ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 1214 เจ้ากล้าหรือไม่

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 1214 เจ้ากล้าหรือไม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1214 เจ้ากล้าหรือไม่

“ซือซือ ข้าว่าเจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก เด็กคนนั้นสามารถรอดพ้นจากหายนะครั้งใหญ่ สุดท้ายก็ยังถูกขังที่เขาเฝิงหมินเป็นเวลาหนึ่งเดือน ถือว่าโชคดีอย่างมากแล้ว อีกทั้งผู้อาวุโสวั่นเจิงบอกว่า ก่อนหน้านี้เขาเกือบจะทะลวงด่านเซียนหมอระดับเก้าได้แล้ว เพียงเพราะเรื่องเหล่านี้จึงทำให้การทะลวงด่านล่าช้าไป แต่ว่าหลังจากที่เขาออกมา เขาต้องใช้เวลาไม่นานก็สามารถทะลวงด่านได้อย่างแน่นอน”

หลัวเยี่ยนหมิงสามารถมองเรื่องเหล่านี้ออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

เขาเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปทางงานประลองชิงอวิ๋น

“ไม่แน่ว่าหลังจากเวลาผ่านไป เขาก็สามารถติดอันดับในงานประลองชิงอวิ๋นได้! เมื่อถึงตอนนั้น ถ้าพวกเรายังไม่ติดอันดับ มันก็ยากที่จะพูดแล้วนะ!”

“จะว่าไปแล้วก็ใช่! ซือซือ พวกเราจะต้องรีบฝึกฝนกันหน่อยแล้ว!”

จัวเซิงพูดขึ้นอย่างเห็นด้วย

หลัวซือซือเม้มริมฝีปาก และพยักหน้าอย่างจริงจัง

ในขณะเดียวกันนั้นเอง หอระฆังบูรพกษัตริย์

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน และคนอื่นๆ ก็มารวมตัวกันที่นี่อีกครั้ง

ในสถานที่เดียวกันนี้เอง ยังมีศิษย์จำนวนไม่น้อยที่เข้าร่วมการแย่งชิงอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อเมื่อครั้งที่แล้วด้วย

ทุกคนต่างนั่งประจำที่ของตนเอง แต่ใบหน้าของคนเหล่านั้น กลับรู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“คนก็มากันครบแล้ว หรงซิว ก่อนหน้านี้ก็บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการจะประกาศ ตอนนี้คงพูดได้แล้วสินะ?”

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหันไปมองทางหรงซิว

ถูกต้อง

เหตุผลที่พวกเขามาที่นี่ในวันนี้ ความจริงแล้วเป็นหรงซิวที่เรียกรวมตัว

ศิษย์ทั่วไปไม่มีอำนาจนี้

แต่แน่นอนว่าหรงซิวไม่เหมือนกัน

อีกทั้งผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่เคยพูดคุยกับเขา ยังได้เรื่องมาว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ พวกเขาจึงไม่กล้าละเลย

พร้อมเรียกทุกคนมาที่นี่

อีกทั้งยังรวมถึงศิษย์คนอื่นๆ ที่เพิ่งจากไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ด้วย

“อ่า ข้านึกว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมีเรื่องสำคัญอันใดที่จะเรียกพวกเรามา นี่พวกเรารีบกลับมาโดยไม่ได้หยุดพัก ใครจะรู้เล่าว่า…เป็นเพราะหรงซิว?”

ภายในห้องที่เงียบกริบ เสียงเยาะเย้ยถากถางเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

เว่ยซีผิงเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าประชดประชัน

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่า ที่แท้หรงซิวก็มีตำแหน่งในสำนัก อีกทั้งยังสูงกว่าผู้อาวุโสหลายคน ถึงขนาดเรียกให้พวกเราไปนู่นมานี่ได้?”

“เว่ยซีผิง”

ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขมวดคิ้วแน่นเป็นปม

“สิ่งที่ข้าต้องการจะพูดในวันนี้คือเรื่องที่เกี่ยวกับขนนกสีหม่นบาดาล ดังนั้นผู้ชราอย่างข้าจึงเรียกทุกคนมา เจ้าไม่ต้องพุ่งเป้าไปที่หรงซิว”

ในใจของเว่ยซีผิงเต็มไปด้วยความดูถูก ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างเกียจคร้านแล้วพูดว่า

“เรื่องนั้น? มันจบไปแล้วไม่ใช่หรือ? ด้วยความแข็งแกร่งของหรงซิว สามารถแย่งของวิเศษชิ้นนั้นกลับมาได้ เป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่! แล้วมันเกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างใด?”

บรรยากาศเย็นยะเยือกมากขึ้น

ทุกคนสามารถได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประชดประชัน และถากถางจากคำพูดเหล่านั้น

มีคนจำนวนไม่น้อยหันไปมองทางหรงซิว

คาดไม่ถึงเลยว่า หรงซิวจะไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย แต่ริมฝีปากบางก็ยังยกยิ้มขึ้น

เขาหันไปมองทางเว่ยซีผิง แล้วพูดว่า

“ถูกต้องแล้วที่เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคนอื่น แต่สำหรับเจ้า กลับเกี่ยวข้องเต็มประตู”

หัวใจของเว่ยซีผิงกระตุกวูบ

“หรงซิว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”

หรงซิวพูดเสียงเรียบ

“ในวันนั้น ผู้อาวุโสซูเฟิงและคนอื่นๆ ได้วางค่ายกลเอาไว้ พร้อมเปิดมันแล้วเข้าสำนักอย่างราบรื่น พร้อมเตรียมตัวกลับเข้าสำนัก เรื่องเหล่านี้ผู้อาวุโสได้เตรียมแผนการเอาไว้ตั้งนานแล้ว และในตอนนั้นมันก็ราบรื่นอย่างมาก ตามหลักการแล้วก็สามารถกลับสู่สำนักได้อย่างปลอดภัย แต่…จินเหลยกับคนอื่นก็ยังตามเข้ามา เว่ยซีผิง เจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดเลยหรือ?”

หัวใจของเว่ยซีผิงเต้นกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แววตามีประกายตื่นตระหนก

เขาพยายามสงบสติอารมณ์อย่างเต็มที่ พร้อมพูดด้วยใบหน้าเย็นชา

“หรงซิว นี่เจ้ากำลังสงสัยข้าหรือ?”

“ค่ายกลนั้นถูกสร้างจากพลังและความแข็งแกร่งของทุกผู้คน หากไม่ใช่เพราะมีความผิดพลาดที่ตรงไหน จินเหลย และคนอื่นไม่มีทางฉวยโอกาสได้แน่”

หรงซิวเคาะนิ้วที่เท้าแขนเบาๆ เป็นจังหวะ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมา แล้วหันไปมองทางเว่ยซีผิง

“ข้าไม่ได้สงสัยเจ้า”

“ข้ากำลังชี้ตัวเจ้า”

“หรงซิว!”

เว่ยซีผิงลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความโกรธ สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห

“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อย่างมาก เจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ! ข้ารู้ว่าข้าขัดหูขัดตาเจ้า แต่ตอนนี้ผู้อาวุโสทั้งหมดล้วนอยู่ที่นี่ เจ้าห้ามสาดโคลนใส่ข้าเด็ดขาด!”

เขาตื่นตระหนกอย่างมาก น้ำเสียงจึงแหลมขึ้นหลายส่วน

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาโกรธ หรือมีเหตุผลอย่างอื่นกันแน่

ผู้อาวุโสทุกท่านที่อยู่ในเหตุการณ์ก็รู้สึกตกตะลึงเช่นกัน เขามองไปทางหรงซิว และเว่ยซีผิงสลับไปมาด้วยความประหลาดใจ

ผู้อาวุโสซูเฟิงขมวดคิ้วมุ่น แล้วถามขึ้นมา

ความจริงแล้วเขาก็รู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติ

เดิมทีเขาคิดว่าค่ายกลนั้นเกือบจะถูกจินเหลยทำลายลงแล้ว ต่อมาได้รับการช่วยเหลือจากหรงซิว จึงสามารถทำได้สำเร็จ

แต่หากพูดตามตรงแล้ว พวกเขาสามารถใช้เพียงแค่ค่ายกลสลัดคนเหล่านั้นออกไปได้อย่างสมบูรณ์

แต่ว่า กลับทำไม่ได้!

ในตอนที่สถานการณ์คับขัน เขาจึงไม่ได้ทันคิด แต่หลังจากเรื่องจบไปแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้มันแปลกประหลาดไปเล็กน้อย

ใช่ว่าเขาจะไม่มีความสงสัยเลย แต่เป็นเพราะว่าตอนนั้นมีแต่ผู้อาวุโส และศิษย์ที่ไว้ใจได้ เขาจึงไม่ได้สงสัยคนเหล่านั้น ดังนั้นจึงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปโดยไม่รู้ตัว

เมื่อได้ยินหรงซิวพูดขึ้นดังนี้ เขาก็ได้สติขึ้นมาทันที

“จะพูดอันใดต้องมีหลักฐานนะ!”

เมื่อเห็นว่าเหล่าผู้อาวุโสกำลังจะถูกหรงซิวโน้มน้าวจนสำเร็จ เว่ยซีผิงก็รีบตะโกนขึ้นมาเสียงดัง

“หรงซิว! เจ้าต้องเอาหลักฐานออกมา!”

ในตอนนั้นเขากระทำการอย่างมิดชิดรอบคอบ ไม่มีทางที่จะเหลือร่องรอยเอาไว้!

เมื่อนึกถึงตรงนี้ เว่ยซีผิงก็หัวเราะขึ้นมาเสียงเย็น

หรงซิวพูดปากเปล่า เขาจะต้องฉวยโอกาสนี้ พลิกสถานการณ์ให้ได้!

แต่เมื่อหรงซิวพูดประโยคถัดมา เขาที่ยังไม่ทันได้ยกยิ้ม ใบหน้าก็แข็งค้าง

“ในเมื่อข้ากล้าพูดต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แน่นอนว่าข้ามีหลักฐาน”

หรงซิวหัวเราะเสียงเรียบ พร้อมพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น

หัวใจของเว่ยซีผิงเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

เป็นไปไม่ได้…

เป็นไปไม่ได้แน่นอน!

เขารีบทบทวนความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างเร่งด่วน แต่ก็ยังไม่พบความผิดปกติตรงที่ใด

หรงซิวคงไม่ได้กำลัง…หลอกเขาอยู่ใช่หรือไม่?

“เอาล่ะ! ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็แสดงหลักฐานมาสิ!”

เว่ยซีผิงตะโกนเสียงดังด้วยท่าทีแข็งกร้าว แต่ในใจกลับอ่อนไหว

หรงซิวเชิดคางขึ้น

“หลักฐานอยู่บนตัวข้า เจ้ามาหยิบไปก็ได้แล้ว”

“อันใดนะ?”

เว่ยซีผิงรู้สึกมึนงงไปเล็กน้อย

หรงซิวอธิบายขึ้นอย่างใจเย็น

“ในตอนที่จินเหลยทำลายค่ายกล ยามที่ค่ายกลใกล้จะแตก ข้าได้ใช้พลังของตนเองซ่อมแซมมัน จนเมื่อค่ายกลเสร็จสมบูรณ์ ทำให้เส้นสายทุกเส้นในค่ายกลนั้นมีพลังของข้าแฝงเอาไว้อยู่”

หรงซิวพูดขึ้นมาหนึ่งประโยค สีหน้าของเว่ยซีผิงก็ซีดลงหนึ่งส่วน

“ดังนั้นที่จินเหลย และคนอื่นๆ สามารถไล่ตามมาทันนั้น จะต้องเป็นเพราะความบกพร่องของค่ายกล และตั้งใจทิ้งพลังเอาไว้หนึ่งส่วน…ตอนนี้มันก็น่าจะอยู่ในร่างกายของผู้กระทำ”

“หากเจ้าต้องการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ตอนนี้เจ้าก็ต้องวางค่ายกลออกมาให้ข้าเห็นสิ ว่ามีพลังของข้านั้นหลงเหลืออยู่หรือไม่”

หรงซิวเอนหลังพิงพนัก มองอีกฝ่ายด้วยความเหยียดหยาม ราวกับกำลังมองมดปลวก

“เว่ยซีผิง เจ้ากล้าหรือไม่?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด