ยอดวิถีแห่งปีศาจ 423 ตามรอย (1)
บทที่ 423 ตามรอย (1)
ภูเขาอาวรณ์
ตัวเมืองอาวรณ์ที่อยู่ตีนเขาเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อในแคว้นสี่อุบัติ ที่นี่มีสาวกศาสนาพุทธมากที่สุด วัดน้อยใหญ่รวมกันหลายสิบแห่ง ผู้แสวงบุญไปมาไม่ขาดสาย เงินทองแพร่สะพัด
เมืองอาวรณ์ไม่มีขุมกำลังของทางการคอยคุ้มกัน ทั้งหมดอาศัยสำนักพรากหทัยที่เป็นเสาค้ำคอยปกป้องอาณาเขตในรัศมีร้อยลี้
หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ สำนักพรากหทัยเป็นสำนักศาสนาพุทธขนาดใหญ่ที่พันธมิตรวัดพุทธหลายสิบแห่งมารวมตัวกัน
ในแคว้นสี่อุบัติ สำนักพรากหทัยเป็นขุมกำลังของตระกุลขุนนางที่แข็งแกร่งที่สุดนอกจากสามสำนัก
เวลานี้ ณ เหลาสุราร้อยสุคนธ์ของเมืองพรากหทัย นักกายกรรมสองคนกำลังโยนห่วงติดไฟไปในอากาศ แล้วแสดงทักษะกระโดดลอดห่วงไฟให้คนดูอยู่
“ยอดเยี่ยม!”
“ขออีกรอบ!”
“สุดยอด!”
เสียงโห่ร้องดังมาจากในหมู่ผู้ชมที่อยู่รอบๆ ไม่ขาดสาย เป็นเพราะว่าผู้แสดงไม่ใช่ชายฉกรรจ์ร่างล่ำสัน หากเป็นหญิงสาวงดงามหยาดเยิ้มและผิวขาวดั่งหยกสองคน พวกนางสวมชุดรัดรูปสีขาวแนบเนื้อ เค้าโครงร่างกายที่เจริญเติบโตกำลังดีเผยให้เห็นจุดไวต่อความรู้สึกอย่างเลือนรางภายใต้โครงเสื้อ
เสียงโห่ร้องส่วนใหญ่รอบๆ ไม่ได้ดังขึ้นเพราะระดับความยากในการแสดงกายกรรม ส่วนใหญ่แล้วดังขึ้นเพราะทิวทัศน์วับแวมที่ปรากฏเป็นครั้งคราวจากการเคลื่อนไหวของสองสาว
ด้านในเหลาสุราสว่างไสว กลิ่นสุราตลบอบอวล ในเสียงโห่ร้องได้ยินเสียงเงินหล่นลงพื้นเพื่อให้รางวัลตลอดเวลา
ในมุมหนึ่งของโถงใหญ่ คนสองคนที่นั่งอยู่ในตอนนี้มองดูหญิงสาวงดงามสองคนที่กำลังแสดงกายกรรมด้วยท่าทีผ่อนคลาย
ในสองคนนี้เป็นบุรุษคนหนึ่งที่มีร่างกายล่ำสัน สมส่วนมีพลัง ใบหน้านับว่าองอาจคมคาย เพียงแต่ผมที่ยาวถึงบ่ายุ่งเหยิงเล็กน้อย กลับเพิ่มความป่าเถื่อนและบ้าระห่ำหลายส่วนให้แก่เขา
อีกคนเป็นสตรีมีบุคลิกเย้ายวน ผมยาวถึงเอว ตาโต จมูกเรียว ปากเล็ก ทรวงอกใหญ่โต สองขาเรียวยาวอวบอิ่ม สวมกระโปรงสั้นสีขาวนวล เอวกิ่วที่บิดขณะเคลื่อนไหวเผยให้เห็นบุคลิกน่าดึงดูดตามธรรมชาติ “ถ้าหากนายท่านต้องการเด็กสาวสองคนนี้ไปรับใช้ จ่ายเงินแค่นิดเดียวเท่านั้น นักกายกรรมเร่ร่อนในยุทธภพเหล่านี้ส่วนใหญ่ใช้เงินจัดการได้ทั้งนั้น”
“ไม่ต้องหรอก วิถีทางโลกเช่นนี้ คนที่เดินทางบนยุทธภพได้โดยไร้เรื่องราวส่วนใหญ่แล้วล้วนไม่บริสุทธิ์” ลู่เซิ่งกล่าวพลางส่ายหน้า เขาพาตวนมู่หว่านมาตามรอยด้วยกัน เนื่องจากว่าไม่ยอมทิ้งอาวุธเทพระดับเทวปัญญา ดังนั้นจึงออกจากแคว้นเดิมไล่ตามมาถึงแคว้นสี่อุบัติที่อยู่ใกล้ๆ
เนื่องจากบนตัวจิ่งหงมีกลิ่นอายแก่นหยางอันเหี้ยมหาญที่เขาทิ้งไว้ ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงไล่ตามพวกสวีฉีและจิ่งหงได้โดยไร้ความลังเลแม้แต่น้อย
“นายท่านกล่าวถูกต้อง ตามประสบการณ์ของข้าน้อย เด็กสาวสองคนนี้คงอายุไม่เกินสิบเจ็ดปี แต่บุรุษที่ผ่านมือเกรงว่าจะมีนับไม่ถ้วน ไม่ได้บริสุทธิ์อย่างรูปลักษณ์ภายนอก” ตวนมู่หว่านว่า “สตรีชาติตระกูลดีทั่วไปคงไม่กล้าสวมใส่ชุดแบบนี้ออกมาพบแขกจริงๆ”
ลู่เซิ่งประหลาดใจ แต่ไม่ตอบอะไร เพียงดื่มชาเท่านั้น
“นอกจากนี้ ได้ติดต่อกับสำนักพันอาทิตย์ของที่นี่หรือยัง” เขาเงียบงันพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นอีก
“ติดต่อแล้วเจ้าค่ะ แต่ว่าที่นี่คือเมืองหลวงของแคว้นสี่อุบัติ ซึ่งอยู่ไกลจากแคว้นของพวกเรามาก ปัจจุบันสภาพการณ์สับสน เกรงว่าจะไม่มีใครสนใจมากเท่าไหร่” ตวนมู่หว่านส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวอธิบาย
“หากมีเรื่องค่อยยืมกองกำลัง ถ้าไม่มีก็ช่างมัน” ลู่เซิ่งยิ้ม “จะว่าไปกรมสังข์ขเขียวของที่นี่คงจะถูกขุดรากถอนโคนไปแล้ว พวกเรามาถึงที่นี่ตั้งนาน ตอนนี้ยังไม่มีใครมาถามไถ่”
กล่าวเพิ่งจบ ทางนักกายกรรมหญิงสองคนนั้นก็เกิดปัญหา
ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย ชายฉกรรจ์แบกดาบสองคนที่มีร่างกำยำเบียดฝูงชนออกมา พวกเขาคุ้มครองบุรุษผอมแห้งคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังพร้อมเดินไปหาสตรีทั้งสองนาง
“เป็นสตรีจากสำนักไร้สำเนียง นึกไม่ถึงว่าจะยังเหลือกากเดนอยู่ที่นี่” บุรุษผอมแห้งผู้นั้นแต่งกายอย่างคุณชาย มือคลึงกระบี่สั้นเล่มหนึ่งเล่นอยู่ ฝักกระบี่มีลวดลายสีดำอันประณีตส่องแสงสีฟ้าอ่อนๆ แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“คุณชายท่านนี้ พวกเราพี่น้องไม่ทราบว่าท่านพูดถึงอะไร พรรคไร้สำเนียงหรือ พวกเราเพิ่งมาถึงต่างแดนเป็นครั้งแรก เพียงคิดจะอาศัยความสามารถทำการแสดงหาเงินนิดหน่อยเท่านั้น” สตรีหนึ่งในสองที่อายุเยอะกว่าเดินขึ้นมาด้านหน้า หัวคิ้วขมวดมุ่น เห็นได้ว่าสำเหนียกได้ถึงปัญหาแล้ว
“เจ้าอาวาสชิงหุนแห่งวัดธรรมรัฐออกคำสั่งให้กำจัดพรรคไร้สำเนียงซึ่งเป็นไส้ศึกของพิภพมารด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผู้ทรยศแห่งพรรคไร้สำเนียงสองคนกลับกล้าแสดงกายกรรมบนถนนใหญ่อย่าเปิดเผยหรือ เหอะๆๆ!” สายตาของบุรุษผอมแห้งผู้นี้กวาดมองร่างเด็กสาวสองคนตลอดเวลา
“คุณชายโปรดเมตตา พวกเราสองพี่น้องไม่ใช่ไส้ศึกของพรรคไร้สำเนียงอะไรนั่นจริงๆ!” เด็กสาวที่อายุมากกว่าได้ยินคำว่าไส้ศึกจากพิภพมารพลันตกใจ ใบหน้าเล็กๆ ร้อนรน นางซึ่งขอบตาแดงเรื่อคุกเข่าให้แก่บุรุษผู้นั้น
“พวกเจ้าจะใช่หรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า จงพากลับไปไต่ส่วน! ข้าจะตรวจสอบไส้ศึกจากพิภพมารนี้จากด้านในไปถึงด้านนอกเอง!” เห็นได้ชัดว่าบุรุษผู้นี้อาศัยข้ออ้างไส้ศึกพรรคไร้สำเนียงลักพาตัวอย่างโจ่งแจ้ง
“คุณชายโปรดเมตตา! คุณชายโปรดเมตตา!” เด็กสาวทั้งสองต่างคุกเข่าโขกหัวให้แก่บุรุษนั้นโดยแรง
แต่ก็ไร้ประโยชน์ ชายฉกรรจ์อาภรณ์ดำสองคนเดินเข้าไปจับเด็กสาวสองคนขึ้นจากด้านซ้ายและด้านขวา แล้วเตรียมจะลากออกไปด้านนอก
เรื่องราวมาถึงขั้นนี้ คนที่อยู่รอบๆ ต่างมองออกว่าจบสิ้นแล้ว
เพียงแต่ว่าบุรุษผอมแห้งผู้นี้กลับยังไม่สาแก่ใจ ใช้สายตาหื่นกระหายกวาดมอง ไม่นานก็จดจ้องร่างของหญิงสาวหลายคนที่มีรูปโฉมงดงามในเหลาสุรา
แต่เขาก็ไม่อยากจะทำให้เรื่องปานปลายจนเกินไป หากเกิดการฟ้องร้องในระดับแคว้นและจังหวัดเข้า ลุงของเขาคงจะเสียหน้าเช่นกัน
บุรุษผู้นั้นพึงพอใจ เตรียมจะกลับไปสั่งสอนสาวงามสองคนนั้น ทันใดนั้นเขาก็ตาเป็นประกาย สายตาหยุดลงบนร่างของแขกโต๊ะหนึ่งที่อยู่ในซอกหลืบของเหลาสุรา
รูปร่างหน้าตาของแขกหญิงคนหนึ่งในหมู่แขกของโต๊ะนั้นล้วนเหนือกว่าเด็กสาวสองคนเมื่อครู่จนไม่อาจเปรียบเทียบ ในความหยาดเยิ้มและน่าลุ่มหลงกลับแฝงความรู้สึกอันตรายที่คมกล้า
“ยอดเยี่ยม! ประเสริฐยิ่งนัก! ข้ายังไม่เคยเล่นของดีอย่างนี้มาก่อน” เขาสาวเท้าเดินไปยังโต๊ะนั้น
คนที่อยู่รอบๆ ต่างก็ถอนใจ ทราบว่านายน้อยผู้นี้ได้เหยื่อรายใหม่อีกแล้ว
ในเมืองอาวรณ์แห่งนี้ หากนายน้อยผู้นี้บอกว่าหนึ่ง ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าสอง การชิงตัวหญิงชาวบ้านเป็นแค่เรื่องธรรมดาๆ เท่านั้น คนผู้นี้กระทำเรื่องเลวทรามอย่างการกดดันจนบ้านแตกสาแหรกขาด ทำให้สามีพลัดพรากกับภรรยาและลูกมาแล้วหลายครั้ง ถึงขั้นยังมีคนถูกล้างตระกูลเพราะหาเรื่องเขาเข้าด้วย
ตอนนี้พอเห็นคนผู้นี้ตาเป็นประกาย คนรอบๆ ก็รู้ทันทีว่าเจ้าหมอนี่มีเป้าหมายใหม่แล้ว
ตอนที่แขกที่อยู่รอบๆ โล่งใจ ก็พากันถอนใจอย่างเสียดายไปทางสตรีที่ถูกหมายหัวนางนั้น
“พี่สาวท่านนี้ ข้าน้อยมู่เชวียหนิง ก่อนหน้านี้เห็นพี่สาวแต่ไกล เป็นให้ตกตะลึงโดยแท้ ถ้าหากล่วงเกินที่ใด ต้องขออภัยด้วย” บุรุษผอมแห้งผู้นี้เดินหลายก้าวไปถึงด้านหน้าตวนมู่หว่าน จากนั้นก็จับจ้องส่วนที่ผงาดง้ำที่สุดบนร่างนางพร้อมกับเลียริมฝีปากพลางส่งเสียงแหบแห้ง
ตวนมู่หว่านอดหัวเราะไม่ได้ หน้าอกหน้าใจกระเพื่อมไหวรุนแรงขึ้น เป็นเหตุให้มู่เชวียหนิงตาค้าง ละสายตาได้ยากเย็นกว่าเดิม
“พี่สาวช่างรูปร่างดีจริงๆ”
ตวนมู่หว่านกำลังจะลงมือสั่งสอนคนผู้นี้ นางเป็นข้ารับใช้ของเจ้านาย ตามกฎที่ลู่เซิ่งได้กำชับไว้ก่อนหน้า ขอแค่เขาไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าไม่อนุญาต เช่นนั้นหมายความว่าสามารถลงมือได้ตามใจชอบ
ทว่าตอนนี้กลับไม่ต้องให้นางลงมือเอง ประตูเหลาสุราเกิดเสียงชนอย่างรุนแรงดังเปรี้ยง
ชายฉกรรจ์อาภรณ์แดงสองคนพุ่งเข้ามาอย่างเหิมเกริม เด็กสาวอ่อนหวานที่มีตาคู่งามกับฟันขาว และไว้ผมหางม้าถึงเอวติดตามมาด้านหลัง
เด็กสาวคนนี้สวมชุดขี่ม้าแนบเนื้อ มือถือแส้ม้าสีดำ พุ่งเข้ามาในประตูใหญ่ด้วยสภาวะดุร้าย
“พี่รอง ก่อนหน้านี้ข้าบอกอะไรไป ท่านถือเป็นลมผ่านหูหรือ”
เดิมมู่เชวียหนิงที่มีเพลิงราคะเต็มทรวงอก พอได้ยินเสียงของเด็กสาวคนนี้ ก็พลันตกใจจนตัวสั่น แล้วหมุนตัววิ่งหนีทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้! ถ้ากล้าหนีข้าจะฆ่าท่าน!” เด็กสาวคนนั้นกระโดดแผ่วเบา วูบไหวร่างกายมาอยู่ด้านหน้ามู่เชวียหนิงเพื่อขวางทางเขาอย่างผ่อนคลายสุดขีด
“น้องสาม ท่านย่า พี่สาม ท่านย่าสาม! ปล่อยข้าไปสักครั้งเถอะ! ข้าเพิ่งออกมาจากห้องเหล็ก ไม่อยากเข้าไปอีกแล้วจริงๆ!” มู่เชวียหนิงวิงวอนด้วยสีหน้าขื่นขม เห็นได้ว่าเขากลัวนางจริงๆ “ท่านพ่อหาอาจารย์มาให้เจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ ถ้าหากเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจะแนะนำอาจารย์สอนหนังสือที่ทำให้เจ้าพอใจให้แก่เจ้าเอง!”
“ท่านเนี่ยนะ” เด็กสาวกวาดตามอง คนหลายสิบคนที่อยู่ในเหลาไม่มีใครกล้าสบตากับนางสักคนเดียว ถึงขั้นคล้ายหวาดกลัวนางยิ่งกว่ามู่เชวียหนิงเสียอีก
ทว่าตอนที่สายตานางกวาดผ่านร่างของตวนมู่หว่าน ตาก็เป็นประกาย จากนั้นก็เลื่อนสายตาจากตวนมู่หว่านไปยังลู่เซิ่งที่อยู่ด้านหน้า
ใบหน้าเล็กๆ ของนางสั่นไหว ตาโตแวววาวจับจ้องลู่เซิ่งเขม็ง ใบหน้าขาวผ่องคล้ายแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย
“น้องสาม น้องสาม” มู่เชวียหนิงกำลังจะกล่าวคำวิงวอน อยู่ๆ ก็เห็นน้องสามหยุดนิ่งเหม่อลอย จึงรีบยื่นนมือไปโบกด้านหน้านาง
“บังอาจนัก!”
เปรี้ยง!
เด็กสาวพลันตบหน้ามู่เชวียหนิงอย่างหนักหน่วง อีกฝ่ายหงายหลังกระเด็นออกไปชนใส่โต๊ะกินข้าวหลายตัว จนแขกลุกขึ้นหนีออกไป
“ถึงกับกล้าเสียมารยาทกับคนรักของนายท่านผู้นี้! ดูเหมือนไม่ทุบตีสองสามวันท่านก็กล้าขึ้นไปรื้อกระเบื้องบนบ้านแล้ว! อยู่นิ่งๆ อยู่นิ่งๆ เดี๋ยวนี้!”
เด็กสาวอัดมู่เชวียหนิงเสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ให้ชายฉกรรจ์อาภรณ์แดงข้างกายโยนเขาออกไป แล้วจัดเสื้อผ้าเดินไปถึงตรงหน้าพวกลู่เซิ่ง
“หนุ่ม เอ๊ย ท่านสุภาพบุรุษ ไม่ได้ทำให้ท่านตกใจกระมัง” มู่เจวี๋ยชิ่งเกือบพูดคำว่าหนุ่มหล่อออกไปแล้ว นางจิตใจเต้นรัว ถ้าหากบอกว่าบนโลกนี้มีรักแรกพบจริงๆ อย่างนั้นนางเชื่อว่าตอนนี้ตนเองก็เจอรักแรกพบแล้ว
บุคลิกที่เย็นชา แข็งกร้าว และเยือกเย็นซึ่งบรรยายไม่ถูกนั้นทำให้นางแทบจะตกหลุมรักในทันที
ลู่เซิ่งมองเด็กน้อยตรงหน้าอย่างแปลกประหลาด เขาสัมผัสได้ว่าในร่างเด็กสาวผู้นี้มีขุมพลังยิ่งใหญ่อยู่สายหนึ่ง เหมือนกับมังกรยักษ์ที่หลับไหล แม้แต่เขาก็ยังตกใจกับความแข็งแกร่งที่แฝงอยู่ในตัวนาง
“เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ” เขาได้สติ ก่อนจะถามอย่างขบขัน
“ท่านสุภาพบุรุษ ท่านไม่เหมือนคนท้องถิ่น มาจากที่อื่นหรือ ต้องการให้ข้าน้อยนำท่านเที่ยวชมรอบๆ หรือไม่ พี่สาวท่านนี้พักผ่อนที่เหลาสุราต่อได้ การแช่กลีบดอกไม้ของที่นี่มีผลต่อผิวพรรณไม่เลวทีเดียว ข้าสั่งให้คนจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างบีบบังคับ ไม่ยอมให้ตวนมู่หว่านปฏิเสธ
รอบๆ นางไม่ทราบมีคนสวมอาภรณ์แดงอีกหลายคนโผล่มาตอนไหน แต่ละคนต่างล้อมพวกลู่เซิ่งไว้จากรอบๆ เหมือนตั้งใจเหมือนไม่ตั้งใจ แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ตอบรับก็อย่าคิดไปไหนเลย
ลู่เซิ่งหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ไอ้หนุ่มที่ชิงตัวหญิงชาวบ้านก่อนหน้านี้ยังพอว่า ตอนนี้ยังมีคนที่ต้องตาเขาโผล่มาอีกคน
เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่หนุ่มหล่อ เพียงแต่อยู่ในระดับกลางค่อนสูงเท่านั้น ไม่รู้ว่าเด็กสาวคนนี้ชอบเขาตรงไหน
ลู่เซิ่งมองไปยังประตูเหลาสุราอีกครั้ง เห็นคนสวมอาภรณ์แดงสิบกว่าคนล้อมปากประตูเหลาสุราไว้เป็นชั้นๆ สายตาที่แฝงการคุกคามมากมายหยุดอยู่บนร่างเขา ทำให้เขาค่อนข้างขบขัน
แต่เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเล่นกับเด็กสาว
“หนูน้อย กลับไปทำสิ่งที่ควรทำเสียเถอะ เด็กอายุเท่าเจ้าควรจะเรียนวรยุทธ์ฝึกอักษรกับบิดามารดาอยู่ที่บ้านดีๆ ไม่ใช่หรือ ออกหน้าออกตาให้คนอื่นเห็นแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นะ” ลู่เซิ่งไม่นำพา ยื่นมือไปขยี้ผมของเด็กสาว
……………………………………….
Comments