ยอดวิถีแห่งปีศาจ 424 ตามรอย (2)

Now you are reading ยอดวิถีแห่งปีศาจ Chapter 424 ตามรอย (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 424 ตามรอย (2)

“ทำไมเด็กผู้หญิงจึงออกหน้าออกตาไม่ได้เล่า” มู่เจวี๋ยชิ่งกล่าวอย่างไม่พอใจ

“ไม่มีทำไม นี่เป็นกฎ” ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ

“ใครกำหนดกฎกัน?!”

“ทุกคน” ลู่เซิ่งพลันรู้สึกบางอย่าง จึงส่ายหน้าน้อยๆ “พอแล้ว เสี่ยวหว่าน พวกเราควรไปได้แล้ว” เขาลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเรียบเฉย

“ท่านพี่เอิน” ต้วนมู่หว่านพยักหน้า ทั้งสองสวมบทบาทเป็นพี่น้องกันเวลาอยู่ด้านนอก

“ท่านสุภาพบุรุษจะไปไหนหรือ” มู่เจวี๋ยชิ่งร้อนใจ รีบเข้าไปถาม

“ตามหาคน”

“ข้าช่วยเหลือได้นะ ในเมืองอาวรณ์แห่งนี้ไม่มีเรื่องที่ตระกูลมู่ของข้าทำไม่ได้” มู่เจวี๋ยชิ่งรีบตบทรวงอกที่แบนราบของนางพลางกล่าวเสียงดัง

“ไม่เป็นไร ที่จริงข้ารู้ว่าคนที่ข้าต้องการตามหาอยู่ที่ไหน” ลู่เซิ่งเดินออกจากประตู ไม่มีใครเข้าไปขวางสักคนเดียว ทั้งสองเดินช้าๆ ตามถนนไปยังทิศทางหนึ่งในเมืองท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของทุกคน

เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่ เขาก็ค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นเหลือบมองทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

“เจ้าไล่ตามมาจริงๆ หรือนี่” เสียงที่คุ้นหูเล็กน้อยดังมาจากหลังคาทางซ้ายมือ ตรงหน้าพลันมีเงาร่างกำยำถือหอกยาวสายหนึ่งเดินออกมาอย่างฉับพลัน

“ท่านตาฉี?!” มู่เจวี๋ยชิ่งที่ติดตามมาด้านหลังเงียบๆ ส่งเสียงร้องตกใจทันที พร้อมกับมองสวีฉีที่ยืนอยู่บนหลังคาอย่างเหลือเชื่อ

“เจวี๋ยเอ๋อร์หรือ” สวีฉีงุนงง ก่อนที่สีหน้าจะเย็นชาลง

“เปลี่ยนสถานที่สู้ไหม”

“ตรงใจข้าพอดี!”

ลู่เซิ่งตอบรับด้วยความดี โบกแขนเสื้อผลักตวนมู่หว่านไปถึงตำแหน่งปลอดภัย แล้วกระโดดอย่างแผ่วเบาไปกลางอากาศโดยไม่เหลือบแลคนรอบๆ

ทั้งสองทยอยพุ่งออกจากเขตนี้ พริบตาเดียวก็ไปถึงบนกำแพงเมืองรอบนอก

กำแพงเมืองกว้างขนาดสองคนเดินเรียงแถวกัน ทว่าความจริงหากตัดส่วนที่เป็นยอดปลายแหลมและส่วนที่เป็นคบเพลิงออกไป ตำแหน่งที่เหลืออยู่ก็มีไม่มากแล้ว

“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกบดานอยู่ในเมืองแบบนี้ ถ้าหากข้าทายไม่ผิด สถานะของเจ้าสมควรยังมีการติดต่อกับตระกูลจิ่งอยู่กระมัง” ลู่เซิ่งถาม

“เจ้าว่าอย่างไรเล่า” สวีฉีแค่นเสียงเย็นชา ฉับพลันนั้นก็มีกลิ่นอายอันเหี้ยมหาญสองสายปรากฏขึ้นด้านหลังลู่เซิ่ง

คนสองคนนี้สวมอาภรณ์สีดำและผ้าคลุม การเปิดเผยข้อมูลลักษณะเด่นทั้งหมดของพวกเขาออกไปไม่เป็นผลดีต่อตระกูล

“คนหนุ่มสมัยนี้ไม่เคารพคนแก่ไม่รักเด็กมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…” หนึ่งในสองคนกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

“มาถึงถิ่นของพวกเรา ยังคิดจะปะทะซึ่งหน้าอีก ล้ำเส้นเกินไปแล้ว” อีกคนเป็นสตรี น้ำเสียงเย็นชา มีความบ้าคลั่งที่กดข่มไว้เล็กน้อย

พูดส่วนพูด ทั้งสามล้อมลู่เซิ่งเอาไว้เหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ยินถึงความแข็งแกร่งของลู่เซิ่งมาจากสวีฉีแล้ว

“ลงมือ!” อยู่ๆ สวีฉีก็ตวาดขึ้นพร้อมกับพุ่งเข้าไป

สองคนที่เหลือกำลังจะลงมือพร้อมกัน กลับรู้สึกได้ว่าอากาศรอบๆ สั่นสะเทือน ลู่เซิ่งแสดงสีหน้าเรียบเฉย หนีทั้งที่ยังไม่สู้ โดยถอยออกไปด้วยความเร็วสูง

ทว่าการผสานวงล้อมโจมตีของคนทั้งสาม เป็นเรื่องยากลำบากยิ่ง หากละทิ้งไปในตอนนี้ออกจะน่าเสียดายไปหน่อยจริงๆ จึงติดตามไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งสี่คน ท่านไล่ข้าหนี ลากเป็นกระแสอากาศหลายสายในกลางท้องฟ้า

ตูม!

ด้านในคฤหาสน์ร้างแห่งหนึ่งนอกเมือง ลู่เซิ่งทิ้งตัวลงบนภูเขาจำลองในคฤหาสน์อย่างแรง ภูเขาจำลองแตกกระจาย พริบตาเดียวก็ถล่มลงกลายเป็นเศษหินกองหนึ่ง

“ตาย!”

สวีฉีพุ่งตัวมาจากด้านบนพร้อมกับกวาดหอกเทพสีน้ำเงินในแนวขวาง กลายเป็นเงาหอกกลุ่มหนึ่ง โจมตีใส่ข้อศอกของลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งยกมือขึ้นป้องกันไว้อย่างมั่นคง

เปรี้ยง!

พละกำลังอันมหาศาลทำให้เศษหินข้างใต้เท้าทั้งสองระเบิดอีกครั้ง หลุมใหญ่สีแดงก่ำระเบิดขึ้นบนพื้น

ถัดจากนั้นก็เกิดเสียงประมืออย่างเร่งร้อนขึ้นชุดหนึ่ง ลู่เซิ่งกับสวีฉีสู้กันหลายสิบหลายร้อยกระบวนท่าในพริบตา แต่ยังไม่อาจแบ่งผลแพ้ชนะได้

“กฎเกณฑ์หลัก หนามแหลม!” อยู่ๆ คนคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไปก็ชี้ไปที่สวีฉี

ทั่วร่างของสวีฉีเหมือนมีหนามแหลมสีเขียวอ่อนจำนวนนับไม่ถ้วนงอกขึ้นมาเต็มไปหมด ราวกับสวมใส่เกราะอ่อนอันสมบูรณ์

ชายชราอีกคนเดินเข้ามา เผยไม้เท้าหยาบใหญ่ที่ถูกมือยันไว้ออกมาจากในแขนเสื้อ

“กฎเกณฑ์หลัก คืนความจริง” เขาชี้ไปที่ลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่ารอบๆ ตัวมีพลังงานประหลาดจำนวนไม่น้อยไหลเวียนอย่างรวดเร็ว สนามพลังที่ส่งผลต่อจิตใจตามธรรมชาติของมารหยินบนร่างถูกลดพลังลงไปไม่น้อยในชั่วอึดใจเดียว

“ความสามารถหลักของอาวุธเทพสองชนิดหรือ ไม่เลว!” ลู่เซิ่งใช้สองแขนป้องกันความสามารถโจมตีที่เหมือนกับห่าฝนพายุคลั่งของสวีฉีด้วยความเร็วสูง

“ยังไม่จบ! สะท้อนกลับ!” สวีฉีพลันตวาด หอกเทพในมือโค้งเป็นครึ่งวงกลมในพริบตา ก่อนจะกลับคืนสู่สภาพเดิมในชั่วเสี้ยววินาที พร้อมกับดีดใส่ลู่เซิ่งอย่างดุดัน

ลู่เซิ่งใช้ฝ่ามือป้องกันไว้ กลับรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ตนเองป้องกันคือพลังฝ่ามือที่ตนเองใช้ไปก่อนหน้านี้ซึ่งเหมือนกันอย่างไม่ผิดเพี้ยน พลังนี้แล่นจากแขนขึ้นมาอย่างฉับพลัน และเขายังต้องรับมือพลังของสวีฉีที่พุ่งเข้ามาเป็นชั้นๆ เพิ่มเติม

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งถอยหลังไปหลายก้าว บนมือมีควันสีขาวลอยขึ้น ถึงขั้นที่ผิวของแขนท่อนปลายปริแตก ได้รับบาดเจ็บสถานเบา

“อีกแล้ว!” เขาขมวดคิ้ว

ในฐานะอริยะเจ้า กฎเกณฑ์หลักคือความสามารถทางสายเลือดที่ใช้บ่อยที่สุดและเป็นส่วนพื้นฐานที่สุด

นี่เป็นการยืดขยายสายเลือดที่อริยะเจ้าครอบครอง โดยการใช้กฎเกณฑ์หลักด้วยพลังที่น้อยที่สุด มิหนำซ้ำยังใช้ได้ทุกเวลาด้วย

ตามความเข้าใจของลู่เซิ่ง นี่ก็คือซูเปอร์พาวเวอร์อันเป็นความสามารถพิเศษ เพียงแต่ซูเปอร์พาวเวอร์ของอริยะเจ้าแตกต่างกับความสามารถทั่วไป ส่วนใหญ่มีประสิทธิผลแข็งแกร่งถึงขีดสุด

เทียบกับสวีฉีในตอนนี้ พละกำลังของเขาสู้ลู่เซิ่งไมได้ แม้จะว่องไว แต่ก็ทำอะไรกับการป้องกันของลู่เซิ่งไม่ได้เลย

ทว่าตอนนี้หลังจากได้รับการเสริมพลังจากอีกสองคน กอปรกับการสะท้อนกลับซึ่งเป็นกฎเกณฑ์หลักของตัวเขาเอง อานุภาพจึงเพิ่มขึ้นหลายระดับในพริบตาเดียว

เปรี้ยง!

ลู่เซิ่งใช้ฝ่ามือปะทะกับหอกยาวของสวีฉีอีกครั้ง

นอกจากปลายหอกแล้ว ยังมีพลังงานอันคมกล้าที่ทั้งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่แทงทะลุฝ่ามือของเขาด้วย ต่อให้ลู่เซิ่งจะมีความสำเร็จด้านกายเนื้อสูง แต่ก็ป้องกันพลังทะลุทะลวงที่รุนแรงแบบนี้ไม่ไหว

พรึ่บ

ลู่เซิ่งพับฝ่ามือลง เงาร่างถอยหลังด้วยความเร็วสูง เลือดหลายหยดเพิ่งทะลักออกจากปากแผลก็ไหลกลับไปอย่างรวดเร็ว ความสามารถการฟื้นตัวของร่างกายที่แข็งแกร่งกำลังทำงาน ทว่าปากแผลกลับไม่อาจสมานตัวได้โดยสมบูรณ์เพราะการขัดขวางจากสายฟ้าสีน้ำเงินหลายสาย

สวีฉีที่อยู่ในระดับดาวหยกมีความสามารถที่น่าทึ่งและพลังทำลายล้างมหาศาลเพราะการเสริมพลังจากกฎเกณฑ์หลักสองชนิด โดยที่คนอีกสองคนไม่เข้ามาลงมือ เพียงหลบอยู่ห่างๆ และชมดูลู่เซิ่งกับสวีฉีสู้กัน

“เอาอีก!” ดวงตาลู่เซิ่งฉายความเย็นชา ดาบยาวสีทองเล่มหนึ่งรวมตัวขึ้นกลางฝ่ามือ ก่อนจะฟันใส่สวีฉี

“อานุภาพเทพ!”

ความน่ากลัวจากพลังระเบิดของอานุภาพเทพมีระดับสูงกว่าคร่าวิญญาณ ต่อให้จะเป็นสวีฉีก็หลบไม่พ้นเช่นกัน

ดาบยาวสีทองที่เหมือนกับพายุคลั่งพุ่งไปถึงตรงหน้าสวีฉีในพริบตาเดียวเหมือนกับแสงสายฟ้าสีทอง

เคร้ง!

เขายกมือชูหอกเทพขึ้น เพิ่มความเร็วสุดกำลัง จึงฝืนต้านดาบเล่มนี้ไว้ได้

คลื่นเสียงขนาดยักษ์ระเบิดคฤหาสน์ร้างรอบๆ คนทั้งสองออก วัตถุสิ่งของและซากกำแพงทั้งหมดพากันระเบิดแล้วกระเด็นออกไปรอบๆ

ร่างกายลู่เซิ่งมีควันดำลอยขึ้นไปทั่ว เขาคืนสู่สภาพร่างหลักอย่างฉับพลัน สองกรงเล็บและหางยาวซึ่งมาพร้อมกับพละกำลังอันยิ่งใหญ่ปะทะกับสวีฉีซึ่งหน้า

ทั้งสองเข่นฆ่ากันจนยากแบ่งแยกผลแพ้ชนะ

กล่าวไปอริยะเจ้าก็คือมนุษย์ที่ครอบครองพลังซึ่งแข็งแกร่งเท่าอาวุธเทพ กายเนื้อของอริยะเจ้าส่วนใหญ่ไม่นับว่าแข็งแกร่ง ยกเว้นแต่ลู่เซิ่ง ส่วนสวีฉีอาศัยการเสริมพลังจากสหายทั้งสอง

รังสีแสงสีเขียวที่เหมือนกับหนามแหลมชนิดนั้นทำให้ลู่เซิ่งซึ่งฟาดฝ่ามือใส่เขา ได้รับการสะท้อนกลับซึ่งเป็นกฎเกณฑ์หลักพิเศษ

ส่วนการสะท้อนกลับอันเป็นกฎเกณฑ์หลักของตัวสวีฉีสามารถสะท้อนพละกำลังกายเนื้อส่วนใหญ่ของลู่เซิ่งกลับไปได้

บวกกับแอ่งน้ำกฎเกณฑ์หลักที่คนสุดท้ายปล่อยออกมา ทำให้ผลของสนามพลังพิเศษบนตัวลู่เซิ่งลดลงเหลือระดับน้อยที่สุดได้

นี่จึงเป็นพลังจากกฎเกณฑ์หลักของทั้งสามคน

เหล่าอริยะเจ้าสามารถใช้ความสามารถของกฎเกณฑ์หลักได้ตามใจ อีกทั้งยังใช้แบบกินพื้นที่วงกว้าง จิตวิญญาณอันแข็งแกร่งของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่เพียงแต่ควบคุมพลังของกฎเกณฑ์ได้เท่านั้น ยังสามารถใช้อาวุธสังหารแบบนี้ได้อย่างอิสระด้วย

นี่เป็นพลังส่วนตัวของพวกเขา ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อประสานกับอาวุธเทพเท่านั้น นี่คือแก่นแท้อันแข็งแกร่งที่แท้จริงของอริยะเจ้า

อาวุธเทพจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งถึงขีดสูงสุดเท่านั้นถึงจะกลายเป็นอาวุธเทพคลั่งและใช้กฎเกณฑ์หลักได้อย่างอิสระ ทว่าอานุภาพของพวกมันก็ไม่ได้เข้ากันได้ดีเหมือนจิตวิญญาณของอริยะเจ้าเช่นกัน จึงไม่อาจแข็งแกร่งขนาดได้ขนาดนี้

เห็นได้ชัดว่าลู่เซิ่งต้านไม่ไหวแล้ว หลังจากสวีฉีได้รับการเสริมพลังจากกฎเกณฑ์หลักสามชนิด เขาก็มีพลังที่น่าตกตะลึง จนแทบจะกลายเป็นเม่นที่ทุบตีไม่เข้าแล้ว

บวกกับเขามีความเร็วว่องไวสุดขีด เดิมทีก็เร็วกว่าลู่เซิ่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งได้เปรียบอย่างใหญ่หลวง

“เก้าหอกพิฆาตชีวิต!”

หลังจากทำลายการป้องกันของลู่เซิ่งจนแตก สวีฉีก็คว้าโอกาส โดยเล็งหอกไปที่หน้าผากของอีกฝ่าย แล้วลงมืออย่างสุดกำลัง

ชั่วขณะนั้นหอกเทพเหมือนกลายเป็นเส้นสายสีน้ำเงินสายหนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในทรวงอกของลู่เซิ่งในชั่วเสี้ยววินาที

พรึ่บ!

ตูม!

ร่างของลู่เซิ่งร่วงตกลงด้านล่างพร้อมกับเสียงดังกึกก้อง ทะลุลงไปในพื้นอย่างรุนแรง

คฤหาสน์บนพื้นถล่มลงโดยสมบูรณ์ พื้นดินแยกออกเป็นรอยแตกและร่องแยกหลายสาย แสงสายฟ้าสีดำอมน้ำเงินหลายสายพุ่งออกมาจากร่องแยกตลอดเวลา นั่นเป็นพลังแห่งอาวุธเทพที่ไหลออกมาจากสายฟ้าที่หดตัวบนร่างของลู่เซิ่งในระดับสูง

กฎเกณฑ์หลักผสานกับอัสนีเทพซึ่งเป็นอาวุธเทพ อานุภาพที่บังเกิดขึ้นแม้แต่ลู่เซิ่งก็หาวิธีแก้ไขไม่ได้ชั่วขณะ เพียงชั่วเวลาสั้นๆ ไม่รอให้เขาขบคิดหาวิธีแก้ไขออก ก็ถูกทำลายการป้องกัน แล้วโดนแทงใส่อย่างหนักหน่วงพอดี

“สวรรค์แปลง ระเบิด!” สวีฉีสีหน้าเย็นชาขณะยื่นมือกดลงด้านล่าง

ตูม!

พื้นเกิดเสียงดังสนั่นอีกรอบ แสงสายฟ้ากลุ่มใหญ่ระเบิดขึ้น ในที่สุดตอนนี้กลิ่นอายของลู่เซิ่งที่เหลืออยู่ก่อนหน้านี้ก็หายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

“จบแล้ว” สวีฉีผ่อนลมหายใจ เพื่อฉากนี้ เขาจ่ายด้วยราคามหาศาลให้แก่สหายสนิทสองคนที่ใกล้ชิดกันมากที่สุด จึงทำให้คนทั้งสองลงมือช่วยเหลือได้

มาถึงตอนนี้ ในที่สุดก็จัดการคนผู้นี้ได้แล้ว

“ทางจิ่งหงสถานการณ์ร้ายแรงมาก จะเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว พวกเราจะกลับทันที หากไม่มีพลังวิญญาณรักษาชีวิต เขาจะทนได้อีกไม่นาน!” สวีฉีส่งกระแสเสียงให้คนทั้งสองอย่างรวดเร็ว

“ตกลง” คนทั้งสองไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ สามารถลงมือมาถึงขั้นนี้ได้ก็ถือว่าทำดีที่สุดแล้ว

สวีฉีก็พูดอะไรมากไม่ได้

สุดท้ายเขามองไปที่ด้านล่าง ก่อนจะหมุนตัวบินไปยังที่ไกล

“แย่แล้ว!”

“ระวัง!”

ทันใดนั้นสหายสนิททั้งสองคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ส่งเสียงอุทานออกมา

สวีฉียังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็รู้สึกว่าท่อนล่างปวดแปลบ สี่ทิศแปดทางรอบๆ มีพละกำลังอันมหาศาลพุ่งเข้ามา จากนั้นด้านหน้าก็มืดมัว ไม่รับทราบอะไรสักอย่างแล้ว

ด้านในหลุมยักษ์บนพื้นที่อยู่กลางซากสิ่งปลูกสร้างด้านล่าง ลู่เซิ่งนอนหงายด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ สายฟ้าสีน้ำเงินหลายสายแล่นออกมาจากรูที่ว่างเปล่าขนาดเท่าปากชาม

“นี่คือพลังของกฎเกณฑ์หลักอย่างนั้นหรือ ไม่เลวเลยจริงๆ…” ตอนนี้แขนขวาของเขากลายเป็นกรงเล็บยักษ์ขนาดสามสิบกว่าหมี่แล้ว แถมยังกำลังจับสวีฉีที่อยู่กลางอากาศเอาไว้ พละกำลังอันยิ่งใหญ่บีบร่างที่มีเลือดเนื้อ ตรงร่องแยกมีเลือดหยดลงมาอย่างเลือนราง ทว่าถัดจากเลือดยังมีสายฟ้าสีดำอมม่วงขนาดมหึมาที่กำลังพลิกม้วนอย่างน่ากลัวหลายกลุ่มด้วย คล้ายกับคิดจะดิ้นรนหลุดจากพันธนาการอย่างบ้าคลั่ง

“อย่าทำให้ข้าผิดหวังเล่า…” ลู่เซิ่งลูบบาดแผลที่หน้าอกเบาๆ ดวงตาฉายจิตสังหารที่บ้าระห่ำ

ตูม!

แสงสายฟ้าระเบิดจากกลางฝ่ามือยักษ์ สัตว์ประหลาดมหึมาที่เหมือนกับกิเลนพุ่งลงมาด้านล่าง

“ตาย!” สวีฉีคำราม

“อาศัยเจ้าหรือ!” ลู่เซิ่งผุดสีหน้าคลุ้มคลั่ง ร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ไฟสีดำปกคลุมร่างกายเขาในชั่วเสี้ยววินาที จากนั้นพริบตาเดียวก็เข้าสู่สภาพหยินหยางเป็นหนึ่ง ก่อนจะพุ่งกรงเล็บไปยังท้องฟ้า

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด