ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 150 เพียงพอนโลหิต

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 150 เพียงพอนโลหิต at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 150 เพียงพอนโลหิต

เมื่อราตรีล่วงไป พระจันทร์สุกสกาว แสงจันทราสาดส่องลงมาดั่งสายน้ำ กิ่งก้านใบของต้นไม้พลิ้วไหวไปตามสายลม เงาที่ลอยเคว้งไหวราวกับสาหร่ายในน้ำ ซึ่งเงียบสงัดและสงบนิ่ง

ฉู่หลิวเยว่อิงแอบต้นไม้และชายหนุ่มร่างหนา และข้างกายของนางก็มีหรงซิวนั่งอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งตอนนี้เขากำลังทำแผลให้แก่นาง

อาการบาดเจ็บสาหัสที่สุดบนร่างกายของนางคือกระดูกสะบักหลังแตกหัก ถ้าหากไม่รักษาให้ทันท่วงที ต่อไปอาจจะเลวร้ายมากกว่าเดิม

โชคดีที่ว่าต่อให้นางไม่ได้สอน หรงซิวก็ดูเหมือนจะคล่องแคล่วเรื่องการทำแผลอยู่บ้าง ทั้งยังมือเบาและรวดเร็วมากอีกด้วย

“ข้าช่วยยืดกระดูกให้ตรง เจ้าอดทนหน่อยนะ”

หรงซิวเอ่ยเสียงแผ่วเบา จากนั้นมือหนาของเขาก็กดหัวไหล่ของนางเบาๆ

ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้กับเขา

เรื่องบาดเจ็บพวกนี้ ชาติก่อนนางเจ็บมาตั้งกี่รอบก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย

มือของหรงซิววางบนไหล่ของนางเบาๆ จากนั้นเขาก็ใช้ฝ่ามือผลักออกไป

ฉู่หลิวเยว่ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวด

หรงซิวเหลือบมองนางครู่หนึ่ง เขาก็เห็นว่าหญิงสาวมีสีหน้าซีดเผือดเพราะความเจ็บ ทั้งยังมีหยาดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ซึมไปตามหน้าผากของนางอีกด้วย

ตั้งแต่เริ่มทำแผลให้ นางก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา และนางกำลังพยายามกลืนความเจ็บปวดนั้นลงไป

สายตาของหรงซิวเย็นชาขึ้นมาเล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก้เกิดความรู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถทารุณสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นให้สาหัสสากรรจ์ก่อนจะปลิดชีวิตมันทิ้ง

เขาเบามือมากกว่าเดิม จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมสีขาวออกจากเรือนร่าง ก่อนจะฉีกมันจนขาดเสียงดัง แคว่ก ให้กลายเป็นผ้าผืนยาวแล้วใช้มันพันแผลให้กับฉู่หลิวเยว่

เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้ยินเสียงฉีกผ้านี้ นางจึงเอียงศีรษะและเหลือบมองเขา นางเม้มริมฝีปากและอดไม่ได้ที่จะอมยิ้ม

“ฝ่าบาท อาภรณ์ของพระองค์มีราคาแพงยิ่งนัก ทำเช่นนี้จะเป็นการสิ้นเปลืองเสียเปล่าๆ”

หรงซิวรู้ดีว่านางเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น เขาก็เลยคลี่ยิ้มออกมา

“ไม่เป็นไร มันก็เป็นแค่เสื้อผ้า เอาไว้กลับไปเจ้าค่อยชดใช้ให้ข้าสักผืนก็พอแล้ว”

ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น

“พระองค์นี่เสียเปรียบเล็กน้อยไม่ได้จริงๆ ขี้เหนียวเสียจริง”

หรงซิวหยถดชงัก ก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากกว้างขึ้นกว่าเดิม

“ข้าใจกว้างมาตลอด ทว่าข้าขี้เหนียวแค่กับเจ้าผู้เดียวเท่านั้น”

ฉู่หลิวเยว่รู้สึกคันยุบยิบในใจราวกับว่ามีอะไรมาลูบสะกิด

เมื่อผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าจะสามารถทำลายความห่างเหินที่มองไม่เห็นระหว่างนางและหรงซิวมาได้

แม้ว่าจะไม่มีใครพูดออกไป ทว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดูใกล้ชิดกันมากกว่าเมื่อก่อน

“ข้าเคยชินกับความขี้เหนียวของพระองค์มานานแล้วล่ะเพคะ กระนั้นก็มีบางอย่างช่างน่าสงสัยยิ่งนัก…พระองค์มาที่โดยบังเอิญได้อย่างไรเพคะ”

ที่แห่งนี้มีระยะทางห่างจากเมืองหลวงสองวัน หรงซิวไม่มีทางมาที่นี่ได้ทันเวลาแน่นอน เช่นนั้นก็หมายความว่า มีความเป็นไปได้ที่เขาจะล่วงหน้ามายังบรรพตวั่นหลิงตั้งแต่แรกอยู่แล้ว!

หรงซิวยังคงมีสีหน้าเช่นเดิม

“หรงซูบอกว่าอยากล่าสัตว์อสูรสักตัว ประกอบกับที่นี่มีเทศกาลล่าสัตว์พอดี ข้าก็เลยมาดูด้วยตนเอง และคิดว่าจะเลิกสัตว์อสูรที่เหมาะสมสักตัวกลับไปมอบให้นาง”

หรงซูคือองค์หญิงแปดในปัจจุบัน

ปีนี้นางมีอายุสิบสามปีแล้ว ซึ่งนางก็มีอายุมากพอที่จะหาสัตว์อสูรสักตัวมาเคียงกาย

แต่ทว่า…เรื่องแบบนี้สั่งให้ผู้ใต้บัญชาหรือข้ารับใช้ไปจัดการให้ก็น่าจะพอแล้ว จำเป็นต้องมาจัดการเองด้วยหรือ

ฉู่หลิวเยว่ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“พระองค์ใส่ใจองค์หญิงแปดจังเลยเพคะ”

หรงซิวไม่ได้สนใจที่นางรู้ทัน แต่เขากลับจ้องนางแน่นิ่ง

“ใช่ ข้าใส่ใจ นาง มากจริงๆ นั่นแหละ”

ไม่ต้องพูดก็รู้ว่า นาง คำนี้หมายถึงผู้ใด

หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นผิดจังหวะ จู่ๆ นางก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดเยี่ยงไรต่อไป

และทันใดนั้น เสวียเสวี่ยก็กลับมาได้จังหวะพอดี

มันเดินไปหาฉู่หลิวเยว่ จากนั้นก็วางสิ่งที่มันคาบมาในปากลงมา

ซึ่งก็คือเจ้าเพียงพอนโลหิตนั่นเอง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เสวียเสวี่ยออกไป ฉู่หลิวเยว่ก็คิดได้ว่าในเมื่อมันเป็นสัตว์อสูรระดับสูง ถ้าอย่างนั้นมันก็น่าจะอ่อนไหวมากต่อปราณของสัตว์อสูรตัวอื่น ดังนั้นจึงให้มันช่วยตามหาเจ้าตัวน้อยตัวนี้

หลังจากที่ภูเขาถล่มลงมา อันที่จริง นางเองก็ไร้ซึ่งความหวังใดๆ อยู่ในใจแล้ว แต่ทว่านางยังคงจำไว้เสมอว่าเจ้าตัวน้อยนี่เสียสละชีวิตเพื่อนาง

แต่ทว่านางก็คิดไม่ถึงว่ามันจะตามหาจนเจอจริงๆ

เพียงแต่ว่าตอนนี้เจ้าตัวน้อยกลับนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้น

ฉู่หลิวเยว่ตรวจดูมันครู่หนึ่ง นางก็พบว่ามันยังมีลมหายใจผะแผ่วอยู่ และจากนั้นนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

มันยังมีชีวิตอยู่

เมื่อมันสัมผัสได้ถึงตัวนาง เจ้าเพียงพอนโลหิตก็กระดิกหางให้เล็กน้อย จากนั้นมันก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา

ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่สะท้อนออกมาอย่างชัดเจนในดวงตาที่กลมโตคู่นั้น

มันมองนางด้วยสายตาเหม่อลอย แล้วกะพริบตาปริบๆ คล้ายมันจะยังไม่ค่อยได้สติกลับมาสักเท่าไหร่

ฉู่หลิวเยว่อุ้มมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แล้วบีบหูของมันเบาๆ

“ไม่เป็นอะไรแล้วนะ ตอนนี้พวกเราปลอดภัยกันแล้ว”

จากนั้นเจ้าเพียงพอนโลหิตก็รู้ตัวว่ามันไม่ได้ฝันไป มันจึงเบิกตาโต จากนั้นก็คว้านิ้วหัวแม่มือของฉู่หลิวเยว่เข้ามากอดไว้แล้วร้องไห้โฮออกมา

มันคิดว่าตัวมันตายไปแล้วเสียอีก! และคิดว่ามันจะไม่ได้เจอนางอีกแล้ว!

ฉู่หลิวเยว่เห็นมันร้องไห้อย่างเศร้าสร้อย นางเองก็ทั้งขำและปวดใจไปพร้อมๆ กัน

“เช่นนั้น เจ้ากลับไปพร้อมกับข้านะ ต่อจากนี้ไป ข้าจะไม่ให้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นอีก ดีหรือไม่”

เวลานี้เจ้าตัวน้อยนับว่ามีวาสนาต่อกันอย่างยิ่ง นางเอกก็รู้สึกชอบมันมากเช่นกัน ตอนนี้มันยังมีชีวิตอยู่ นางจึงอยากพากลับไปเลี้ยงอย่างดีที่สุด

ถึงแม้ว่ามันจะไม่สามารถใช้เป็นสัตว์อสูรที่ล่าสัตว์ได้ แต่การอยู่เคียงข้างนางในฐานะสัตว์เลี้ยงก็ไม่เลวเหมือนกัน

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เจ้าเพียงพอนน้อยก็ตระหนักว่าต่อจากนี้ไปมันสามารถอยู่เคียงข้างนางได้เสมอ มันจึงร้องไห้หนักกว่าเดิมอย่างอดกลั้นมิได้ และใช้เวลานานกว่าจะหยุด แต่ทว่าร่างกายของมันยังคงชักกระตุก ตาและจมูกของมันเป็นสีแดงก่ำ ซึ่งดูน่าสงสารและน่ารักในเวลาเดียวกัน

เมื่อเห็นว่าไหล่ของฉู่หลิวเยว่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นมันจึงอยู่เคียงข้างกายนางอย่างเชื่องๆ

หรงซิวนั่งมองอยู่ข้างๆ และทันใดนั้นก็เอ่ยว่า

“มันช่างโชคดีจริงๆ”

ตอนนี้ฉู่หลิวเยว่อารมณ์ดีขึ้นมาบ้างแล้ว นางก็เลยยิ้มจนคิ้วโก่ง

“ก็ใช่น่ะสิ ก่อนหน้านี้มันเคยช่วยหม่อมฉันเอาไว้ ถูกนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นโจมตี และหลังจากนั้นภูเขาก็ถล่มลงมา…”

ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีกครั้ง จู่ๆ นางก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล

เจ้าเพียงพอนตัวนี้เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับสามเท่านั้น อีกอย่างมันก็ไม่ได้มีพลังโจมตีอะไรขนาดนั้น แล้วเหตุใดจึงสามารถต้านทานการโจมตีด้วยโทสะของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นได้ล่ะ

ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ภูเขาทั้งลูกถล่มลงมา เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวายเช่นนั้น คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมีชีวิตรอดกลับมาอย่างปลอดภัย…

ฉู่หลิวเยว่อุ้มมันไว้ในมืออีกครั้ง ก่อนจะพลิกไปพลิกมาเพื่อดูอย่างละเอียดอีกรอบ

ราวกับเจ้าตัวน้อยจะถูกเกาจนจั๊กจี้และกลิ้งไปมาอย่างมีความสุขในมือของนาง

ฉู่หลิวเยว่กลับนิ่งค้างไปชั่วขณะ

ดูเหมือนว่า…เจ้าเพียงพอนน้อยจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสตรงไหนเลยนี่นา

นางมองเห็นว่ามีเพียงรอยขีดข่วนเล็กน้อยตามร่างกาย แต่ส่วนอื่นๆ ไม่ได้รับบาดเจ็บ!

ท่าทางโลดเต้นดีใจของมันในตอนนี้ ใครจะไปสามารถจินตนาการถึงทุกสิ่งที่มันเคยผ่านมาก่อนหน้านี้ได้

สิ่งสำคัญที่สุดคือ บรรพตวั่นหลิงเป็นถิ่นฐานของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา ซึ่งอยู่ภายใต้แรงกดดันของระดับขั้นสัตว์อสูร และสัตว์อสูรทั้งหมดในที่แห่งนี้ล้วนเชื่อฟังคำสั่งของมันกันทั้งนั้น!

ซึ่งการที่เหล่าสัตว์อสูรเข้ามาปิดล้อมในเวลานั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุด!

ทว่าดูเหมือนเจ้าตัวน้อยตัวนี้…จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เลยสักนิด!

มันไม่เพียงแต่ไม่ร่วมปิดล้อมเหมือนสัตว์อสูรตัวอื่นๆ แต่มันกลับยืนอยู่เคียงข้างนาง และเป็นปรปักษ์กับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นอีกด้วย!

ฉู่หลิวเยว่ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดความแปลกใจ เมื่อลองสำรวจเจ้าตัวน้อยนี่อย่างละเอียดอีกครั้ง แต่กลับไม่พบถึงสิ่งผิดปกติใดๆ

เจ้าตัวน้อยกอดนิ้วนางเอาไว้แน่น และหางที่มีขนปกปุยของมันก็กระดิกไปมา

เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังมีท่าทีเหม่อลอย หรงซิวพลันยื่นมือคว้าเจ้าตัวน้อยไป

“ตอนนี้เจ้าต้องการพักผ่อน เรื่องพวกนี้เอาไว้ค่อยๆ คิดทีหลังก็แล้วกัน”

ฉู่หลิวเยว่เห็นด้วย นางจึงพยักหน้าตอบ

เมื่อเจ้าเพียงพอนถูกบังคับให้ออกห่างจากความอบอุ่น มันก็เลยตื่นขึ้นเต็มตา แล้วจ้องหรงซิวด้วยแววตาดุดัน

หรงซิวปรายตามองมัน

“…” ฮึ่ย!

เพียงพอนน้อยสบถในใจ ก่อนจะถอนสายตากลับไป แล้วหันกลับไปรออย่างเปิดเผย

“ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นคาวเลือดติดตัวเสวียเสวี่ยใช่หรือไม่”

ฉู่หลิวเยว่ถามด้วยความประหลาดใจ

ถึงแม้ว่ากลิ่นจะอ่อนๆ แต่ก็ยังได้กลิ่นจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่ากลิ่นมันแรงมากกว่าหลังจากฆ่านาคาปีกทมิฬกลืนเวหาเสียอีก

เสวียเสวี่ยตัวแข็งทื่อ จากนั้นมันก็หันกลับไปนอนหมอบลงกับพื้นและแสร้งทำท่าเป็นไม่ได้ยิน

หรงซิวก็หยุดชะงักไปเช่นกัน ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างแนบเนียน

“รอร่างกายเจ้าฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง พรุ่งนี้พวกเราจะกลับเมืองหลวงด้วยกัน”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *