ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1414 ความสัมพันธ์ของข้ากับนาง
ตอนที่ 1414 ความสัมพันธ์ของข้ากับนาง
น้ำเสียงของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเย็นชาขึ้นสามส่วน
“แต่ตอนนี้ฉู่เยว่ถูกขังอยู่ในเขาเฝิงหมิน…”
“จะขังหรือว่าจะปล่อย ก็อยู่ที่คำพูดของท่านเพียงคำเดียวไม่ใช่หรือ?”
จินตี้ลูบคางของตัวเอง แล้วยิ้มออกมาอย่างเย็นยะเยือก
“หรือว่าที่พวกเรามากันมากขนาดนี้ ก็ยังไม่สามารถเชิญเขาออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”
คนอื่นคิดอย่างใดนั้นเขาไม่สนใจ
แต่ในเมื่อวันนี้เขามาแล้ว ก็ไม่อาจปล่อยให้มันจบอย่างง่ายดายเช่นนี้!
คนอื่นกลัวว่าจะล่วงเกินสำนักหลิงเซียว แต่เขาไม่กลัว!
เพราะอย่างใดก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว
จินตี้พูดออกมาเช่นนี้ ในตอนนั้นเองก็ทำให้คนเหล่านั้นที่กำลังลังเลเปลี่ยนใจไปอีกครั้ง
ใช่แล้ว!
ที่พวกเขามาในครั้งนี้ ต้องสูญเสียพละกำลังไปไม่น้อย ถ้าจะให้ตกลงกันเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าพวกเขามาเสียเที่ยวงั้นหรือ?
“สิ่งที่จินตี้พูดมาก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน ท่านไปเรียกฉู่เยว่ออกมาเถอะ เพื่อส่วนรวม”
“ใช่แล้ว! ไม่ว่าอย่างใดทุกคนก็อยู่ที่นี่หมดแล้ว พวกเราไม่มีทางทำอันใดเขาเด็ดขาด”
“ยิ่งไปกว่านั้น เขาน่าจะเป็นคนที่รู้เรื่องมากที่สุด ดังนั้นการสอบถามกับเขาโดยตรงน่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการตรวจสอบแบบแมลงวันไม่มีหัวอย่างพวกเรา”
ความคิดของทุกคนปั่นป่วนไปอีกครั้ง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอามือทั้งสองข้างไพล่หลัง มือนั้นกำหมัดแน่น
คนเหล่านี้…
ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถส่งคนเหล่านี้ออกไปได้!
สายตาของเขาเย็นชาเล็กน้อย ในตอนที่เขากำลังพูดขึ้น ด้านหลังของเขาก็มีเสียงทุ้มต่ำดังแทรกขึ้นมา
“ตอนนี้ฉู่เยว่ไม่สามารถออกมาได้ ทุกท่านมีคำถามอันใด สามารถถามข้ามาได้เลย”
ทุกคนหันไปมองโดยพร้อมเพรียง ตอนนั้นความเงียบจึงเข้ามาปกคลุม
ชายคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งหล่อเหลาเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า
ตั้งแต่บนลงล่าง จากภายในสู่ภายนอก ดูเหมือนเขาได้เอาความสง่างามของโลกใบนี้ไปทั้งหมดแล้ว ไม่มีจุดไหนที่ไม่สมบูรณ์แบบเลย เป็นยอดคนของจริง งดงามเหนือมนุษย์ทั่วไป
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนชะงักไปเล็กน้อย
“หรงซิว? เจ้ามาได้อย่างใด?”
ริมฝีปากสีแดงเข้มของหรงซิวยกยิ้มเล็กน้อย ทำให้เกิดส่วนโค้งที่จางมาก
“ยากนักที่ที่แห่งนี้จะครึกครื้น ยิ่งไปกว่านั้น… ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพบบุคคลสำคัญของอาณาจักรเสิ่นซวี่พร้อมกันในคราวเดียว องค์ชายอย่างข้าจึงต้องการมาดูเสียหน่อย”
เขาเรียกแทนตนเองว่า… องค์ชาย
เขาไม่ได้พูดอยู่ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียวแห่งนี้ แต่พูดในฐานะโอรสสวรรค์แห่งราชวังเมฆาสวรรค์!
รูม่านตาของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขยับเล็กน้อย
หรงซิวสาวเท้าเดินก้าวเข้ามาด้านหน้า สายตาเย็นชาไม่แยแส พร้อมกวาดสายตามองทุกคนอย่างไร้เสียง
ทุกคนแสดงสีหน้าแตกต่างกันออกไป
คนส่วนใหญ่ในจำนวนพวกเขาแทบจะไม่เคยเจอหรงซิวมาก่อนเลย
แต่ชื่อเสียงของโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์เป็นที่รู้จักของทุกคน ตั้งแต่เขารับตำแหน่งจนถึงตอนนี้ ก็เพียงผ่านไปเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
อีกทั้งเขายังเป็นมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง หาตัวจับยาก
ตระกูลชนชั้นสูงที่อยู่ภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่จำนวนมากก็ถือว่าอยู่ห่างไกลจากเขา ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องใหญ่อันใด โดยทั่วไปแล้วจะไม่ค่อยได้ติดต่อกัน และแน่นอนว่าจึงไม่มีโอกาสได้พบเจอกันเลย
แต่เมื่อเห็นในตอนนี้แล้ว ก็สมคำร่ำลือจริงๆ
แม้เขาจะอายุยังน้อย แต่ลมปราณของเขาก็ยอดเยี่ยมกว่าคนหนุ่มที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้เสียอีก ไม่มีด้อยกว่าใครคนไหนเลย!
“หรงซิว เจ้าหมายความว่า… เจ้าสามารถพูดแทนฉู่เยว่ได้อย่างนั้นหรือ?”
น้ำเสียงของจินตี้เต็มไปด้วยความสงสัย
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็หมายความว่า เจ้ารู้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบุพการชายแดนเหนือกับเขาอย่างนั้นหรือ?”
หรงซิวหัวเราะขึ้นมา แล้วถามกลับ
“นี่เจ้ามีสิทธิ์สงสัยองค์ชายอย่างข้าหรือ?”
จินตี้สะอึกไป ตอนที่เขากำลังจะโต้เถียงด้วยความโกรธ สายตาของเขาก็ปะทะกับแอ่งน้ำแข็งลึกล้ำในดวงตาของหรงซิว
ในตอนนั้นเองความเย็นยะเยือกก็พวยพุ่งเข้ามาในหัวใจของเขา เพลิงโกรธมอดดับลงไปมากกว่าครึ่ง
สายตาที่เย็นชาและไม่แยแส ทำให้คนนึกถึง… ฐานะที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้าม เขามีคุณสมบัติที่จะพูดเช่นนี้ด้วยหรือไร!
หรงซิวเป็นโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ และที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้เขาเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในที่แห่งนี้!
มีเพียงแค่ประมุขสำนักปีกสุวรรณเท่านั้นที่มีฐานะเทียบเท่ากับเขา
แต่จินตี้ไม่มีคุณสมบัตินี้ด้วยซ้ำ
…ต่อให้เขามีอายุมากกว่า มีความเป็นอาวุโสกว่า แต่มันก็ไม่เพียงพอ!
บรรยากาศถูกแช่แข็งและเย็นยะเยือกขึ้นมา
บางทีพวกเขาจะกล้าข่มขู่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน แต่กลับไม่กล้าทำอย่างนั้นกับหรงซิว
เพราะว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนไม่กล้าใช้ทั้งสำนักลงเดิมพัน แต่มีอำนาจทั้งหมดของพระราชวังเมฆาสวรรค์ และสามารถต่อสู้กับพวกเขาได้จนถึงที่สุด!
เขาสามารถฆ่าคนได้โดยไม่กะพริบตา
หลายปีที่ผ่านมานี้ มีข่าวลือเกี่ยวกับโอรสสวรรค์ออกมาไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วเต็มไปด้วยข่าวโหดร้ายและกระหายเลือด
แม้กระทั่งตำหนักหวู่ซวงหนึ่งในยี่สิบแปดเผ่าของพระราชวังเมฆาสวรรค์ก็ยังถูกทำลายไปแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนอื่นเลย
หลังจากผ่านไปสักพักก็มีคนถามขึ้นมาว่า
“หรงซิว ตอนนี้เจ้า…จะใช้ฐานะใดมาตอบคำถามเหล่านี้แทนฉู่เยว่เล่า?”
ทุกคนหูผึ่งในทันที
แม้กระทั่งผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็ยังรู้สึกหวั่นวิตกไป
ความจริงแล้วคำพูดนี้ กำลังถามว่าพวกเขามีความสัมพันธ์อย่างใดกันแน่?
คำตอบของหรงซิว สามารถตัดสินท่าทีที่พวกเขาปฏิบัติต่อฉู่เยว่ในอนาคตได้เลย ดังนั้นมันจึงสำคัญอย่างมาก
ท่ามกลางความเงียบ หรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นมา มุมปากกระตุกยิ้มสามส่วน
“หากจะต้องให้สถานะกับนาง… ถ้าอย่างนั้นข้าก็คือญาติสายตรงของนาง”
“ตอนนี้พวกเจ้ามีอันใดจะถามก็ถามมาได้เลย”
…
ทะเลทรายจันทราสีชาด
ตอนนี้เป็นช่วงเวลากลางวัน แสงอาทิตย์ส่องกลางศีรษะ
ทรายสีเหลืองพัดปลิว อากาศดูเหมือนบิดเบี้ยวจากคลื่นความร้อน
เงาร่างที่สง่างาม แข็งแรงร่างหนึ่ง ปรากฏตัวขึ้นบนเนินทราย!
ทันใดนั้นทรายที่อยู่บริเวณโดยรอบก็เกิดการควบแน่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ชั่วพริบตา ก็เกิดเป็นทรายหลายลูก! พร้อมพุ่งไปทางคนผู้นั้นจากสี่ทิศแปดทาง!
พรึ่บ!
เงาร่างของคนผู้นั้นหายไปจากตำแหน่งเดิมทันที!
ก้อนทรายเหล่านั้นปะทะกันเอง จากนั้นก็กระจายตัวไปอย่างรวดเร็ว
วินาทีต่อมาเงาร่างนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้งบนเนินทรายอีกแห่งที่ห่างออกไปประมาณสิบลี้!
พรึ่บ!
ก้อนทรายก้อนหนึ่งรวมตัวกันเป็นหมัด ก่อนจะโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่าอย่างกะทันหัน พร้อมโจมตีไปยังด้านหลังของคนผู้นั้น!
แต่เหมือนว่าด้านหลังของชายคนนั้นมีดวงตางอกออกมา เขาเบี่ยงตัวหลบ แล้วพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว! สามารถหลบการโจมตีครั้งนี้ได้อย่างหวุดหวิด!
ในขณะเดียวกันนั้นฝีเท้าของนางก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พร้อมเตะขายาวๆ ทันที!
ตู้ม!
หมัดที่อัดแน่นด้วยทราย ถูกลูกเตะนั้นเตะกระจายในทันที!
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในที่สุดเงาร่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก นางยืดตัวขึ้น พร้อมยิ้มออกมาอย่างสดใส ดวงตาเปล่งประกาย
และคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นางคือมู่หงอวี่ที่ฉู่หลิวเยว่ส่งนางมาฝึกวิทยายุทธ์ในที่แห่งนี้!
นางอยู่ที่นี่มาหลายเดือนแล้ว เดิมทีใบหน้าที่ขาวใสของนาง ตอนนี้ตากแดดจนกลายเป็นสีคล้ำแล้ว
นางต้องฝึกฝนอย่างหนักทุกวัน แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน แต่ยังดีที่นางกัดฟันยืนหยัดต่อไป
“ผู้อาวุโสลำดับห้า เหมือนว่าครั้งนี้ข้าจะผ่านการทดสอบแล้วละมั้ง?”
Comments