ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 632 ข้าชนะแล้ว
ตอนที่ 632 ข้าชนะแล้ว
ในการแข่งขันปรมาจารย์ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าตัวแทนจากชงซูเก๋อจะเป็นฉู่หลิวเยว่
ทุกคนต่างพากันพูดคุยเมื่อเด็กสาวก้าวเท้าลงไปในสนาม
“พวกชงซูเก๋อคิดอะไรกันอยู่ เหตุใดจึงให้ฉู่หลิวเยว่ลงแข่งปรมาจารย์กัน? ถ้าอิงตามทักษะของนาง เลือกแข่งประเภทนักรบหรือไม่ก็เซียนหมอ น่าจะเหมาะกว่ามิใช่หรือ?”
“เหอะ! ไม่เห็นหรือวาชงซูเก๋อไม่มีคนแล้ว? พวกเขามีทางเลือกอื่นเสียที่ไหน”
“ว่าก็ว่าเถอะ พวกเจ้าเห็นหรือไม่? ฉู่หลิวเยว่ยังคงนิ่งเฉยไม่ทุกข์ร้อน…ไม่แน่ว่านางอาจมีแผนสำรองในใจก็เป็นได้?”
“เช่นนั้นแล้วอย่างใด? สำหรับคนที่มีทักษะทั้งสามด้าน โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่คนคนนั้นจะมีความเชี่ยวชาญในทุกทักษะ นางมีพรสวรรค์ด้านนักรบอย่างมาก แต่กลับเลือกลงแข่งปรมาจารย์… เช่นนั้นฝีมือคงไม่เท่าใด ยิ่งไปกว่านั้น คู่ต่อสู้ของนางคือเหมิงจิง! อัจฉริยะด้านปรมาจารย์ที่มีชื่อเสียงของพันธมิตรเก้าดาราเชียว”
“เห็นว่าปีนี้เหมิงจิงเพิ่งอายุได้ยี่สิบห้าปี และเขาก็เป็นปรมาจารย์ขั้นที่หกแล้ว…แม้แต่ในซีหลิงทั้งหมด เขายังได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์รุ่นเยาว์ที่เก่งกาจที่สุดด้วย! เกรงว่าคราวนี้ ฉู่หลิวเยว่น่าจะแพ้เสียกระมั้ง…”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้สนใจเสียงพูดคุยเหล่านั้น นางเดินไปที่ยังสนามประลองและยืนนิ่งๆ
ตรงข้ามกัน ชายหนุ่มอายุน้อยคนหนึ่งเดินเข้ามา
อีกฝ่ายมีรูปร่างผอมแห้ง โหนกแก้มสูง ใบหน้าของเขาดูซีดเล็กน้อย เนื่องจากไม่ค่อยได้ออกมาเจอแสงแดด
ดูๆ แล้วราวกับพวกนักวิชาการที่ดูอ่อนแอ
ทว่าแสงวูบวาบในแววตาของเขานั้น บ่งบอกได้ว่าเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดที่นางจะสามารถจัดการได้ง่ายๆ
เหมิงจิง…
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
นางเคยมีความทรงจำเกี่ยวกับคนคนนี้
เขาเติบโตมาจากสภาพแวดล้อมที่น่าสังเวช เขาไม่มีทั้งพ่อและแม่ และในเวลาต่อมา เขาก็ถูกค้นพบว่ามีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ในฐานะปรมาจารย์ ดังนั้นเขาจึงใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ เพื่อเข้าร่วมกับพันธมิตรเก้าดารา และกลายเป็นหนึ่งศิษย์ที่เก่งกายที่สุดในสำนักของตน
เขามีพรสวรรค์และที่สำคัญกว่านั้นคือ ความขยันหมั่นเพียร
ดูเหมือนว่าสองปีที่แล้ว เขาจะเป็นเพียงปรมาจารย์ขั้นที่ห้า แต่ตอนนี้เขาเลื่อนขึ้นสู่ขั้นที่หกแล้ว
มันคือความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ภายในวันเดียว
เบื้องหน้าของพวกเขาทั้งสอง มีแผ่นศิลาสีดำทรงกลมอยู่แผ่นหนึ่ง
บนแผ่นศิลา มีลวดลายอักขระของถ่ายกลถูกวาดไว้ครึ่งแผ่นของแผ่นศิลา ส่วนอีกครึ่งนั้นสะอาดไร้รอยขีดเขียน
“บนแผ่นศิลาสีดำที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้านั้น มีรูปแบบค่ายกลอันลึกซึ้งที่มีระดับและพลังเท่ากัน แต่เนื้อหาต่างกัน! เมื่อใดที่พวกเจ้าก้าวเข้าไป ค่ายกลที่ซ่อนอยู่ทั้งสองอันจะเริ่มทำการโจมตีทันที!”
ผู้ตัดสินที่ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขา ชำเลืองมองทั้งสองคน
“ไม่มีกำหนดเวลาสำหรับการแข่งขันประเภทปรมาจารย์ ใครก็ตามที่สามารถร่างแล้วแสดงรูปแบบค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์ก่อน และลบล้างรูปแบบค่ายกลของอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ ก็จะถือว่าสิ้นสุดการแข่งขัน และคนคนนั้นก็จะได้เป็นผู้ชนะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าให้เหมิงจิง
“เชิญ…”
เขาลืมตาที่ปิดอยู่ขึ้นเล็กน้อย พลางชำเลืองมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นก็เบนสายตาไปมองผู้ตัดสินที่อยู่ข้างๆ เขา
“เริ่มแข่งเลย! ข้าไม่มีเวลามากขนาดนั้น”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
นี่เขาไม่คิดจะมองนางเลยหรือ…
“บังเอิญดี ข้าเองก็อยากจบการประลองนี่เร็วๆ เหมือนกัน”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ถือสาอีกฝ่าย มุมปากของนางโค้งขึ้นเล็กน้อย พลางเดินไปข้างหน้า และนั่งขัดสมาธิตรงหน้าแผ่นศิลาสีดำ เป็นสัญญาณเริ่มต้นการประลอง
เนื่องจากฝ่ายนั้นเมินนางก่อน เช่นนั้นนางเองก็จะไม่สนใจอันใดอีกแล้ว
เหมิงจิงขมวดคิ้วไม่พอใจอยู่หน่อยๆ
แน่นอนว่าคนไร้หัวนอนปลายเท้าที่มาจากนอกเขตพรมแดนม่านฟ้า คงไม่รู้จักกฎกติกามารยาทเท่าใดนัก และต่อให้โต้เถียงกับคนอย่างนาง คงมีแต่เปลืองน้ำลายเปล่าๆ
อย่างใดเสีย อีกไม่นานการประลองก็คงจะจบแล้ว
หลังจากนั้น เขาก็เดินไปที่ศิลาสีดำ และหลุบตามองลงไป
ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่
ฉู่หลิวเยว่ที่พอสัมผัสได้ถึงการจ้องมอง ก็พลันเงยหน้ามองเขา และรู้สึกขบขันอยู่ในใจ
เหมิงจิงผู้นี้ ดูท่าแล้วคงจะมั่นใจในตัวเองน่าดู
บางทีเขาคงคิดว่าค่ายกลนี้ง่ายเกินไป และสามารถแก้ไขได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องมานั่งคิดให้เสียเวลา?
แต่ทว่า…ตอนที่นางชำเลืองดูเมื่อครู่ ดูเหมือนว่ารูปแบบของค่ายกลนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด…
แน่นอนว่าเหมิงจิงอาจจะไม่ได้คิดเหมือนนาง
แต่สำหรับนางแล้ว…
เหมิงจิงลืมตาขึ้นและมองไปรอบๆ ราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาของนาง พลันร่องรอยความรังเกียจ และเหยียดหยามก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง เสมือนไม่สนใจ นางก้มหัวลงและเริ่มศึกษารูปแบบที่ลึกซึ่งของค่ายกลที่ไม่สมบูรณ์นี้
…
อีกด้านหนึ่ง เชียงหว่านโจวเองก็เข้าสู่สนามประลองเช่นกัน
ส่วนคู่แข่งของเขาก็เป็นนักรบระดับหกเหมือนกัน
พวกเขาทั้งคู่อยู่ในระดับต้น จึงจัดได้ว่ามีทักษะที่พอสูสีกัน
แต่เพราะบทสรุปจากการประลองครั้งก่อนๆ ทำให้ผู้คนที่มุงดูต่างคาดเดาว่า ผลการประลองของพวกเขาอาจจะออกมาเสมอกันอีกรอบ และถ้าเป็นเช่นกันก็คงต้องรอกันอีกพักใหญ่
เชียงหว่านโจวมองชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าอย่างเย็นชา
อีกฝ่ายเองก็กวาดตามองเขาขึ้นลงอย่างสำรวจ
“ได้ยินว่า เจ้าได้อันดับสองในงานหมื่นทูรหรือ?”
เชียงหว่านโจวไม่อยากเสวนากับคนตรงหน้ามาเท่าใด เขาทำเพียงกระชับกระบี่เทพเมฆาสำริดที่อยู่ในมือ
“รีบสู้กันให้จบๆ เถอะ!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด อีกฝ่ายก็ถึงกับผงะไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าเจ้านั่นคิดไม่ถึงว่าเขาจะตรงไปตรงมาเช่นนี้
การถูกหักหน้ากลางสาธารณชนทำให้เขาหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
“ในเมื่อเจ้าอยากรนหาที่ตายนัก เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้ามิเกรงใจแล้วกัน!”
ขณะพูด กระบี่เล่มยาวก็ปรากฏขึ้นในมือของอีกฝ่าย
ดวงตาของเชียงหว่านโจวกวาดมองไปทั่วกระบี่ของตนอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น พลังปราณดั้งเดิมในร่างกาย ก็ไหลเวียนและถ่ายเทเข้าสู่ตัวกระบี่
ชิ้ง!
เสียงอันไพเราะของกระบี่เล่มงาม แพร่กระจายออกไป
ผู้คนต่างตกตะลึง พลางจ้องมองกระบี่ที่อยู่ในมือของเชียงหว่านโจว
เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่กระบี่ธรรมดา
ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน
เขาเองก็เป็นนักรบที่ใช้กระบี่ ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงลมปราณที่น่าสะพรึงกลัว ที่ซ่อนอยู่ในกระบี่ของเชียงหว่านโจว
ในใจเขาเริ่มมีลางสังหรณ์แปลกๆ
ทว่าวินาทีต่อมา เขาก็กัดฟันแล้วเป็นฝ่ายพุ่งไปข้างหน้าคนแรก
เชียงหว่านโจวยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เขาชูกระบี่ขึ้น
แล้วฟันลงอย่างแรง
ทุกคนประหลาดใจเมื่อเห็นสิ่งนี้
กระบี่ของเชียงหว่านโจวอยู่ห่างจากฝั่งตรงข้ามมาก…
แต่แล้ว…
ความว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้าเขา ก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทันที
พลังอันน่าสะพรึงกลัวของกระบี่พุ่งออกมา
พลันห้อมล้อมชายผู้นั้นไว้อย่างรวดเร็ว
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังขึ้นทันที
วินาทีต่อมา ท่ามกลางสายตาของทุกคน ร่างของชายคนนั้นก็กระเด็นลอยออกไป! แล้วหล่นลงกระแทกพื้นอย่างแรง
กระบี่ในมือของเขาถูกตัดเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน และรอยตัดทั้งหมดนั้นราบรื่นและสม่ำเสมอ
ผู้ชมทุกคนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เกิดอะไรขึ้นกับกระบี่ของเชียงหว่านโจวกัน? มันเป็นเพียงจังหวะการฟันธรรมดาๆ แต่กลับแฝงด้วยพลังปราณอันยิ่งใหญ่!
เชียงหว่านโจวเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“ใกล้รู้ผลแล้ว…”
พรึบ!
ทว่าก่อนที่เขาจะได้ลงมือ กลับได้ยินเสียงแปลกๆ ดังมาจากด้านข้างเสียก่อน
ทันใดนั้น ก็มีเสียงของหญิงสาวดังขึ้น พร้อมเสียงหัวเราะที่ตามมา
“ข้าชนะแล้ว”
เชียงหว่านโจวตกตะลึกสุดขีด! พลันหันกลับไปมอง
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมองเขา พร้อมกะพริบตาปริบๆ และพูดย้ำอีกครั้งด้วยรอยยิ้ม
“เสี่ยวโจว ข้าชนะแล้ว”
Comments