ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1401 โอรสสวรรค์บอกว่าเขาลำบากมาก
ตอนที่ 1401 โอรสสวรรค์บอกว่าเขาลำบากมาก
นางลุกขึ้นมานั่ง ก่อนจะมองตามทิศทางของเสียง
ประตูบานใหญ่ถูกเปิดออกมา ศีรษะขนาดใหญ่ที่มีขนยาวปกคลุมปรากฏขึ้นมา
การกระทำของมันหยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน ก่อนจะมองไปยังถ้วยชาที่ตกลงตรงหน้าอย่างทำอันใดไม่ถูก คิดไม่ถึงว่าการเคลื่อนไหวที่ “ละเอียดอ่อน” ของตนเองจะดึงดูดความสนใจมากมายขนาดนี้
…ใครจะไปคิดเล่าว่า จะมีคนวางน้ำชาเอาไว้ที่หน้าประตูน่ะ?
เฮ้ย!
คนบางคนก็เกินไปจริงๆ!
เหมือนกับสามารถรับรู้สายตาการจ้องมองของนางได้ มันค่อยๆ หันคอที่แข็งทื่อมามองทางนี้
หนึ่งคนหนึ่งสัตว์อสูร สายตาทั้งสี่ประสานกัน
ดวงตาสีน้ำเงินราวกับน้ำแข็งคู่นั้น เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย แววตามีประกายตื่นตระหนกอยู่หลายส่วน
จากนั้นมันก็กะพริบตาปริบๆ
ฟื้น… ฟื้นแล้ว?
เมื่อเห็นใบหน้าที่แข็งค้างของเสวี่ยเสวี่ย ฉู่หลิวเยว่ก็อดที่จะหัวเราะออกเสียงไม่ได้ พร้อมกับโบกมือเรียกมัน
“เสวี่ยเสวี่ย เหม่อเหตุใดล่ะ มานี่สิ”
“โฮก…”
เสวี่ยเสวี่ยคำรามออกมาด้วยความดีใจ จากนั้นก็รีบพุ่งไปหาฉู่หลิวเยว่ด้วยความรวดเร็ว!
มันกระโดดขึ้น พุ่งตัวจากหน้าประตูสู่อ้อมกอดของฉู่หลิวเยว่!
“หื้อ?”
เสียงที่เย็นชาทุ้มต่ำดังออกมาจากนอกประตู
เสวี่ยเสวี่ยรู้สึกระวังตัวขึ้นมา และหยุดชะงักอย่างกะทันหัน! ในตอนนั้นมันหยุดห่างจากร่างของฉู่หลิวเยว่เพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น!
ศีรษะอันใหญ่โตของมันเกือบจะปะทะเข้ากับใบหน้าของฉู่หลิวเยว่แล้ว
ทุกอย่างเหมือนหยุดแช่แข็ง
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังจมูกเปียกชื้นของมันที่อยู่ตรงหน้า และยังมีดวงตาคู่โตที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและรู้สึกผิด หางตาของนางกระตุกขึ้นเล็กน้อย
มือข้างหนึ่งที่แตกต่างไปปรากฏขึ้นตรงประตูใหญ่ จากนั้นก็ค่อยๆ ผลักบานประตูออก
หรงซิวเดินเข้ามาหา
เหมือนว่าในตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นย่ำแล้ว แสงอาทิตย์สาดกระทบร่างกายของเขา แสงสีทองอ่อนๆ ทำให้เขาดูเหมือนพระเจ้าที่เดินออกมาจากภาพวาด
ดวงตาหงส์ที่ลึกล้ำกระจ่างใสมองไปทางฉู่หลิวเยว่ มุมปากสีแดงเข้มยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“เยว่เออร์ เจ้าตื่นแล้วหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาก็สามารถเดาได้จึงรีบเดินเข้ามา
ฉู่หลิวเยว่มองใบหน้าของเขา
แสงที่อยู่ด้านหลังปกคลุมใบหน้าของเขา กระจ่างใสราวกับหยก เหมือนมีผ้าคลุมที่มองไม่ชัดเจนคลุมเอาไว้หนึ่งชั้น
“หรงซิว”
นางเอียงคอมอง
“เหมือนว่าข้า…จะฝันเห็นเจ้า”
ดวงตาของหรงซิวขยับเล็กน้อย พร้อมมองมาทางนี้
เขาเดินมาอย่างสงบ ร่างกายมีรัศมีเยือกเย็นและสูงศักดิ์แผ่กระจายออกมา
“งั้นหรือ?”
เขาหยุดยืนที่ข้างเตียง เขากวาดสายตามองเสวี่ยเสวี่ยที่อยู่ด้านข้างเบาๆ
เสวี่ยเสวี่ยตัวสั่นสะท้าน มันกลับหลังหันแล้ววิ่งหนีไปทันที
“ฝันเห็นอันใดหรือ?”
หรงซิวนั่งลงที่ข้างเตียง จับมือของนางไว้ แล้วเอ่ยถามเสียงเบา
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่ใบหน้าของเขา เหมือนว่าอยากจะเห็นอันใดบางอย่างจากสายตาของเขา
นางยิ้มออกมา
“ฝันว่า…ข้าพาเจ้าไปดูดอกท้อที่บานสะพรั่งกลางฤดูหนาว”
สีหน้าของหรงซิวไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย แต่รูม่านตาลึกขึ้น เหมือนมีระลอกคลื่นพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
“งดงามหรือไม่?”
เขายื่นมือข้างหนึ่งมาลูบใบหน้าของนาง มุมปากยกยิ้มขึ้น
ลมปราณอุ่นร้อนแผ่กระจายออกมาจากฝ่ามือ แฝงไปด้วยความคิดถึงและความอ่อนโยน
ภายในใจของฉู่หลิวเยว่สั่นไหว ทันใดนั้นเองความเหนื่อยล้าก็พวยพุ่งขึ้นมา
นางจับฝ่ามือของหรงซิวให้แนบชิดกับใบหน้าของตนเองเบาๆ
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย
แต่วินาทีต่อมา ฉู่หลิวเยว่ก็เงยหน้าขึ้นพร้อมมองมาทางเขา
อาจจะเป็นเพราะว่านางเพิ่งตื่น หรือเป็นเพราะฝันนั้นลึกซึ้งและซับซ้อนมากเกินไป จึงทำให้หัวใจและร่างกายของนางเหนื่อยล้า
น้ำเสียงของนางเริ่มเกียจคร้านและลากยาวเล็กน้อย ดูนุ่มนวลและออดอ้อนเพิ่มขึ้นหลายส่วน
“หรงซิว…”
นางพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา แต่กลับเหมือนมีเส้นไหมมาพันรอบหัวใจของเขาเบาๆ
ทันใดนั้นเองหัวใจของเขาก็อ่อนยวบ เขาขยับเข้ามาใกล้เล็กน้อย และถือโอกาสดึงคนผู้นั้นเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะกดจูบลงที่กลางหน้าผากของนาง
“ดูกับเจ้าถึงจะงดงาม”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำเสียงเบา
เสียงนั้นไม่ดังมาก แต่กลับได้ยินอย่างชัดเจน
เขาจึงยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ แม้กระทั่งหางตายังมีประกายรอยยิ้ม
“จริงหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่แนบซบอยู่ที่ไหล่ของเขา แล้วพยักหน้าเบาๆ
“แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ในความฝันข้าจึงเห็นใบหน้าของเจ้าไม่ชัดเจน”
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย และบีบที่ติ่งหูของนางเบาๆ
“ข้าอยู่ตรงนี้ เจ้าอยากจะมองอย่างใด ก็มองได้เลย”
ฉู่หลิวเยว่แอบอิงในอ้อมกอดของเขาสักพัก และรู้สึกว่าพละกำลังฟื้นตัวมาไม่น้อยแล้ว จึงได้เตรียมตัวลุกขึ้นยืน
นางหันมามองเขา ดวงตาสุขสกาวราวกับดวงดาว
ทันใดนั้นเอง นางก็โน้มตัวขึ้นไปด้านหน้า พร้อมกดจูบที่ริมฝีปากของเขาอย่างแผ่วเบา
“เจ้าพูดได้ถูกต้อง!”
เขาเป็นของนาง อีกทั้งเขายังอยู่ตรงนี้ ยังจะมีอันใดที่ต้องลังเลอีกล่ะ?
ดวงตาของหรงซิวลึกล้ำขึ้น
แต่อย่างใดก็ตาม ในตอนที่เขาต้องการจะสานต่อ ฉู่หลิวเยว่ก็พูดขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า
“หรงซิว เจ้าช่วยอันใดข้าสักอย่างได้หรือไม่?”
หรงซิวเงียบไปชั่วครู่
“ช่วยอันใดหรือ?”
“ข้าอยาก…”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่มีความลังเลใจปรากฏขึ้นอยู่หลายส่วน
“ข้าอยาก… ไปที่เขาเฝิงหมิน”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เพราะ?”
“ไม่มีเหตุผล”
ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น จากนั้นก็ถอยหลังไปครึ่งส่วน ตั้งใจจะยกผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้น
ผ้าห่มถูกยกออกไปครึ่งหนึ่ง การเคลื่อนไหวของนางหยุดชะงักไปทันที
หลังจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า สายตามองไปทางหรงซิวอย่างมึนงง
“ข้า… หลับไปนานเท่าไรแล้วหรือ?”
นางรู้เพียงแค่ว่า นางถูกหรงซิวพาตัวกลับมาจากบุพกาลชายแดนเหนือมายังเขาจิ่วเหิง แต่นางไม่รู้เลยว่าระหว่างทางที่ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว
สีหน้าของหรงซิวสงบนิ่ง
“เจ็ดวัน”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกขึ้นอย่างดุเดือด
นางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ก่อนจะถามขึ้นมาว่า
“… เช่นนั้น… ในเจ็ดวันนี้… เสื้อผ้าของข้า…”
“ข้าเป็นคนช่วยเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง ส่วนยาก็มีข้าเป็นคนป้อน”
เหมือนหรงซิวจะรู้ว่านางต้องการจะถามอันใด จึงตอบออกมาอย่างไหลลื่น
เขาขยับตัวเข้ามาใกล้อย่างกะทันหัน สองมือเท้าที่ด้านข้างลำตัวของฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่ขยับตัวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งร่างกายของนางชนกับหัวเตียง ถึงได้หยุดตัวลง
หรงซิวขยับเข้ามาใกล้อย่างไร้เสียง ระยะห่างของทั้งสองคนนั้นแคบลงมาอย่างรวดเร็ว
สุดท้ายลมหายใจของพวกเขาทั้งสองก็ประสานกัน
ในแววตาของเขามีลำแสงหลายพันสาย ทำให้คนรู้สึกหลงใหลงมงาย
บนโลกนี้ หากมีผู้หญิงคนใดที่ได้จ้องมองเข้ามาในแววตาของเขาก็คงยากที่จะหลบหนีได้
“เช่นนั้น… เช่นนั้น…”
ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่เห่อร้อนขึ้นมาในทันที ทั่วทั้งร่างกายของนางก็รู้สึกร้อนรุ่ม
“เลือดบนร่างกายของข้า…”
“คราบเลือดสกปรกเหล่านั้น ควรจะทำความสะอาดให้เร็วที่สุดถึงจะดี ไม่อย่างนั้นหากปล่อยเวลานานไป บาดแผลจะอักเสบและเป็นแผลเป็นได้ ไม่ใช่หรือ?”
หรงซิวพูดต่อจากนาง
“ภายในสำนักไม่มีใครสามารถทำแบบนี้ได้ มีเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น… เจ้าไม่อยากให้ฐานะของตัวเองเปิดเผยไม่ใช่หรือ?”
เขาขยับเข้ามาใกล้มาก ตอนที่เขาพูดนั้น ลมหายใจอุ่นๆ ยังพ่นไปที่ลำคอและใบหูของนาง
เหมือนกับไฟลามทุ่ง
ในตอนนั้นฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถฟังคำพูดของเขาอย่างชัดเจนได้ นางรู้สึกเหมือนมีกรงเล็บมาข่วนที่หัวใจเบาๆ ทำให้นางรู้สึกจิตใจฟุ้งซ่าน
“เยว่เออร์วางใจเถอะ เพื่อทำให้บาดแผลของเจ้าหายเร็วที่สุด หลายวันมานี้ ข้าได้ช่วยเจ้า…”
ในที่สุดฉู่หลิวเยว่ก็ทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว เขาคว้าคอเสื้อของเขาไว้ แล้วดึงเขาลงมาประกบปากจูบ
แววตาของนางเหมือนมีประกายไฟจากความกรุ่นโกรธ มันทั้งร้อนแรงและสดใส
ดูซิว่าเจ้ายังจะพูดได้อีกหรือไม่!
ทันใดนั้นหรงซิวก็ทอดถอนหายใจเสียงต่ำ คำพูดของเขาเลือนราง
“เยว่เออร์ ความจริงแล้ว… ข้าก็ลำบากมากทีเดียว…”
Comments