ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1140 จงใจให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 1140 จงใจให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1140 จงใจให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้

“พี่สี่เรียกข้า ข้าไปก่อนนะ! แล้วพบกันย่ำค่ำ!”

หลัวซือซือกระซิบย้ำเบาๆ กับฉู่หลิวเยว่

ฉู่หลิวเยว่จึงได้แต่พยักหน้าและหัวเราะเบาๆ

หลัวซือซือเองก็เม้มปากฉีกยิ้ม จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไปเงียบๆ

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บจางๆ ที่เข้าปกคลุมอย่างอธิบายไม่ถูก

ครั้นนางจดจ้องมองไปก็พบว่ามันคือกลิ่นของการข่มขู่บางอย่าง ที่ยากจะอธิบายถึงการมีอยู่ของมัน ลอยมาจากร่างของหลัวเยี่ยนหลินซึ่งอยู่ห่างออกไป

ร่องรอยของความประหลาดใจวาบผ่านใบหน้าของหลัวเยี่ยนหลินอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนเขาจะประหลาดใจกับความเฉียบคมของนาง ได้แต่หรี่ตาลงทันควัน

คำเตือนที่แฝงอยู่ในนั้นไม่สามารถชัดเจนได้มากกว่านี้อีกแล้ว

ฉู่หลิวเยว่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ แต่มันก็กว้างมาก

คำเตือน…

หลัวเยี่ยนหลินเตือนนางแปลกๆ ชอบกล

ทันใดนั้นประกายแสงของความหยั่งรู้ก็วาบผ่านเข้ามาในหัวของนาง คงไม่ใช่เพราะ…หลัวซือซือหรอกนะ!?

ครั้นตริตรองอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อครู่นางกับหลัวซือซืออยู่ด้วยกัน ท่าทางคงทำให้คนเข้าใจผิดได้จริงๆ…

หัวตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกเล็กน้อย

หลัวเยี่ยนหลินคิดมากไปหรือเปล่า?

อยู่ๆ นางก็รู้สึกใจสั่น

หากหลัวเยี่ยนหลินยังคิดเช่นนี้ แล้วหรงซิว…

นางสะบัดหัวไล่ความคิดยุ่งเหยิงเหล่านี้ออกไป

ตอนนี้ได้เป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียวอย่างเป็นทางการแล้ว การเร่งพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเองจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

นอกจากนั้นแล้ว…

ก็ยังมีจวินจิ่วชิง!

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ฉู่หลิวเยว่ลองไปตะล่อมถามมาแล้ว จวินจิ่วชิงเองก็ถือเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนัก

เพราะเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาเองก็เป็นหนึ่งในศิษย์อันดับต้นๆ ของสำนัก ด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นและพัฒนาการที่ก้าวกระโดด

เขาใช้เวลาเพียงสามเดือนเท่านั้นในการไต่ระดับ จากสิบอันดับล่างสุดของงานประลองชิงอวิ๋นไปสู่ยี่สิบอันดับแรก

ความเร็วเช่นนี้เป็นความเก่งกาจที่ไม่ใช่ใครก็สามารถทำได้

เพียงแต่เวลาของเขาในสำนักวิชานั้นก็สั้นมากเช่นกัน ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็จากไป

และไม่กลับมาอีกเลย

แล้วอันดับของเขาก็ค่อยๆ ตกลงในเวลาต่อมา ปัจจุบันนี้ลงไปอยู่ที่อันดับสามสิบกว่าๆ แล้ว

แต่ถึงเช่นนั้น หลายคนก็ยังคงมีภาพความทรงจำของเขาที่ลึกซึ้งอยู่

เนื่องจากอาจารย์ของเขาเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสำนักมาก ซึ่งก็คือ ผู้อาวุโสเคอหลาน

มีผู้อาวุโสในสำนักหลิงเซียวอย่างน้อยหนึ่งร้อยแปดสิบคนเห็นจะได้

ผู้อาวุโสเคอหลานไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ก็ยังเป็นที่รู้จักโดยทั่ว

เนื่องจากเขาและเจ้าสำนักคนปัจจุบันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องจากอาจารย์เดียวกัน!

และอาจารย์ของพวกเขาก็คือเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักหลิงเซียว!

ในปีนั้นมีข่าวลือว่าเจ้าสำนักคนนั้นตั้งใจเลือกหนึ่งในสองคนนี้ให้รับตำแหน่งต่อจากตน

เขาเอ็นดูเคอหลานเมื่อยังเป็นศิษย์มาโดยตลอด และทุกคนก็คิดว่าเขาก็คงตัดสินใจเลือกศิษย์คนนี้

คาดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายเขากลับไม่ได้เลือกเคอหลาน แต่กลับเป็นเลือกศิษย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นเจ้าสำนักคนปัจจุบันนี้

แล้วยังกล่าวอีกด้วยว่าเคอหลานทำอันใดผิดมา เลยทำให้เจ้าสำนักคนเก่าโกรธ เขาจึงถูกตัดสิทธิ์

แล้วยังมีที่กล่าวอีกว่าเคอหลานถูกใส่ร้าย และเข้าไปพัวพันกับเหตุการณ์บางอย่างโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าเหตุใดเขาถึงถูกบังคับให้สละตำแหน่งเจ้าคณะ

กล่าวโดยสรุปคือไม่มีผู้ใดสามารถบอกเล่าได้ว่าในตอนนั้นเกิดอันใดขึ้น

แต่ถึงกระนั้น ในภายหลังความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักและผู้อาวุโสเคอหลาน ก็ดูเหมือนจะสงบสุขมาโดยตลอด

ส่วนเรื่องราวภายในจะเป็นอย่างใด มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้

แต่ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งของผู้อาวุโสเคอหลานในสำนักจึงพิเศษมากเช่นกัน

ไม่กี่ปีมานี้ศิษย์ที่เขารับเข้ามา ทั้งหมดมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น

จวินจิ่วชิงเป็นคนที่สาม

ดูเหมือนว่าตอนนี้จวินจิ่วชิงจะยังไม่ได้กลับไปที่สำนัก

ฉู่หลิวเยว่เองก็ทำได้เพียงหยุดพักไว้ชั่วคราว และรออย่างใจเย็น

เพราะจวินจิ่วชิงต้องการใช้ฉู่หนิงบีบบังคับนาง นางจึงไม่กล้าลงมือทำอันใดเกินขอบเขต

ทว่าจากมุมมองนี้ ฉู่หลิวเยว่แทบไม่รู้สึกสบายใจเลย

ตอนนี้สิ่งที่นางทำได้คือเร่งพัฒนาการฝึกฝนของตนเองให้เร็วที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องตามค้นหาความจริงเงียบๆ

“พี่สี่ พี่มาหาข้ามีเรื่องอันใดหรือ?”

หลัวซือซือกลับมาอยู่ข้างกายหลัวเยี่ยนหลิน ก่อนเอ่ยถาม

หลัวเยี่ยนหลินกวาดสายตามองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เจ้าสนิทสนมกับฉู่เยว่ตั้งแต่เมื่อไรกัน?”

หลัวซือซือผงะไปครู่หนึ่ง ใบหน้าของนางจะเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อทันควัน

“ก็เปล่า ข้าแค่คิดว่าทุกคนต่างก็เข้าสำนักมาในวันเดียวกัน แล้วมันก็เหมือนเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นข้าเลยคิดว่าจะเป็นการดีหากเราเป็นสหายกัน…”

ในสายตาของหลัวเยี่ยนหลินมีนัยยะของของการจับผิดบางอย่างแฝงอยู่

แต่เมื่อเห็นว่าน้องสาวของเขาเริ่มประหม่าเล็กน้อย และอดบีบบังคับนางต่อไปไม่ไหว จึงได้แต่พยักหน้าให้ไปอย่างถนอมน้ำใจ

“อือ เด็กคนนั้นค่อนข้างมีพรสวรรค์ในด้านเซียนหมออยู่บ้าง หากจะคบไว้เป็นสหายก็ย่อมได้ แต่ถึงอย่างใด ในเมื่อเจ้ามาถึงสำนักแล้วก็ควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเป็นหลัก การทะลวงไปสู่จอมยุทธ์ระดับเก้านั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้นสำหรับเจ้า มีเพียงการไต่อันดับของงานประลองชิงอวิ๋นเท่านั้น ที่จะไม่ทำให้ชื่อเสียงของตระกูลหลัวเสื่อมเสีย”

สีหน้าหลัวซือซือพลันจริงจังขึ้นทันตา

“สิ่งที่พี่สี่กล่าว ซือซือจดจำไว้แล้ว”

“เช่นนั้นก็ดี กลับไปตั้งใจฝึกซ้อม”

“อื้อ!”

ในที่สุดการทดสอบต้นเดือนอันแสนครึกครื้น ก็สิ้นสุดลงในตอนเย็น

น้องใหม่ที่ผ่านจะมีกรรมสิทธิ์เป็นของตนเอง ส่วนใหญ่จะเอ่อล้นไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังสำหรับชีวิตในสำนัก

ในการจัดอันดับชิงอวิ๋น นอกจากการจัดอันดับช่างหลอมอาวุธซึ่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว นอกจากการจัดอันดับที่เหลือล้วนมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง

มีบางส่วนได้เลื่อนอันดับ บางส่วนตกอันดับ

บ้างก็ชอบใจ บ้างก็เศร้าใจ

แต่ถึงอย่างใด เรื่องพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับฉู่หลิวเยว่อยู่แล้ว

หลังจากแยกย้ายกันไป ฉู่หลิวเยว่และผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ตกลงที่จะไปทำพิธีกราบอาจารย์เข้าสำนักอย่างเป็นทางการในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็ออกจากจัตุรัสชิงหมิง และกลับไปยังที่พักของตน

ภายในห้อง ฉู่หลิวเยว่นั่งขัดสมาธิและจมอยู่กับความคิด

“องค์ไท่จู่ ท่านว่าไข่มุกมนตราศักดิ์สิทธิ์มันอย่างใดกันแน่?”

ฉู่หลิวเยว่พึมพำอย่างไม่เข้าใจ

หากจะบอกว่านางไม่มีพรสวรรค์ แต่ในวันนั้นทัณฑ์สวรรค์ก็ปรากฏออกมาชัดเจน

และถ้าสมมติว่านางมี…แต่พอเจ้านั่นเพิ่งออกมาก็หายกลับไปอีก! ?

องค์ไท่จู่เงียบมาสักพัก ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า

“บางทีเจ้าอาจจะดุเกินไป?”

ฉู่หลิวเยว่ “…ใช่หรือ?”

องค์ไท่จู่ “อือ”

เป็นไปได้หรือไม่ว่าในตอนนั้นเขาเป็นคนกวาดต้อนทัณฑ์สวรรค์เหล่านั้นกลับไป?

ฉู่หลิวเยว่ “…เฮ้อ”

ครั้งนั้นเป็นสถานการณ์พิเศษไม่ใช่หรือ ใครจะคิดว่าทัณฑ์สวรรค์เหล่านี้จะมีพฤติกรรมน่ารังเกียจเช่นนี้?

“หากเจ้าหักห้ามตัวเองสักหน่อย มันอาจจะไม่เป็นไร” องค์ไท่จู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ก็มิได้มีหวังมากนัก”

ของบางสิ่งยิ่งปกปิดต่อไปก็ยิ่งมิอาจเก็บซ่อนได้

“เจ้ายอมแพ้เสียเถิด”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

เดิมที นางเพียงต้องการเรียนรู้การหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์จริงๆ…

ทว่าหลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ฉู่หลิวเยว่ก็ยอมแพ้ไป

ไม่ฝึกก็ไม่ฝึก!

นางจะทำเป้าหมายของผู้อาวุโสวั่นเจิงให้สำเร็จก่อน หลังจากติดอันดับเซียนหมอแล้วค่อยว่ากันต่อ!

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิดและเริ่มหันมาให้ความสนใจกับการฝึกซ้อม

พลังแห่งสวรรค์และโลกโดยรอบหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของนางอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวเป็นความผันผวนเหนือศีรษะของนาง

นับตั้งแต่ที่นางทะลวงไปถึงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดและฟื้นฟูชีพจรเทียนจิงแล้ว ความเร็วในการดูดกลืนพลังปราณดั้งเดิมของฉู่หลิวเยว่นั้นเร็วกว่าเมื่อก่อนมาก

เมื่อฝึกฝนขึ้นมาก็ย่อมสะดวกและรวดเร็วกว่าแต่ก่อน

เวลาผ่านไปทีละนิด

สีสันของท้องฟ้าก็พลันมืดลงอย่างรวดเร็ว

ดวงจันทร์ลอยเด่นกลางนภา

ไม่รู้เป็นเพลากี่ชั่วยาม ร่างสูงเพรียวเดินเข้ามาเงียบๆ

ฉู่หลิวเยว่ลืมตาขึ้นทันควัน! แล้วระเบิดหมัดออกไป!

ตุบ!

ฝ่ามือหนาใหญ่อันแสนอบอุ่นรวบมือนางไว้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ!

กลิ่นหอมเย็นที่คุ้นเคยโชยมา

และภายในชั่วพริบตาก็ปกคลุมไปทั่วทั้งเรือนร่าง

หรงซิวขยับเข้ามาแนบชิด

“จงใจให้ข้ารอนานถึงเพียงนี้เลยหรือ หืม?”

เสียงทุ้มหนาและนุ่มนวลนั้นเย้ายวนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิของค่ำคืนอันมืดมิด ชวนให้หัวใจคนฟังรู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด