ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1054 พระชายา

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 1054 พระชายา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1054 พระชายา

อาจเป็นเพราะภาพลักษณ์ของนางในตอนนี้ดูธรรมดาสามัญมากๆ แต่เป็นถึงเซียนหมอมากความสามารถ

หรืออาจจะเป็นเพราะตู๋กูโม่เป่าที่เกิดมาน่ารักน่าชังเกินไป จนทำให้พี่สาวทั้งสามตกหลุมรักและเอ็นดูเด็กนี่ราวกับมารดาคนหนึ่ง

ตลอดทางที่ไปยังค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกนางปฏิบัติต่อฉู่หลิวเยว่และตู๋กูโม่เป่าเป็นอย่างดี

หลายคนล้อมรอบพวกเขาไว้พร้อมตั้งคำถามมากมาย เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้สนใจในตัวสองแม่ลูกมาก

พอเป็นเช่นนั้นฉู่หลิวเยว่ก็พลันโล่งใจ และหันไปพูดคุยกับพวกนางเป็นครั้งคราว

ทว่าทางด้านตู๋กูโม่เป่ากลับทำหน้าตาบึ้งตึง แผ่รัศมีเย็นยะเยือกออกมาไม่หยุด

แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ตัวเขานั้นไม่ต่างจากก้อนหิมะสีขาวนุ่มฟูเลยสักนิด ส่งผลให้รัศมีเย็นๆ นั่นไม่เกิดผลอันใดเลย

หากไม่ได้ฉู่หลิวเยว่ช่วยกันท่าพี่สาวเหล่านั้นล่ะก็ ใบหน้าอันสูงส่งของตู๋กูโม่เป่าผู้นี้ คงจะถูกบีบนวดลูบคลำจนเกิดมลทินแน่ๆ

ด้วยประการฉะนี้ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงที่หมาย

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นแล้วมองไปข้างหน้า

สถานที่แห่งนี้คือจัตุรัสขนาดใหญ่

ตรงกลางของจัตุรัสมีค่ายกลเคลื่อนย้ายทรงกลมสีดำตั้งอยู่

และบนค่ายกลก็มีรูปสลักบางอย่างติดไว้…มันคือสัญลักษณ์ของตระกูลหลิน!

รอบๆ ค่ายกลไม่มีใครอยู่เลยสักคน แต่ห่างออกไปก็ยังมีทหารยามที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยยืนเฝ้าอยู่หลายนาย

บ่งบอกถึงกฎเกณฑ์อันเคร่งครัดและบรรยากาศอันแสนจะกดดัน

หลังจากมาถึงที่นี่แล้ว ท่าทีของทุกคนก็พลันเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา

ท่ามกลางบรรยากาศอันคลุมเครือ แฝงไปด้วยความเกรงกลัวที่ยากจะอธิบาย

หลินเทียนเฟิงมองไปรอบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วและถามว่า

“อวี้เออร์ล่ะ?”

ตามกฎแล้ว หลู่อวี้เออร์จะต้องมาถึงที่นี่ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อรอส่งพวกเขาออกไป

ทว่าตอนนี้ ในขณะที่ทุกคนมาครบแล้ว แต่เขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของหลู่อวี้เออร์

ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้เป็นหัวหน้ากองรักษาการณ์ก้าวเท้าออกมา และกล่าวด้วยความเคารพ

“เรียนท่านประมุข เมื่อครู่นี้นายหญิง…นางขอตัวออกไปจัดการธุระด่วนขอรับ”

แต่ธุระอันใดมันจะสำคัญกว่าการมาส่งพวกเขากัน?

ไม่ต้องคิดให้เสียเวลาหลินเทียนเฟิงก็รู้ว่าเกิดเรื่องอันใด พลันทำหน้าเย็นชาขึ้นมาทันที

“เกิดเรื่องขึ้นที่ตระกูลหลู่อีกแล้วหรือ?”

“คือว่า…” ชายคนนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลดเสียงลง “ข้าน้อยได้ยินมาว่า มีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของคุณชายหลู่ขอรับ…”

“หือ ปกติเจ้านั่นแข็งแกร่งมากมิใช่หรือ แล้วจะเกิดเรื่องอันใดกับเขาได้?”

การที่หลู่อี้ไม่ฟังความนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่ถึงขั้นที่หลู่อวี้เออร์ทิ้งเขาไปจัดการด้วยตัวเองนี่สิ!

แค่เพื่อน้องชายจอมเอาแต่ใจของนาง นางถึงกับละเลยหน้าที่ของนายหญิงตระกูลหลิน!

“พอแล้ว!”

ไว้รอพวกเขากลับมา ค่อยสะสางบัญชีเหล่านี้ก็ยังมิสาย!

สิ้นสุรเสียง หลินเทียนเฟิงก็ก้าวขึ้นไปบนค่ายกลเคลื่อนย้าย!

ตามมาด้วยหลินจือเฟย ผู้อาวุโสหลินโม่และคนอื่นๆ

ต่อด้วยสามสาวแสนสวยเหล่านั้น

และปิดท้ายด้วยฉู่หลิวเยว่กับตู๋กูโม่เป่า

ความจริงแล้วค่ายกลเคลื่อนย้ายเครื่องนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่นัก และสามารถเคลื่อนคนได้ครั้งละประมาณหนึ่งร้อยคนเท่านั้น แต่อนุภาพของมันนั้นไม่ธรรมดาเลย

แต่ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะก้าวไปข้างหน้า หญิงสาวทั้งสามที่เพิ่งขึ้นไปก็พากันกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด!

หนึ่งในนั้นสูญเสียการควบคุมไปวูบหนึ่ง แล้วทิ้งตัวล้มลงกับพื้นทันที!

หัวเข่าของนางกระแทกพื้นอย่างแรงจนเกิดเสียงดังตุบ

ใบหน้าของนางซีดเผือดเพราะความเจ็บปวด

ฉู่หลิวเยว่พลันหรี่ตาลง

เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่อาการวิงเวียนศีรษะคล้ายจะเป็นลมแต่อย่างใด

แต่มันเหมือนเป็นเพราะ…

“ปลายอีกด้านที่เชื่อมต่อกับค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ มีแรงกดดันและการบีบบังคับที่แข็งกว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายเครื่องอื่นหลายเท่า”

ผู้อาวุโสหลินโม่รีบเข้าไปช่วยแม่นางคนนั้น แล้วพยุงนางให้ลุกขึ้นยืน

“แม้แต่คนอย่างข้าที่เคยก้าวเข้าสู่อาณาเขตเซียนเทพแล้ว ยังพบว่ามันยากที่จะรับมือ นับประสาอันใดกับพวกเจ้า”

แม่นางผู้นั้นพยายามยืนตัวตรงภายใต้ความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสหลินโม่

ส่วนอีกสองคนที่เหลือ ก็ได้ผู้อาวุโสอีกสองท่านช่วยจับพยุงไว้ ถึงทรงตัวลุกขึ้นมายืนได้

ทว่าเพียงเห็นสีหน้าของพวกนาง ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกนางไม่ค่อยสบายใจนัก

“อีกพักหนึ่งค่อยเดินทาง พวกเจ้าเองก็ดูแลกันให้ดี ท่านประมุขและผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะคอยช่วยเจ้าอีกแรง”

ผู้อาวุโสหลินโม่เอ่ยปลอบโยน

สตรีทั้งสามถึงได้โล่งใจขึ้นมาบ้าง แต่หว่างคิ้วของพวกนางก็ยังปรากฏความตื่นตกใจออกมาประปราย

หลินจือเฟยหันไปมองฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะค่อยๆ ขมวดคิ้ว

แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สังเกตเห็นสายตาของเขา พลางตั้งหน้าตั้งตาดึงตู๋กูโม่เป่าขึ้นไปบนค่ายกล

ทว่าทันทีที่นางยืนตัวตรง ก็พลันสัมผัสได้ถึงการบีบบังคับอย่างหนักจากทุกทิศทาง!

อันตราย!

หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นระรัวประหนึ่งฆ้องระฆัง!

พลังปราณเที่ยงแท้ของนางอยู่ที่ระดับเจ็ดเท่านั้น แล้วนางจะจัดการกับมันได้อย่างใด?

และในเวลาแบบนี้ นางก็มิอาจขอความช่วยเหลือจากองค์ไท่จู่ได้อย่างเปิดเผย ยิ่งต่อหน้าตู่กูโม่เป่ายิ่งไม่ได้!

ในใจของนางเต็มไปด้วยความตึงเครียด…

แต่จู่ๆ แหวนเฉียนคุนในมือก็เกิดสั่นไหว แล้วปลดปล่อยคลื่นพลังปราณออกมาสายหนึ่ง

หึ่ง…

การบีบบังคับอันไร้ที่มาที่ไปนั่นหายไปอย่างรวดเร็ว!

และเหมือนว่าแรงกดดันทั้งหมดรอบตัวฉู่หลิวเยว่เองก็มลายหายไปเช่นกัน!

ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลงมองแหวนเฉียนคุนที่อยู่ในมืออย่างแปลกใจ

ทว่ากลับไร้ซึ้งสิ่งผิดปกติ

ราวกับไม่มีใครสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเสี้ยววินาทีนี้ยกเว้นนาง

นางขบเม้มริมฝีปากพลางครุ่นคิด

แหวนเฉียนคุนนี้เป็นของหรงซิว แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่แค่แหวนเฉียนคุนธรรมดาเสียแล้ว

อีกทั้งปฏิกิริยาตอบสนองของค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่…

“คุณหนูตู๋กู เจ้าไหวหรือเปล่า?”

ทันใดนั้นหลินจือเฟยก็เอ่ยขึ้น

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้ามองเขาแล้วยิ้มตอบ

“ข้าไม่เป็นไร คุณชายสี่มิต้องเป็นห่วง”

นางตอบเขาพลางมองตู๋กูโม่เป่าที่อยู่ข้างๆ

“พี่เป่าเล่า เป็นอย่างใดบ้าง?”

คราแรกตู๋กูโม่เป่าไม่ตอบ แต่เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของนาง สุดท้ายเขาก็ยอมตอบกลับไปเพียงวลีเดียว

“ไม่มีปัญหา”

นังหนูผู้นี้กำลังคิดการใดอยู่กันแน่?

ปัจจุบันเขาได้หลอมรวมร่างศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์แล้ว แน่นอนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายนี่ ย่อมมิอาจคุกคามเขาได้

แต่นางกลับยังถามเช่นนี้อีก…

ตู๋กูโม่เป่าส่ายศีรษะอย่างเหนื่อยหน่าย

ช่างเป็นคนที่ชอบทำให้ผู้อื่นหนักใจอยู่เรื่อยจริงๆ

ทั้งสองคนพูดคุยกัน พลางเดินเข้าไปรวมกลุ่มอยู่ข้างๆ คนเหล่านั้น

และทันใดนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ก็ตระหนักได้ว่าพวกเขากำลังมองนางและตู๋กูโม่เป่าด้วยสายตาแปลกๆ

“…มีกระไรหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามอย่างสงสัย

นัยน์ตาของหลินเทียนเฟิงพลันฉายแววประหลาดใจ

“นี่พวกคุณ…ไม่เป็นอันใดเลยหรือ?”

สมแล้วที่เป็นตู๋กูเยว่ แค่สามารถบุกเข้ามาจากนอกพรมแดนได้ ย่อมมีพละกำลังที่ไม่ธรรมดา

แต่เด็กคนนี้เล่า…ไฉนจักเหมือนว่าเจ้าตัวจะไม่ได้รับผลกระทบอันใดเลย?

ฉู่หลิวเยว่เดาได้ทันทีว่าพวกเขากำลังคิดอันใดอยู่ แต่ไม่ได้แสดงออกมากนัก

หลินจือเฟยบีบมือตัวเองเบาๆ พร้อมยิ้มบาง

“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ท่านพ่อ ออกเดินทางเถิด”

หลินเทียนเฟิงพยักหน้ารับ พลันระงับความสงสัยในใจไว้ แล้วรวบรวมพลังปราณดั้งเดิมในกายเขาออกมา!

และในไม่ช้า ก็มีลวดลายอักขระอันแวววาวงดงามปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา!

แถมยังเป็นรูปสลักของตระกูลหลินด้วย!

หึ่ง…

ค่ายกลเคลื่อนย้ายพลันถูกกระตุ้นด้วยแรงบางอย่าง ก่อนจะค่อยๆ หมุนอย่างทีละนิด!

ขณะเดียวกัน ณ พื้นที่ที่ห่างออกไปหลายพันลี้

มีเกาะเล็กเกาะน้อยหลายเกาะล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างเงียบเชียบ

อายพลังแห่งฟ้าดินอันอุดมสมบูรณ์ที่กระจายอยู่โดยรอบ รวมตัวกันเป็นเมฆหมอกสีขาวที่ลอยเขว้งอยู่ในอากาศ

เบื้องล่างคือท้องทะเลสีครามที่ทอประกายระยิบระยับ ยามต้องแสงอันเจิดจรัสของทิวากร

และเพียงมองปราดเดียว ย่อมรู้สึกตรึงตาตรึงใจราวเห็นแดนสุขาวดี

แต่ท่ามกลางหมู่เกาะทั้งหมด กลับมีเกาะแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยทหารอารักขาคอยคุ้มกันอยู่รอบๆ

ทันใดนั้น ก็มีคลื่นความผันผวนสายหนึ่งพุ่งออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย!

นายทหารคนหนึ่งเบิกตากว้างระคนตกใจ

“หะ… เหตุใดลมปราณสายนี้ถึงเหมือนกับลมปราณของพระโอรสเลยล่ะ…”

“พูดเรื่องไร้สาระอันใดของเจ้า?” งานเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว อาคันตุกะจากเผ่าอื่นก็มากันพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว ยามนี้เกาะหลักกำลังวุ่นวายกับงานรื่นเริง แล้วพระองค์จะมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไร?”

นายทหารอีกคนที่อยู่ข้างเขาแย้งขึ้นทันควัน

“แต่ว่า…”

“ไม่มีแต่แล้ว ครั้งนี้ข้าได้ยินว่า คนผู้นั้นจากเซียนสุ่ยหลิงก็มาด้วยนะ ไม่แน่ว่าตำแหน่งพระชายา อาจจะตกเป็นของนางผู้นั้นก็ได้!?”

—————————-

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด