ยอดวิถีแห่งปีศาจ 229 งานชุมนุม (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 229 งานชุมนุม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 229 งานชุมนุม (1)

ผู้อาวุโสใหญ่ยืนเงียบๆ อยู่บนชั้นสองของหอเก็บหนังสือ พร้อมกับอ่านหนังสือหนาหนักเล่มหนึ่งซึ่งเปิดอยู่ด้านหน้า

ด้านในบันทึกค่าตอบแทนอันเจ็บปวด ที่ต้องจ่ายไปเพื่อหยั่งเชิงพลังของอาวุธเทพศัสตรามารของสำนักมารกำเนิดในอดีตไว้อย่างละเอียด

ไม่เพียงแต่สำนักมารกำเนิดเท่านั้น ความจริงแล้วในสำนักหลายสำนักก็มีหนังสือเล่มนี้ ขอแค่เป็นสำนักเก่าแก่ ล้วนเหมือนกัน

สายตาของเขาอยู่ที่ตัวหนังสือหลายแถวบนหน้าสุดท้าย

‘ว่านกุ่ยสายสดับสงัดข้ามขุนเขา ต่อสู้ตัดสินกับตระกูลขุนนาง ชนะสามครั้ง อีกฝ่ายอับอายกลายเป็นโทสะ ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ลอบจู่โจม’

‘จิ่วฟางจื่อสายผนึกวิญญาณตอนต่อสู้กับคนที่ชายฝั่งแม่น้ำ โดนลูกหลงในตอนที่พู่กันบรรพตสู้กับศัสตรามารชิ้นอื่น แปดคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ประสบภัยทั้งหมด’

‘อวี่ซงจื่อสายสดับสงัด หลังจากล้มเหลวในการช่วยเหลือสหายสนิทเจรจาสงบศึกในป่าเขตเทือกเขาทางเหนือ ทำให้อีกฝ่ายเกิดโทสะ คนหนึ่งในนี้ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่า ทุกคนพลัดหลงระหว่างหลบหนี ยอดฝีมือทั้งหมดยี่สิบกว่าคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าครึ่ง ที่เหลือข่าวสารสูญหาย สงสัยว่าตายแล้ว’

ยอดฝีมือระดับสุดยอดที่เคยสำเร็จวิชาลับในประวัติศาสตร์ของสำนักมารกำเนิดจำนวนมาก ส่วนใหญ่ตายเพราะอานุภาพของอาวุธเทพศัสตรามารหรือไม่ก็อาวุธศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นตอนที่ลู่เซิ่งถามเขาว่า เมื่อผู้สำเร็จวิชาลับเผชิญกับพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์จะเกิดอะไรขึ้น ผู้อาวุโสก็จนใจ ไม่ต้องพูดก็ถือว่าแสดงออกแล้ว

‘พลังระดับปฐมไม่ใช่อาณาเขตที่มนุษย์จะไปถึงได้ อาวุธเทพศัสตรามารทำไมถึงมีชื่อเทพและมาร เป็นเพราะพลังแบบนี้สุดที่มนุษย์จะแตะต้องได้’ ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจยาว

ครั้งกระโน้นร้อยเส้นสายรวบรวมชิ้นส่วนอาวุธเทพจำนวนมาก มารวมกันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายจ่ายค่าตอบแทนมากมายปานนี้ สิ่งที่ได้กลับมาคือสำนักในปัจจุบันพากันทรุดโทรม

ความแตกต่างระหว่างระดับพลังกำเนิดกับระดับปฐม จนถึงตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ยังมองไม่ออก

‘ผ่านงานชุมนุมไปแล้ว ค่อยสร้างสำนักใหม่ หวังว่าจะทำให้สำนักรุ่งเรืองได้ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่’ ความจริงผู้อาวุโสใหญ่ได้ยึดถือลู่เซิ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของสำนักในอนาคตแล้ว

วิชาเชื่อมอนธการ

ว่ากันว่าสามารถเปิดสายเลือดของตัวเอง ปลดปล่อยพลังของสายเลือดและแสดงพลังที่ซ่อนอยู่ได้

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของลู่เซิ่งก็คือ ตอนที่เขาเปิดสายเลือดของตัวเอง ก็สัมผัสได้ว่าในสายเลือดอันเป็นแก่นสารของตนในฐานะคนธรรมดาไม่มีพลังเท่าไหร่นัก

ไม่ใช่ ‘ไม่มีพลังเท่าไหร่’ แต่เป็น ‘ไม่มีเลย’!

ในความมืดมิด ตะไคร่น้ำสีเขียวอ่อนกลุ่มใหญ่ถูกน้ำในลำธารสีดำกระเซ็นใส่ เดี๋ยวโผล่มาเดี่ยวหายไป ขับโพรงถ้ำรอบๆ จนประเดี๋ยวสว่างประเดี่ยวมืดมิด

น้ำในธารหมอกพิษทะลักเข้าร่างลู่เซิ่งพร้อมกับเสียงน้ำไหลดังซู่ซ่า

ร่างกายของเขามีลวดลายสีม่วงอมดำที่เหมือนหนอนนับไม่ถ้วนไต่จากสองขาขึ้นไปด้านบน

ลวดลายมากมายนี้แผ่ขยายไปไม่หยุด ปกคลุมทั่วร่างลู่เซิ่ง

น้ำในธารหมอกพิษอันมากมายถูกเขาดึงพิษบริสุทธิ์จากด้านในออกมาสกัดเป็นปราณมารนับไม่ถ้วน จากนั้นก็กรองผ่านเปลือกหอยซึ่งเป็นเนื้อสีดำตรงทรวงอก เปลี่ยนพวกมันเป็นสิ่งที่เหมือนวุ้นสีดำซึ่งเข้มข้นบริสุทธิ์

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าสภาพของตนในตอนนี้ถือว่าปกติหรือไม่ แต่ว่าตามบันทึกบนคัมภีร์ วิชาเชื่อมอนธการไม่น่ารุนแรงขนาดนี้ถึงจะถูก ปกติแล้วศิษย์สามารถชักนำปราณมารในรัศมีหลายหมี่รอบๆ ได้

แต่การชักนำน้ำในธารหมอกพิษรัศมีหลายสิบหมี่มาในครั้งเดียวเหมือนกับเขา ก่อนหน้านี้คงไม่เคยมีใครทำมาก่อน

พอพิจารณาว่ากายเนื้อของเขาเหนือกว่าศิษย์ทั่วไปในสำนักมากเกินไป ลู่เซิ่งก็เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดความรุนแรงแบบนี้

การเชื่อมอนธการของวิชาเชื่อมอนธการ ครั้งแรกจะดำเนินอยู่หลายชั่วยาม นี่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทว่าการเชื่อมอนธการของลู่เซิ่งเพียงใช้เวลาสามสิบอึดใจก็ใกล้จบแล้ว

ต่อจากนั้น ปราณมารปริมาณมากที่กักเก็บในร่างของเขาก็กลายเป็นปราณมารกำเนิดในสภาพของเหลวเหนียวหนืดอย่างรวดเร็ว

‘อาจเป็นเพราะกายเนื้อแข็งแกร่งเกินไป การเปลี่ยนแปลงเลยราบรื่นและเร็วกว่าเดิม ไม่ต้องห่วงว่าร่างกายจะรับแรงกดดันไม่ไหว’

ลู่เซิ่งมองกระแสน้ำที่ค่อยๆ สงบลงรอบๆ พลางคาดเดาในใจ

เขาสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลเวียนต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิงในเส้นเลือดของตัวเอง นั่นเป็นเลือดที่หลอมกับปราณมารกำเนิดแล้ว

แน่นอนว่าเลือดใหม่หลังหลอมกับปราณมารกำเนิดสามารถยกระดับพลังฟื้นฟูร่างกายของเขาได้อย่างทรงประสิทธิภาพเช่นกัน สำหรับศิษย์ทั่วไป ประสิทธิผลนี้ไม่เลว แต่สำหรับลู่เซิ่ง มีหรือไม่มีก็ไม่แตกต่าง

‘ต่อจากนี้เป็นวิถีหทัยมาร เป็นฐานสุดท้าย’ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สั่งความคิด จิตมารขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันโผล่ขึ้นมาต่อหน้าเขา

จิตมารในตอนนี้เปลี่ยนไปอีกรอบ หลังจากการเปลี่ยนแปลงของปราณมารกำเนิดจบลง

จากสภาพเหมือนปลาแหวกว่ายก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป็นสภาพที่เรียวยาวเหมือนงู

เป็นงูโปร่งแสงที่มีใบหน้าของตนเองตัวหนึ่ง ความรู้สึกนี้ชวนให้ลู่เซิ่งรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

‘หลังจากเชื่อมอนธการ…’ เขายื่นมือออกมา วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานโคจรโดยฉับพลัน

ฟุ่บ!

เปลวไฟไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ในมือเขา เพียงแต่รอบๆ เปลวเพลิงในครั้งนี้มีริ้วดำอ่อนๆ เกิดขึ้นด้วย

‘มีผลกระทบน้อยมากต่อวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน’ เขามองเปลวเพลิง แล้วชักมือกลับมาอย่างเนิบนาบ

ต่อจากนั้นก็โคจรปราณมารกำเนิดเพียงอย่างเดียว เขาเพิ่งจะใช้พลังงานหลักของสำนักมารกำเนิดชนิดนี้เป็นครั้งแรก

พลังของวิชาลับไหลซัดเหมือนกระแสน้ำในร่างกาย จากนั้นมือขวาของลู่เซิ่งที่โคจรวิชาก็ถูกย้อมเป็นสีม่วงแกมดำ รอบๆ เหมือนกับมีแสงสีดำวนเวียนอยู่

‘มาถึงขั้นนี้แล้ว มีพลังมารกำเนิด จิตมาร กายเนื้อ เป็นความสามารถโจมตีสามอย่าง กำลังภายในของสำนักอย่างพลังมารกำเนิดมีอานุภาพไม่เลว ด้วยความแข็งแกร่งของเราในวันนี้ ใช้แค่พลังมารกำเนิดรับมือระดับจตุลักษณ์ เบญจลักษณ์ของตระกูลขุนนาง อาจจะสู้ได้สูสี’

ลู่เซิ่งเอาคู่ต่อสู้คนก่อนๆ มาเปรียบเทียบ ระดับจตุลักษณ์ เบญจลักษณ์ของตระกูลขุนนางเทียบเท่ากับระดับเบญจลักษณ์ ฉลักษณ์ของสำนัก เปลี่ยนเป็นสำนักมารกำเนิด ระดับก็สูงกว่าเดิม เทียบได้กับระดับสัตตะลักษณ์ของสำนักมารกำเนิด

‘แต่นี่เป็นขีดจำกัดแล้ว ที่เกิดอานุภาพแข็งแกร่งแบบนี้ได้ เป็นเพราะกายเนื้อเราดีกว่าศิษย์ทั่วไปในสำนัก’ เขาใคร่ครวญ ‘เอาล่ะ มาเริ่มวิถีหทัยมารที่เป็นลำดับสุดท้ายกันเลย’

วิธีการฝึกวิถีหทัยมารคือการวมจิตมาร ควบคุมความนึกคิดในใจ

วิถีหทัยมารคิดว่าความคิดและความปรารถนาของคนมีเก้าอย่าง ดังนั้นการฝึกฝนจิตมารจึงมีทั้งหมดเก้าระดับ แต่ละระดับบ่งบอกว่าจำเป็นต้องกำจัดความคิดและความปรารถนาระดับหนึ่งออกไปจากในใจ แล้วผนึกรวมเป็นจิตมาร

เมื่อจิตมารเก้าชนิดรวมตัวกันครบ จะผนึกตัวเป็นจิตมารสุดท้าย

‘วันนี้จิตมารแรกของเราเกิดขึ้นแล้ว หรือก็คือหลังสำเร็จการเชื่อมอนธการ ก็อยู่ในสภาพระดับแรกของวิถีหทัยมารพอดี’

ลู่เซิ่งสะกิดเท้าอย่างแผ่วเบา พลันกระโดดขึ้น ลอยตัวไปถึงด้านในถ้ำเล็กๆ ที่ตนใช้ฝึกฝนก่อนหน้า

‘ต่อจากนี้ เราจะใช้ปราณหยินได้โดยตรงแล้ว อ้อ ไม่สิ ใช้พลังอาวรณ์เลื่อนระดับต่างหาก’ เขาไม่รีรอ เปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยนทันที

ทันใดนั้นเขาชะงักการเคลื่อนไหว ก้มหน้ามองบนพื้นใต้เท้า สับสนเล็กน้อย

วิชาลับเป็นวิชาขั้นสูงสุดที่เอาไว้ขุดค้นสายเลือด ย่อมเป็นสิ่งที่คุ้นเคยต่อการควบคุมและโคจรปราณมารกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเขาใช้พลังกระตุ้นสายเลือดอย่างปราณมารกำเนิดปรับเปลี่ยนเติมเต็มสายเลือด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายไม่ปล่อยสายเลือดที่ซ่อนแฝงอยู่

ลู่เซิ่งก็เป็นเช่นนี้

หลังปราณมารกำเนิดเปลี่ยนแปลง ก็หลอมรวมเข้ากับเส้นเลือด แล้วปรับเปลี่ยนร่างกาย ทำให้สายเลือดอันน้อยนิดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของร่างกายถูกขุดออกมา

สายเลือดที่ถูกขุดออกมาต่อให้เบาบางถึงขีดสุด แต่สุดท้ายก็เป็นสายเลือดอยู่ดี

ลู่เซิ่งมองข้างใต้เท้าอย่างสงบ ในรอยเท้าตรงนั้นมีแสงที่อ่อนจางยิ่ง

แสงนี้เป็นสีเหลืองทอง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กำลังริบหรี่ลงด้วยความเร็วสูง อีกไม่กี่อึดใจคงดับไปเอง

ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า แสงอันเล็กน้อยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังใดๆ ที่มีอยู่บนร่างตน

ไม่ใช่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ไม่ใช่ปราณขวดสมบัติ ยิ่งไม่ใช่ปราณมารกำเนิดที่เพิ่งฝึกได้

แต่เป็นสิ่งที่ประหลาดและบริสุทธิ์อีกอย่าง เป็นพลังชนิดหนึ่งของตัวเอง

‘เป็นพลังงานที่อ่อนแอมาก เรารู้สึกได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ปราณมารกำเนิดกระตุ้นได้จากในสายเลือด อ่อนแอมาก หมายความว่าสายเลือดของเราเบาบางมากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะปราณมารกำเนิดเติมเต็มทั่วร่าง ชั่วชีวิตนี้คงไม่พบ’ เขายืนอยู่ที่เดิม ความคิดล่องลอย

ในสายเลือดของเขามีพลังของอาวุธเทพศัสตรามาร นี่หมายความว่าอะไร ไม่ต้องพูดก็เป็นอันเข้าใจ

บางทีที่พลังนี้อ่อนแอสุดขีด เพราะส่งต่อมาหลายรุ่น จึงไม่ต่างจากมนุษย์

‘แต่ปรากฏการณ์แบบนี้แสดงให้เห็นรึเปล่าว่าบรรพบุรุษของเราเคยแต่งงานกับคนของตระกูลขุนนางที่ใช้อาวุธเทพศัสตรามาร หรือว่าโลกทั้งใบ มนุษย์ทุกคน มีสายเลือดคล้ายๆ กันนี้ทั้งหมด’

ทันใดนั้นเขาคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง

‘เป็นไปได้ไหมว่าการขุดค้นสายเลือดเล็กๆ นี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ซ่อนไว้ในส่วนลึกสุดของสายเลือดอยู่แล้ว’

ลู่เซิ่งยืนครุ่นคิดอยู่กับที่สักครู่ ในที่สุดก็หยุดสันนิษฐาน สิ่งที่สำคัญที่สุดตรงหน้ายังเป็นการยกระดับพลัง

จงหยวนมียอดฝีมือมากเกินไป ผู้ถืออาวุธสะกดทุกสิ่ง ถ้าหากไม่เจอพลังที่สู้กับผู้ถืออาวุธได้ เกิดเขาความแตก อันตรายที่เจอจะเป็นระดับภัยพิบัติ

ไม่เพียงเขาจะตาย คนทั่วทั้งตระกูลลู่จะตายเช่นกัน

‘เริ่มกันเลย…วิถีหทัยมาร…”

ลู่เซิ่งมองเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่ลอยอยู่ด้านหน้า เจอกรอบที่วิชาเชื่อมอนธการอยู่อย่างรวดเร็ว

กรอบวิชาเชื่อมอนธการคือกรอบของเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุเมื่อก่อนหน้า ทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน ก็แค่เปลี่ยนชื่อเป็นวิชาเชื่อมอนธการเท่านั้น

ลู่เซิ่งหาปุ่มปรับเปลี่ยนบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย แล้วกดโดยแรง

ซู่…

เครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นไหวน้อยๆ กลายเป็นสภาพปรับเปลี่ยนได้

‘เลื่อนระดับวิชาเชื่อมอนธการเป็นระดับต่อไป’ ลู่เซิ่งกดความคิดลงบนปุ่มด้านหลังกรอบวิชาเชื่อมอนธการ

กรอบพร่ามัวทันที

ฟู่ว…

ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีลมปราณเย็นฉ่ำหลายสายไหลออกมาจากตา หู จมูกและปากอย่างต่อเนื่อง

ไม่นานเขาก็ค้นพบว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นของจริง

ปราณสีดำจำนวนมากไหลออกมาจากตา หู จมูก และปากของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นรวมตัวกันกลางอากาศด้านหน้า

กลายเป็นหัวใจสีดำขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง

หัวใจนั้นกลืนกินปราณสีดำจำนวนมาก และค่อยๆ เริ่มเต้น

หัวใจมีขนาดใหญ่เท่าหัวคน เป็นสีดำทั้งดวง พื้นผิวปรากฏอักขระสีม่วงตัวหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับก่อนที่จิตมารในบันทึกของวิถีหทัยมารจะเป็นรูปเป็นร่าง

‘นี่คือจิตมารที่สองหรือ’ ลู่เซิ่งรู้ว่าของสิ่งนี้กำลังอยู่ในระยะฟักตัว ไม่สนใจอย่างอื่น มองกรอบวิถีหทัยมารต่อ

[วิถีหทัยมารเชื่อมอนธการ: ระดับสอง ผลพิเศษ: ร่างมารระดับสอง จิตมารหยินระดับสอง]

ผลเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่ร่างมาร ส่วนจิตมารหยินก็กลืนกินจิตมารก่อนหน้าโดยสมบูรณ์

ลู่เซิ่งใช้ความคิด จิตมารที่หน้าเป็นคนตัวเป็นงูก่อนหน้านั้นลอยออกมา ส่งเสียงฟ่อๆ พลางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

งูหน้าคนกับหัวใจจิตมารดวงนี้ เป็นจิตมารหยินสองตัวในตอนนี้ของเขา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดวิถีแห่งปีศาจ 229 งานชุมนุม (1)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 229 งานชุมนุม (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 229 งานชุมนุม (1)

ผู้อาวุโสใหญ่ยืนเงียบๆ อยู่บนชั้นสองของหอเก็บหนังสือ พร้อมกับอ่านหนังสือหนาหนักเล่มหนึ่งซึ่งเปิดอยู่ด้านหน้า

ด้านในบันทึกค่าตอบแทนอันเจ็บปวด ที่ต้องจ่ายไปเพื่อหยั่งเชิงพลังของอาวุธเทพศัสตรามารของสำนักมารกำเนิดในอดีตไว้อย่างละเอียด

ไม่เพียงแต่สำนักมารกำเนิดเท่านั้น ความจริงแล้วในสำนักหลายสำนักก็มีหนังสือเล่มนี้ ขอแค่เป็นสำนักเก่าแก่ ล้วนเหมือนกัน

สายตาของเขาอยู่ที่ตัวหนังสือหลายแถวบนหน้าสุดท้าย

‘ว่านกุ่ยสายสดับสงัดข้ามขุนเขา ต่อสู้ตัดสินกับตระกูลขุนนาง ชนะสามครั้ง อีกฝ่ายอับอายกลายเป็นโทสะ ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ลอบจู่โจม’

‘จิ่วฟางจื่อสายผนึกวิญญาณตอนต่อสู้กับคนที่ชายฝั่งแม่น้ำ โดนลูกหลงในตอนที่พู่กันบรรพตสู้กับศัสตรามารชิ้นอื่น แปดคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ประสบภัยทั้งหมด’

‘อวี่ซงจื่อสายสดับสงัด หลังจากล้มเหลวในการช่วยเหลือสหายสนิทเจรจาสงบศึกในป่าเขตเทือกเขาทางเหนือ ทำให้อีกฝ่ายเกิดโทสะ คนหนึ่งในนี้ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ไล่ล่า ทุกคนพลัดหลงระหว่างหลบหนี ยอดฝีมือทั้งหมดยี่สิบกว่าคนบาดเจ็บล้มตายมากกว่าครึ่ง ที่เหลือข่าวสารสูญหาย สงสัยว่าตายแล้ว’

ยอดฝีมือระดับสุดยอดที่เคยสำเร็จวิชาลับในประวัติศาสตร์ของสำนักมารกำเนิดจำนวนมาก ส่วนใหญ่ตายเพราะอานุภาพของอาวุธเทพศัสตรามารหรือไม่ก็อาวุธศักดิ์สิทธิ์

ดังนั้นตอนที่ลู่เซิ่งถามเขาว่า เมื่อผู้สำเร็จวิชาลับเผชิญกับพลังของอาวุธศักดิ์สิทธิ์จะเกิดอะไรขึ้น ผู้อาวุโสก็จนใจ ไม่ต้องพูดก็ถือว่าแสดงออกแล้ว

‘พลังระดับปฐมไม่ใช่อาณาเขตที่มนุษย์จะไปถึงได้ อาวุธเทพศัสตรามารทำไมถึงมีชื่อเทพและมาร เป็นเพราะพลังแบบนี้สุดที่มนุษย์จะแตะต้องได้’ ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจยาว

ครั้งกระโน้นร้อยเส้นสายรวบรวมชิ้นส่วนอาวุธเทพจำนวนมาก มารวมกันเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายจ่ายค่าตอบแทนมากมายปานนี้ สิ่งที่ได้กลับมาคือสำนักในปัจจุบันพากันทรุดโทรม

ความแตกต่างระหว่างระดับพลังกำเนิดกับระดับปฐม จนถึงตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่ยังมองไม่ออก

‘ผ่านงานชุมนุมไปแล้ว ค่อยสร้างสำนักใหม่ หวังว่าจะทำให้สำนักรุ่งเรืองได้ตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่’ ความจริงผู้อาวุโสใหญ่ได้ยึดถือลู่เซิ่งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำของสำนักในอนาคตแล้ว

วิชาเชื่อมอนธการ

ว่ากันว่าสามารถเปิดสายเลือดของตัวเอง ปลดปล่อยพลังของสายเลือดและแสดงพลังที่ซ่อนอยู่ได้

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของลู่เซิ่งก็คือ ตอนที่เขาเปิดสายเลือดของตัวเอง ก็สัมผัสได้ว่าในสายเลือดอันเป็นแก่นสารของตนในฐานะคนธรรมดาไม่มีพลังเท่าไหร่นัก

ไม่ใช่ ‘ไม่มีพลังเท่าไหร่’ แต่เป็น ‘ไม่มีเลย’!

ในความมืดมิด ตะไคร่น้ำสีเขียวอ่อนกลุ่มใหญ่ถูกน้ำในลำธารสีดำกระเซ็นใส่ เดี๋ยวโผล่มาเดี่ยวหายไป ขับโพรงถ้ำรอบๆ จนประเดี๋ยวสว่างประเดี่ยวมืดมิด

น้ำในธารหมอกพิษทะลักเข้าร่างลู่เซิ่งพร้อมกับเสียงน้ำไหลดังซู่ซ่า

ร่างกายของเขามีลวดลายสีม่วงอมดำที่เหมือนหนอนนับไม่ถ้วนไต่จากสองขาขึ้นไปด้านบน

ลวดลายมากมายนี้แผ่ขยายไปไม่หยุด ปกคลุมทั่วร่างลู่เซิ่ง

น้ำในธารหมอกพิษอันมากมายถูกเขาดึงพิษบริสุทธิ์จากด้านในออกมาสกัดเป็นปราณมารนับไม่ถ้วน จากนั้นก็กรองผ่านเปลือกหอยซึ่งเป็นเนื้อสีดำตรงทรวงอก เปลี่ยนพวกมันเป็นสิ่งที่เหมือนวุ้นสีดำซึ่งเข้มข้นบริสุทธิ์

ลู่เซิ่งไม่รู้ว่าสภาพของตนในตอนนี้ถือว่าปกติหรือไม่ แต่ว่าตามบันทึกบนคัมภีร์ วิชาเชื่อมอนธการไม่น่ารุนแรงขนาดนี้ถึงจะถูก ปกติแล้วศิษย์สามารถชักนำปราณมารในรัศมีหลายหมี่รอบๆ ได้

แต่การชักนำน้ำในธารหมอกพิษรัศมีหลายสิบหมี่มาในครั้งเดียวเหมือนกับเขา ก่อนหน้านี้คงไม่เคยมีใครทำมาก่อน

พอพิจารณาว่ากายเนื้อของเขาเหนือกว่าศิษย์ทั่วไปในสำนักมากเกินไป ลู่เซิ่งก็เข้าใจว่าทำไมจึงเกิดความรุนแรงแบบนี้

การเชื่อมอนธการของวิชาเชื่อมอนธการ ครั้งแรกจะดำเนินอยู่หลายชั่วยาม นี่เป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ทว่าการเชื่อมอนธการของลู่เซิ่งเพียงใช้เวลาสามสิบอึดใจก็ใกล้จบแล้ว

ต่อจากนั้น ปราณมารปริมาณมากที่กักเก็บในร่างของเขาก็กลายเป็นปราณมารกำเนิดในสภาพของเหลวเหนียวหนืดอย่างรวดเร็ว

‘อาจเป็นเพราะกายเนื้อแข็งแกร่งเกินไป การเปลี่ยนแปลงเลยราบรื่นและเร็วกว่าเดิม ไม่ต้องห่วงว่าร่างกายจะรับแรงกดดันไม่ไหว’

ลู่เซิ่งมองกระแสน้ำที่ค่อยๆ สงบลงรอบๆ พลางคาดเดาในใจ

เขาสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลเวียนต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิงในเส้นเลือดของตัวเอง นั่นเป็นเลือดที่หลอมกับปราณมารกำเนิดแล้ว

แน่นอนว่าเลือดใหม่หลังหลอมกับปราณมารกำเนิดสามารถยกระดับพลังฟื้นฟูร่างกายของเขาได้อย่างทรงประสิทธิภาพเช่นกัน สำหรับศิษย์ทั่วไป ประสิทธิผลนี้ไม่เลว แต่สำหรับลู่เซิ่ง มีหรือไม่มีก็ไม่แตกต่าง

‘ต่อจากนี้เป็นวิถีหทัยมาร เป็นฐานสุดท้าย’ เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สั่งความคิด จิตมารขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งพลันโผล่ขึ้นมาต่อหน้าเขา

จิตมารในตอนนี้เปลี่ยนไปอีกรอบ หลังจากการเปลี่ยนแปลงของปราณมารกำเนิดจบลง

จากสภาพเหมือนปลาแหวกว่ายก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลายเป็นสภาพที่เรียวยาวเหมือนงู

เป็นงูโปร่งแสงที่มีใบหน้าของตนเองตัวหนึ่ง ความรู้สึกนี้ชวนให้ลู่เซิ่งรู้สึกแปลกๆ อยู่บ้าง

‘หลังจากเชื่อมอนธการ…’ เขายื่นมือออกมา วิชาเก้าพิฆาตแดงฉานโคจรโดยฉับพลัน

ฟุ่บ!

เปลวไฟไร้รูปร่างกลุ่มหนึ่งลุกไหม้ในมือเขา เพียงแต่รอบๆ เปลวเพลิงในครั้งนี้มีริ้วดำอ่อนๆ เกิดขึ้นด้วย

‘มีผลกระทบน้อยมากต่อวิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน’ เขามองเปลวเพลิง แล้วชักมือกลับมาอย่างเนิบนาบ

ต่อจากนั้นก็โคจรปราณมารกำเนิดเพียงอย่างเดียว เขาเพิ่งจะใช้พลังงานหลักของสำนักมารกำเนิดชนิดนี้เป็นครั้งแรก

พลังของวิชาลับไหลซัดเหมือนกระแสน้ำในร่างกาย จากนั้นมือขวาของลู่เซิ่งที่โคจรวิชาก็ถูกย้อมเป็นสีม่วงแกมดำ รอบๆ เหมือนกับมีแสงสีดำวนเวียนอยู่

‘มาถึงขั้นนี้แล้ว มีพลังมารกำเนิด จิตมาร กายเนื้อ เป็นความสามารถโจมตีสามอย่าง กำลังภายในของสำนักอย่างพลังมารกำเนิดมีอานุภาพไม่เลว ด้วยความแข็งแกร่งของเราในวันนี้ ใช้แค่พลังมารกำเนิดรับมือระดับจตุลักษณ์ เบญจลักษณ์ของตระกูลขุนนาง อาจจะสู้ได้สูสี’

ลู่เซิ่งเอาคู่ต่อสู้คนก่อนๆ มาเปรียบเทียบ ระดับจตุลักษณ์ เบญจลักษณ์ของตระกูลขุนนางเทียบเท่ากับระดับเบญจลักษณ์ ฉลักษณ์ของสำนัก เปลี่ยนเป็นสำนักมารกำเนิด ระดับก็สูงกว่าเดิม เทียบได้กับระดับสัตตะลักษณ์ของสำนักมารกำเนิด

‘แต่นี่เป็นขีดจำกัดแล้ว ที่เกิดอานุภาพแข็งแกร่งแบบนี้ได้ เป็นเพราะกายเนื้อเราดีกว่าศิษย์ทั่วไปในสำนัก’ เขาใคร่ครวญ ‘เอาล่ะ มาเริ่มวิถีหทัยมารที่เป็นลำดับสุดท้ายกันเลย’

วิธีการฝึกวิถีหทัยมารคือการวมจิตมาร ควบคุมความนึกคิดในใจ

วิถีหทัยมารคิดว่าความคิดและความปรารถนาของคนมีเก้าอย่าง ดังนั้นการฝึกฝนจิตมารจึงมีทั้งหมดเก้าระดับ แต่ละระดับบ่งบอกว่าจำเป็นต้องกำจัดความคิดและความปรารถนาระดับหนึ่งออกไปจากในใจ แล้วผนึกรวมเป็นจิตมาร

เมื่อจิตมารเก้าชนิดรวมตัวกันครบ จะผนึกตัวเป็นจิตมารสุดท้าย

‘วันนี้จิตมารแรกของเราเกิดขึ้นแล้ว หรือก็คือหลังสำเร็จการเชื่อมอนธการ ก็อยู่ในสภาพระดับแรกของวิถีหทัยมารพอดี’

ลู่เซิ่งสะกิดเท้าอย่างแผ่วเบา พลันกระโดดขึ้น ลอยตัวไปถึงด้านในถ้ำเล็กๆ ที่ตนใช้ฝึกฝนก่อนหน้า

‘ต่อจากนี้ เราจะใช้ปราณหยินได้โดยตรงแล้ว อ้อ ไม่สิ ใช้พลังอาวรณ์เลื่อนระดับต่างหาก’ เขาไม่รีรอ เปิดเครื่องมือปรับเปลี่ยนทันที

ทันใดนั้นเขาชะงักการเคลื่อนไหว ก้มหน้ามองบนพื้นใต้เท้า สับสนเล็กน้อย

วิชาลับเป็นวิชาขั้นสูงสุดที่เอาไว้ขุดค้นสายเลือด ย่อมเป็นสิ่งที่คุ้นเคยต่อการควบคุมและโคจรปราณมารกำเนิดอย่างไม่ต้องสงสัย

พวกเขาใช้พลังกระตุ้นสายเลือดอย่างปราณมารกำเนิดปรับเปลี่ยนเติมเต็มสายเลือด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายไม่ปล่อยสายเลือดที่ซ่อนแฝงอยู่

ลู่เซิ่งก็เป็นเช่นนี้

หลังปราณมารกำเนิดเปลี่ยนแปลง ก็หลอมรวมเข้ากับเส้นเลือด แล้วปรับเปลี่ยนร่างกาย ทำให้สายเลือดอันน้อยนิดที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดของร่างกายถูกขุดออกมา

สายเลือดที่ถูกขุดออกมาต่อให้เบาบางถึงขีดสุด แต่สุดท้ายก็เป็นสายเลือดอยู่ดี

ลู่เซิ่งมองข้างใต้เท้าอย่างสงบ ในรอยเท้าตรงนั้นมีแสงที่อ่อนจางยิ่ง

แสงนี้เป็นสีเหลืองทอง ไม่รู้ว่าเป็นอะไร กำลังริบหรี่ลงด้วยความเร็วสูง อีกไม่กี่อึดใจคงดับไปเอง

ลู่เซิ่งสัมผัสได้อย่างชัดแจ้งว่า แสงอันเล็กน้อยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังใดๆ ที่มีอยู่บนร่างตน

ไม่ใช่วิชาเก้าพิฆาตแดงฉาน ไม่ใช่ปราณขวดสมบัติ ยิ่งไม่ใช่ปราณมารกำเนิดที่เพิ่งฝึกได้

แต่เป็นสิ่งที่ประหลาดและบริสุทธิ์อีกอย่าง เป็นพลังชนิดหนึ่งของตัวเอง

‘เป็นพลังงานที่อ่อนแอมาก เรารู้สึกได้ว่านี่เป็นสิ่งที่ปราณมารกำเนิดกระตุ้นได้จากในสายเลือด อ่อนแอมาก หมายความว่าสายเลือดของเราเบาบางมากๆ ถ้าไม่ใช่เพราะปราณมารกำเนิดเติมเต็มทั่วร่าง ชั่วชีวิตนี้คงไม่พบ’ เขายืนอยู่ที่เดิม ความคิดล่องลอย

ในสายเลือดของเขามีพลังของอาวุธเทพศัสตรามาร นี่หมายความว่าอะไร ไม่ต้องพูดก็เป็นอันเข้าใจ

บางทีที่พลังนี้อ่อนแอสุดขีด เพราะส่งต่อมาหลายรุ่น จึงไม่ต่างจากมนุษย์

‘แต่ปรากฏการณ์แบบนี้แสดงให้เห็นรึเปล่าว่าบรรพบุรุษของเราเคยแต่งงานกับคนของตระกูลขุนนางที่ใช้อาวุธเทพศัสตรามาร หรือว่าโลกทั้งใบ มนุษย์ทุกคน มีสายเลือดคล้ายๆ กันนี้ทั้งหมด’

ทันใดนั้นเขาคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง

‘เป็นไปได้ไหมว่าการขุดค้นสายเลือดเล็กๆ นี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ซ่อนไว้ในส่วนลึกสุดของสายเลือดอยู่แล้ว’

ลู่เซิ่งยืนครุ่นคิดอยู่กับที่สักครู่ ในที่สุดก็หยุดสันนิษฐาน สิ่งที่สำคัญที่สุดตรงหน้ายังเป็นการยกระดับพลัง

จงหยวนมียอดฝีมือมากเกินไป ผู้ถืออาวุธสะกดทุกสิ่ง ถ้าหากไม่เจอพลังที่สู้กับผู้ถืออาวุธได้ เกิดเขาความแตก อันตรายที่เจอจะเป็นระดับภัยพิบัติ

ไม่เพียงเขาจะตาย คนทั่วทั้งตระกูลลู่จะตายเช่นกัน

‘เริ่มกันเลย…วิถีหทัยมาร…”

ลู่เซิ่งมองเครื่องมือปรับเปลี่ยนที่ลอยอยู่ด้านหน้า เจอกรอบที่วิชาเชื่อมอนธการอยู่อย่างรวดเร็ว

กรอบวิชาเชื่อมอนธการคือกรอบของเคล็ดวิชาหน้ามารไร้มูลเหตุเมื่อก่อนหน้า ทั้งสองเป็นสิ่งเดียวกัน ก็แค่เปลี่ยนชื่อเป็นวิชาเชื่อมอนธการเท่านั้น

ลู่เซิ่งหาปุ่มปรับเปลี่ยนบนเครื่องมือปรับเปลี่ยนอย่างคุ้นเคย แล้วกดโดยแรง

ซู่…

เครื่องมือปรับเปลี่ยนสั่นไหวน้อยๆ กลายเป็นสภาพปรับเปลี่ยนได้

‘เลื่อนระดับวิชาเชื่อมอนธการเป็นระดับต่อไป’ ลู่เซิ่งกดความคิดลงบนปุ่มด้านหลังกรอบวิชาเชื่อมอนธการ

กรอบพร่ามัวทันที

ฟู่ว…

ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามีลมปราณเย็นฉ่ำหลายสายไหลออกมาจากตา หู จมูกและปากอย่างต่อเนื่อง

ไม่นานเขาก็ค้นพบว่านี่ไม่ใช่ความรู้สึก แต่เป็นของจริง

ปราณสีดำจำนวนมากไหลออกมาจากตา หู จมูก และปากของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นรวมตัวกันกลางอากาศด้านหน้า

กลายเป็นหัวใจสีดำขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง

หัวใจนั้นกลืนกินปราณสีดำจำนวนมาก และค่อยๆ เริ่มเต้น

หัวใจมีขนาดใหญ่เท่าหัวคน เป็นสีดำทั้งดวง พื้นผิวปรากฏอักขระสีม่วงตัวหนึ่ง ลักษณะเหมือนกับก่อนที่จิตมารในบันทึกของวิถีหทัยมารจะเป็นรูปเป็นร่าง

‘นี่คือจิตมารที่สองหรือ’ ลู่เซิ่งรู้ว่าของสิ่งนี้กำลังอยู่ในระยะฟักตัว ไม่สนใจอย่างอื่น มองกรอบวิถีหทัยมารต่อ

[วิถีหทัยมารเชื่อมอนธการ: ระดับสอง ผลพิเศษ: ร่างมารระดับสอง จิตมารหยินระดับสอง]

ผลเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสุดทั้งหมดรวมตัวอยู่ที่ร่างมาร ส่วนจิตมารหยินก็กลืนกินจิตมารก่อนหน้าโดยสมบูรณ์

ลู่เซิ่งใช้ความคิด จิตมารที่หน้าเป็นคนตัวเป็นงูก่อนหน้านั้นลอยออกมา ส่งเสียงฟ่อๆ พลางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

งูหน้าคนกับหัวใจจิตมารดวงนี้ เป็นจิตมารหยินสองตัวในตอนนี้ของเขา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+