ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1400 ดอกท้อบานในฤดูหนาว
ตอนที่ 1400 ดอกท้อบานในฤดูหนาว
สำนักหลิงเซียวเริ่มจัดการเรื่องที่ตามมา ในอีกด้านหนึ่งตระกูลขุนนางจำนวนมากยังอยู่ที่บุพกาลชายแดนเหนือ ในที่สุดพวกเขาก็สามารถสัมผัสได้ว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติไป
บริเวณสุสานขนาดใหญ่ที่อยู่โดยรอบเต็มไปด้วยความเงียบสงบ
ในที่สุดก็มีคนลุกขึ้นยืนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ช่างเถอะ! พวกเจ้าใครอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป ก็อยู่ไปเถอะ! ข้าไม่เอาด้วยแล้ว!”
คำพูดนี้ทำลายความสมดุลที่อยู่ในสถานการณ์นั้นทันที
ทุกคนต่างมองไป และรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
จินตี้เหลือบสายตามองเขาด้วยความเย็นชา ก่อนจะแค่นหัวเราะขึ้นมา
“เหตุใด แค่นี้เจ้าก็อดทนไม่ไหวแล้วหรือ? ก่อนหน้านี้พวกเราพูดกันไว้เสียดิบดี ว่าทุกคนจะเปิดม่านพลังนี้ด้วยกันไม่ใช่หรือ? ตอนนี้จะถอยเสียแล้ว… แต่ก็ช่างเถอะ! ตามใจเจ้า!”
คนน้อยลงหนึ่งคน การแข่งขันก็น้อยลง!
อีกฝ่ายก็ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนแอเช่นกัน
“หึ! จินตี้! เจ้าอย่ามองโลกในแง่ดีมากเกินไป! พวกเรามีคนมากมายขนาดนี้ และเจ้าอยู่ที่นี่มานานขนาดไหนแล้ว? ยังไม่มีความคืบหน้าเลยหรือ? ข้าว่าสถานที่บ้าบอแห่งนี้ คนธรรมดาไม่มีทางเข้ามาได้! อยู่ที่นี่ไปก็เป็นความพยายามที่เปล่าประโยชน์!”
สีหน้าของจินตี้เปลี่ยนเป็นย่ำแย่เล็กน้อย
เพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายนั้นพูดความจริง
คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันเอง
ความจริงแล้วเวลาผ่านมานานขนาดนี้ พวกเขามีความระแวดระวังในใจอยู่ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขารู้สึกไม่ดีที่จะต้องพูดออกไปเป็นคนแรก เหมือนกับกลัวใครสักคนหนึ่ง
ในที่สุดตอนนี้ก็มีคนเริ่มพูดมาก่อนแล้ว ตอนนั้นทำให้ในใจของพวกเขารู้สึกผ่อนคลายลงไป และมีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้น
“คำพูดนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล! ต่อให้มันจะมีสมบัติอยู่ด้านในจริงๆ แต่ถ้าเข้าไปไม่ได้…มันก็เปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ฉู่เยว่ผู้นั้นก็เข้าไปตักตวงด้านในมาแล้ว ใครจะรู้แล้วว่าด้านในจะเหลืออันใดอยู่บ้าง?”
“นั่นสิ! พวกเราก็ไม่รอแล้ว! นี่เราเสียเวลาและเสียกำลังคนไปมากแล้ว!”
“แทนที่จะรอโอกาสเพ้อฝันอยู่ที่นี่ ข้าว่าเอาเวลากลับไปบำเพ็ญเพียรจะดีกว่า!”
มีคนเริ่มเห็นด้วยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
จินตี้รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย
หากพวกเขาจากไปทั้งหมด อาศัยเพียงแค่สำนักปีกสุวรรณของพวกเขา ก็ไม่มีทางเปิดม่านพลังนี้ได้!
และแน่นอนว่าต่อให้พวกเขาร่วมมือกัน ก็เหมือนว่าจะไม่เห็นผลใดๆ
เขามองม่านพลังนั้นอย่างโกรธแค้น
“จริงด้วย เวลาผ่านมานานขนาดนี้แล้ว เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวของสำนักหลิงเซียวมาเลย?”
ทันทีที่คำพูดนี้จบลง ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียบ
ที่จริงแล้วพวกเขาอยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว คนของสำนักหลิงเซียวก็ไม่ได้กลับออกมาเลย
ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้เป็นอย่างใดบ้าง
และยังมีกลุ่มชายชุดดำที่พาตัวฉู่เยว่ไปอีก…
“พวกเขากลับไปแล้ว”
ทันใดนั้นก็มีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้นกลางฝูงชน
ทุกคนหันกลับไปมองโดยพร้อมเพรียง คนที่พูดนั้นคือชายที่เป็นหัวหน้าของเขาหลิงอวิ้น
“เจ้ารู้ได้อย่างใด? ที่บุพกาลชายแดนเหนือมีเรื่องมากมายที่ยังไม่ได้รับความกระจ่าง แล้วพวกเขาจะกลับไปแบบนี้น่ะหรือ?”
จินตี้ถามขึ้นมาอย่างสงสัย
“เจ้าอย่าพูดขึ้นมาอย่างล้อเล่นเพื่อหลอกพวกเราได้หรือไม่?”
ชายผู้นั้นเก็บของที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน
ตระกูลเหลี่ยงได้เริ่มตรวจสอบจากคำพูดของเหลี่ยงเส่าคังแล้ว เห็นได้ชัดว่าคนของสำนักหลิงเซียวกลุ่มนั้นกลับไปตั้งนานแล้ว!
ยังดีที่พวกเขารักษาคำพูด ไม่ได้เปิดเผยการกระทำของเขาหลิงอวิ้น
แต่บนโลกนี้หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง พวกเรารีบกลับไปเตรียมตัวจะดีกว่า!
คนที่อยู่ด้านหลังเขาก็เริ่มรวมตัวแล้วเช่นกัน
“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า เรื่องสนุกสนานเหล่านี้…พวกเราเขาหลิงอวิ้น ไม่ขอร่วมด้วย! เชิญทุกท่านตามสบาย!”
หลังจากที่พูดจบประโยคนี้แล้ว คาดไม่ถึงว่าชายคนนั้นจะพาคนออกไปในทันที
“นี่มัน…”
คนที่ถูกทิ้งไว้ด้านหลังต่างตกตะลึง
การจากไปแบบนี้มันจะกะทันหันเกินไปหรือไม่?
เมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มต้นขึ้น หากคนที่เหลือคิดจะจากไป ก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นมาก
“สำนักหลิงเซียวไปกันหมดแล้ว เช่นนั้น…ที่แห่งนี้จะมีปัญหาอันใดหรือไม่?”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ไปด้วยดีกว่า… การนั่งรออยู่ที่แห่งนี้มันไม่ได้สนุกอันใดเลย!”
…
เมื่อกล่าวเช่นนั้น กองกำลังต่างๆ ก็ทยอยกันจากไปจริงๆ
เดิมทีจินตี้อยากจะต่อต้านอยู่อีกสักพัก แต่หลังจากเห็นว่าทุกคนจากไปแล้ว เขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปสักพัก และเขาก็ทดลองอยู่หลายครั้ง พบว่าไม่สามารถทะลวงม่านพลังนี้ได้จริงๆ จึงได้แต่ต้องยอมแพ้ไป
สุดท้ายเขาก็นำคนจากไป
ในที่สุดตอนนั้นเองบริเวณโดยรอบของสุสานก็เกิดความเงียบสงบขึ้นมาอีกครั้ง
เสียงลมพายุพัดแรงอย่างบ้าคลั่ง ท้องฟ้ามีหิมะโปรยปรายขึ้นมาอีกครั้ง
มังกรทั้งเก้าที่อยู่ในหุบเขานั้นยังคงนิ่งเงียบไม่ขยับเคลื่อนไหว เหมือนกับว่าได้ถูกทำลายไปทั้งหมดแล้ว
มีเพียงม่านพลังสีเงินที่อยู่ภายนอกสุสานกะพริบแสงขึ้นมา
เหมือนว่ามันกำลังตื่นขึ้นจากการหลับใหล
…
เขาจิ่วเหิง
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉู่หลิวเยว่นอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาสามวันแล้ว
นางไม่ได้รับรู้เรื่องที่เกิดภายนอกเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่เสมือนฉากกั้นได้ปิดกั้นเสียงจากภายนอกทั้งหมด
และในช่วงเวลาสามวันที่ผ่านมานี้ก็มีหรงซิวคอยเคียงข้างอยู่เสมอ
ทุกเช้าจะมีผู้อาวุโสวั่นเจิงมาเยี่ยมเยือนหนึ่งครั้ง และดูสถานการณ์ของฉู่หลิวเยว่
เมื่อเห็นว่านางยังไม่ตื่น ภายในใจของผู้อาวุโสวั่นเจิงก็รู้สึกวิตกกังวลขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว หรงซิวเหมือนจะไม่ได้วิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย
ผู้อาวุโสวั่นเจิงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากระงับอารมณ์ของตนเองและรอคอยอย่างอดทน
โชคดีที่สภาพร่างกายของฉู่หลิวเยว่นั้นฟื้นตัวได้เร็วอย่างที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
อีกทั้งลมปราณบนร่างกายของนางก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ผู้อาวุโสวั่นเจิงคิดว่าเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางเคยไปทะลวงบุพกาลชายแดนเหนือมา จึงได้รับโอกาสนี้มา เขาจึงไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก
…เด็กคนนี้สามารถเลื่อนขั้นจากจอมยุทธ์ระดับแปดไปสู่ระดับเก้าภายในไม่กี่วัน ต่อให้เกิดเรื่องอย่างอื่นอีก ก็ไม่ได้ทำให้คนตกใจไปมากกว่านี้แล้ว
แต่น่าเสียดาย ฉู่หลิวเยว่ไม่ยอมตื่นขึ้นมาเสียที สำนักได้ตรวจสอบเรื่องที่เกี่ยวกับบุพกาลชายแดนเหนือแล้ว แต่มันไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อมีหรงซิวอยู่ พวกเขาก็ไม่อยากจะมารบกวน จึงทำได้เพียงรอต่อไปเท่านั้น
…
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าตัวของนางกำลังตกอยู่ในความฝันที่ยาวนาน
ในความฝันนั้น นางมีอีกชื่อหนึ่ง และยังมีตัวตนอีกตัวตนหนึ่ง
นางยังคงได้ยินเสียงคนเรียกชื่อนางอยู่
แม้ว่านางจะไม่สามารถฟังได้อย่างชัดเจนว่าชื่อนั้นคือชื่ออันใด แต่นางก็รู้ว่า อีกฝ่ายกำลังเรียกนางอยู่
ด้านข้างของนาง เหมือนมีใครบางคนยืนอยู่ด้วยตลอดเวลา
นางอยากจะมองหน้าอีกฝ่ายให้ชัดเจน แต่ก็ไม่สามารถทำได้
นางรู้สึกว่าคนพวกนี้มีความคล้ายกับหรงซิวเป็นอย่างมาก แต่สำหรับความรู้สึกแล้ว มันไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด
นางรู้สึกสงสัยเล็กน้อย คิ้วขมวดขึ้นเป็นปม
ต่อมานางก็ฝันเห็นภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
นั่นคือวันที่หิมะตกหนัก
หิมะร่วงหล่นราวกับขนห่าน ฟ้าดินเป็นสีขาวโพลน เหมือนว่าจะถูกปกคลุมไปทั้งหมด
มีเพียงสถานที่เดียวเท่านั้นที่เป็นสถานที่พิเศษ… ที่แห่งนั้นมีดอกท้อเป็นจำนวนมาก บานสะพรั่งท่ามกลางความหนาวและหิมะ
กลีบดอกไม้สีชมพูอ่อนพลิ้วไหวตามลมหนาว ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เพียงแค่ดมเล็กน้อย กลิ่นนั้นก็ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ
เกล็ดหิมะร่วงหล่นใส่กลีบดอกไม้ สดใสราวกับผลึก
นางหันกลับไปมอง แล้วยิ้มให้กับคนผู้นั้น
“ดูสิ! ข้าบอกแล้วว่าดอกท้อสามารถบานในฤดูหนาวได้!”
เหมือนว่าคนพวกนั้นจะหัวเราะเสียงต่ำหนึ่งเสียง แล้วเดินมาหานาง
เขาขยับเข้ามาใกล้เรื่อยๆ
“แกร๊ก…”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ความฝันทั้งหมดแตกสลายไปในชั่วพริบตา!
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
Comments