
ตรงนั้นไม่หลงเหลือความพิเศษอะไรอีกแล้ว ไม่แตกต่างกับภูเขาหิมะทั่วไป
ด้วยความจนปัญญา ลู่เซิ่งได้แต่เริ่มพัฒนาตามแผนการเดิมของตัวเอง
พลังเทพนอกรีตเริ่มกระจายหนวดไปทั่วโลก
ภายใต้การช่วยเหลือขององค์กรทับทิม ใช้เวลาแค่สิบกว่าวันสั้นๆ ก็แพร่เชื้อใส่ตัวตนซึ่งอยู่เหนือกว่าระดับทองคำขึ้นไปในโลกสื่อวิญญาณได้หมด
จากนั้นลู่เซิ่งก็เริ่มระดมพล ก่อนจะเลียนแบบและศึกษาระบบอักขระพลังงานในโลกใบนี้บนเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแห่งหนึ่ง
ในเมื่อมีผู้สื่อวิญญาณอยู่ และระบบเหนือธรรมชาติก็ดำรงอยู่ อย่างนั้นการศึกษาระบบอักขระที่ใช้ควบคุมมิติเวลาจึงเป็นปัญหาด้านเวลาเท่านั้น
เพียงแต่ที่นี่แตกต่างจากโลกใบอื่นตรงที่ ทำให้เป้าหมายกลายเป็นจริงอ้อมผ่านพลังวิญญาณ
ขอแค่ศึกษาสำเร็จเมื่อไหร่ ก็จะเรียกทัพใหญ่จากโลกเทพเจ้าที่หยุดนิ่งในโลกความมืดผ่านเรือรบส่วนตัวซึ่งเชื่อมต่อกับเขาได้
นี่จะทำให้บรรลุจุดประสงค์เติมเต็มแดนรกร้าง
ตอนเขาออกจากโลกเทพเจ้า ได้พาทุกคนที่พามาได้มาด้วยทั้งหมด ไม่เพียงแต่เทพเจ้าที่ติดตามเขาเท่านั้น ยังมีเผ่ามังกรกับเผ่าพันธุ์อื่นที่อยู่ใต้อาณัติเขาด้วย
ตอนนี้สามารถใช้ประโยชน์ได้พอดี
อย่างไรคนชุดขาวนั่นก็มอบของขวัญล้ำค่าแก่เขา เล่นงานเขาจนสะบักสะบอมเกือบตาย
ถ้าก่อนไปไม่ตอบแทนอีกฝ่ายเสียหน่อย ก็เท่ากับเขาผู้แซ่ลู่ไม่รู้จักมารยาทไม่ใช่หรือ
และในตอนนี้เอง เทพแห่งการทำลายล้างสการ์เลตมาหาเขาด้วยตัวเอง และบอกว่ามีข่าวเกี่ยวกับหวังจิ้ง
……………………………………….
Comments