ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 628 ข้ารีบ

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 628 ข้ารีบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 628 ข้ารีบ

เปลวเพลิงสีแดงนั้นพุ่งขึ้นสูงราวกับแส้ยาว และในพริบตาเดียว มันก็พันรอบทัณฑ์สวรรค์อย่างแน่นหนา

แล้วลากอสนีบาตโปร่งแสงนั่นลงมาให้ฉู่หลิวเยว่

ขณะเดียวฉู่หลิวเยว่ก็พุ่งตัวออกไป

แล้วฟันกระบี่ลง

ชิ้ง…

ทัณฑ์สวรรค์สายนั้นถูกผ่าเป็นสองส่วนด้วยกระบี่เทพเมฆาสำริดของฉู่หลิวเยว่

หลังจากนั้น มันก็ถูกเปลวเพลิงที่มอดไหม้ราวไร้ที่สิ้นสุดห่อหุ้มไว้อีกครั้ง แล้วค่อยเคลื่อนตัวผ่านไปตามตัวกระบี่ ถ่ายเทพลังลงในร่างของฉู่หลิวเยว่ตามลำดับ

ฉู่หลิวเยว่รวบรวมพลังของทัณฑ์สวรรค์อย่างรวดเร็ว และเททั้งหมดลงในกระบี่เทพเมฆาสำริด

“ไหลลงไปให้หมด!”

เส้นแสงวาบเคลื่อนผ่านใบมีดในทันที

ทัณฑ์สวรรค์สายที่ยี่สิบเอ็ด…ถูกเก็บรวบรวมเรียบร้อย

ใบหน้าขององค์ไท่จู่เต็มไปด้วยความปะหลาดใจ

นี่มัน…

กระบี่เล่มนี้สามารถกระตุ้นทัณฑ์สวรรค์ได้ด้วยหรือ…

นี่มันการดึงเอาทัณฑ์สวรรค์กลับมาบีบอัดใส่กระบี่ต่างหาก

เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดของฉู่หลิวเยว่ และการเคลื่อนไหวที่หยาบโยนทว่าเกลี้ยงเกลานั่น องค์ไท่จู่ก็ถึงกับกุมขมับ

ตลอดหนึ่งพันปีที่ผ่านมา โลกภายนอกมันเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้เชียว?

เขารู้ว่าฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งมาก แต่ว่า…นั่นมันทัณฑ์สวรรค์เชียวนะ

แค่กระโดดไปมาสองสามทีก็จับได้แล้วหรือ?

“หลิวเยว่เอ๋ย…”

องค์ไท่จู่เอ่ยปากอย่างยากลำบาก และไม่รู้ว่าควรจะกล่าวสิ่งใดออกไป หรือเขาควรจะเกลี้ยกล่อมให้ฉู่หลิวเยว่เบามือกับทัณฑ์สวรรค์ดี?

“มีอันใดหรือ? องค์ไท่จู่”

ฉู่หลิวเยว่ที่ได้ยินเสียงเรียก มองย้อนกลับไปหาเขา

แม้ว่าตัวนางจะเต็มไปด้วยเลือด แต่ดวงตาของนางยังคงแน่วแน่และสดใส และดูเต็มไปด้วยพลัง

แตกต่างจากสภาพบาดเจ็บปางตายเมื่อครู่ก่อนโดยสิ้นเชิง…

องค์ไท่จู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ

“จะ…เจ้าทัณฑ์สวรรค์สายนี้ เจ้าลองดูสิ มันคืออสนีบาตรที่ร้ายกาจเลยนะ”

“หือ?” ฉู่หลิวเยว่กะพริบตา พลางยกกระบี่เทพเมฆาสำริดในมือขึ้น และมองเข้าไปใกล้ๆ

ตัวกระบี่นั้นเรียบแบน แข็งแกร่ง และคมกริบ หลังจากหลอมรวมกับทัณฑ์สวรรค์แล้ว สีของมันก็เข้มขึ้นและบริสุทธิ์ขึ้น ราวกับอัญมณีรูปนกสียูงสีฟ้าที่ทอแสงวิบวับชิ้นใหญ่

ก็ดูไม่มีปัญหาอันใด เช่นนั้นก็ดีแล้วมิใช่หรือ?

ร่องรอยของความสงสัยปรากฏขึ้นในดวงตาของฉู่หลิวเยว่ นางหันขวับไปมององค์ไท่จู่ทันควัน

“ไม่เห็นจะ…ร้ายกาจตรงไหนเลย?”

องค์ไท่จู่ “คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอันใดก็แล้วกันนะ…”

เด็กสมัยนี้ช่างทะนงตนเสียจริง…

ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมอง

เมฆหนาสีดำทมิฬยังไม่สลายไป และความผันผวนนั่นก็ยังคงหมุนอย่างช้าๆ เหมือนเดิม

แต่ทว่า…

กลับไร้ซึ่งอสนีบาตสีเงิน

ไม่มีทัณฑ์สวรรค์แล้วหรือ?

ฉู่หลิวเยว่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งและถามว่า

“องค์ไท่จู่ ท่านเห็นหรือเปล่าว่าเมฆเหล่านั้นยังไม่ได้สลายไป แต่กลับไม่มีอสนีบาตรเลยสักสาย…เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นกัน?”

องค์ไท่จู่ตวัดตามองนางเขม็ง

นี่เจ้ายังจะกล้าถามอีกหรือ?

เจ้านั่นแหละที่ทำให้ทัณฑ์สวรรค์กลัวหัวหดเช่นนี้!

ในอดีตเขาสถิตอยู่ในอาณาเขตเซียนเทพของราชวงศ์เทียนลิ่งอย่างสงบ แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบกับฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นเขาจึงติดตามนางออกมาพร้อมความหวัง และความสุขสำหรับชีวิตใหม่ เดิมทีเขาคิดว่าเขาสามารถออกมาดูท้องฟ้าและเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ของโลกภายนอกได้ แต่ใครจะรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น

ความเชื่อและกระบวนการในการสร้างอาวุธโบราณ ที่เขายึดทำตามแบบแผนมานานหลายปี ได้พ่ายแพ้ให้กับวิธีของฉู่หลิวเยว่ภายในวันเดียว แค่คิดก็หัวร้อนแล้ว!

แล้วเขาจะพร่ำสอนนางไปเพื่ออันใด?

ฉู่หลิวเยว่ที่สัมผัสได้ถึงแววตาอาฆาต ก็แอบรู้สึกผิดนิดๆ พลางทำทีลูบปลายจมูกเบาๆ

“คงไม่ใช่เพราะข้าหรอกใช่ไหม?”

องค์ไท่จู่แค่นยิ้ม

“เช่นนั้นเพราะข้ารึ?”

ฉู่หลิวเยว่ “…”

นางสาวเท้ากลับไปยังศิลาดวงดาวอย่างเงียบเชียบ พลางนั่งไขว่ห้าง และวางกระบี่เทพเมฆาสำริดไว้บนตัก

“เช่นนั้นข้าจะรอต่อไป”

องค์ไท่จู่เงยหน้าขึ้นมองบ้าง

ทัณฑ์สวรรค์ที่เหลือมีอยู่จริง แต่พวกมันปฏิเสธที่จะลงมา

คาดว่าตอนนี้พวกมันคงรู้สึกสิ้นหวังมากกว่าเขาเป็นแน่

ให้ลอยตัวอยู่บนนั้นก็เหนื่อย แต่ถ้าจะให้ลงมา…

ก็มีฉู่หลิวเยว่!

องค์ไท่จู่รู้สึกหมดหนทาง

สุดท้ายแล้วสาวน้อยคนนี้จะทำเช่นใดต่อไป?

บนภูเขาชิงหยวน

เมื่อเชียงหว่านโจวเห็นฉู่หลิวเยว่พุ่งออกมาจากเปลวเพลิงสีแดง เขาก็ตกใจมาก พลางยืนนิ่งเสมือนวิญญาณออกจากร่างอยู่นานกว่าจะดึงสติกลับมาได้

แต่ทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น ยิ่งทำให้เขาตกตะลึงมากกว่าเดิม จนความรู้สึกสงสัยฉายชัดขึ้นมาในดวงตาของเขา

กระทั่งฉู่หลิวเยว่จัดการกับทัณฑ์สวรรค์ได้ และกลับไปนั่งบนศิลาดวงดาว หัวใจที่กวัดแกว่งของเขาถึงได้สงบลง

ถึงเขาจะไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอันใดขึ้น แต่เขามองออกว่าฉู่หลิวเยว่ในตอนนี้ ได้กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ มากกว่าฝ่ายเสียเปรียบแล้ว

แม้ว่าตัวนางจะอาบไปด้วยเลือด ทว่านางกลับมีสีหน้ามั่นอกมั่นใจเต็มเปี่ยม

แค่มองก็สัมผัสได้ถึงคำว่า ทรงพลัง

ในที่สุดหมัดที่กำแน่นของเชียงหว่านโจวก็ค่อยๆ คลายลง ทว่าเนื่องจากแรงบีบที่มากเกินไป ฝ่ามือของเขาจึงชาจนแทบไม่รู้สึก

แต่เขาไม่ได้สนใจ

เพราะเขาสนใจเพียงร่างเพรียวบางที่ยืนอยู่ตรงนั้น

นางจะต้องทำสำเร็จ…

ไม่ว่าจะต้องเผชิญความยากลำบากเพียงใด นางจักสามารถหาทางออกได้แน่นอน!

เช่นเดียวกับ…คนในความทรงจำของเขาคนนั้น

คนที่มีรอยยิ้มบางประดับบนใบหน้าเสมอ ราวกับไม่ได้ไม่ยินดียินร้ายต่อสถานการณ์รอบข้าง

ทว่าหากเกิดปัญหา นางก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย

เขาวางมือขวาลงบนอกซ้ายช้าๆ

พลันหัวใจที่เคยเต้นแรงก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆ กลับมาสงบลง

แต่ดูเหมือนว่ามีความรู้สึกบางอย่างที่ยังคงค้างคาอยู่

แววตาของเขาค่อยๆ เด็ดเดี่ยว และมั่นคงขึ้น พร้อมกับความกตัญญูอันลึกซึ้งที่ค่อยๆ ฉายชัดขึ้นมาในดวงตา

บนยอดเขาเยี่ยนหลินนั้นเงียบมาก

ยามลมพัดมา กิ่งก้านใบของต้นไม้ก็จะเสียดสีกันจนเกิดเสียงหวีวหวิว ให้ความรู้สึกอ้างว้างที่อธิบายไม่ถูก

ฉู่หลิวเยว่พยายามดึงพลังดั้งเดิมในร่ายกายของนางกลับมา

เสมือนสายน้ำที่พัดพาทรายเข้ามา แล้วม้วนระรอกคลื่นน้ำดึงทรายเหล่านั้นกลับไป

พลังของทัณฑ์สวรรค์ที่สะสมอยู่ในกายของฉู่หลิวเยว่ ค่อยๆ ถูกดูดซับเข้าสู่ไข่มุกธารา และเปลี่ยนเป็นพลังของฉู่หลิวเยว่ และด้วยความอบอุ่นของพลังในไข่มุกธารา อาการบาดเจ็บของฉู่หลิวเยว่จึงฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่พลังดั้งเดิมไหลเวียนจนครบวัฏจักรฟื้นฟูของมัน ฉู่หลิวเยว่ก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

ลมปราณในร่างกายของนางแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด! อีกทั้งมีความรู้สึกของการทะลุทะลวงที่สัมผัสได้จางๆ อีก

ฉู่หลิวเยว่ยกกระบี่ขึ้น พลันลุกขึ้นยืน

คราบเลือดจำนวนมากบนเสื้อผ้าแห้งกรัง และเกาะตัวแผ่นแข็งๆ หมดแล้ว ทำให้สวมใส่ไม่สะดวก

นอกจากนี้ ยังมีบาดแผลบนร่างกายอีกมากที่เพิ่งตกสะเก็ด…

กลิ่นคาวเลือดอันรุนแรงโชยเข้าจมูก และทุกครั้งที่ขยับตัว นางก็จะรู้สึกอึดอัดมากขึ้น

ในใจฉู่หลิวเยว่เริ่มรู้สึกเบื่อ

สั่งให้นางนั่งลับคมกระบี่หนึ่งเดือน นางทนได้

ให้นางยอมอดทนต่อความเจ็บปวดนับไม่ถ้วนจากการรับทัณฑ์สวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า นางก็ทนได้

แต่จะให้นางนั่งเฉยๆ แล้วทนรอว่าทัณฑ์สวรรค์จะผ่าลงมาหรือไม่อยู่แบบนี้

มันจะไปมีประโยชน์อันใด?

แต่พอคิดเช่นนี้ สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ก็เย็นชาขึ้นทันที

นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า พลางขยับข้อมือ และชี้กระบี่ไปยังจุดจุดนั้น

ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวหมดความอดทน

“จะลงมาเอง หรือจะให้ข้าขึ้นไป? ข้ากำลังรีบนะ!”

เสียงครืนๆ นั่นแผ่วลง และความเงียบงันระหว่างท้องฟ้าและพื้นดิน ปราศจากคลื่นความผันผวนใดใด

ฉู่หลิวเยว่แสยะยิ้ม

“เช่นนั้นข้าจะ…”

เปรี้ยง!

และในที่สุดทัณฑ์สวรรค์ก็รวมตัวกันในกลุ่มเมฆอีกครั้ง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *