ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 708 มิใช่ของนาง

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 708 มิใช่ของนาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 708 มิใช่ของนาง

นัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่หดลง!

นั่นเป็นขนของไก่ฟ้าเก้าสีมิผิดแน่!

กลิ่นหวานหอมอันเลือนรางที่เข้ามาใกล้ก่อนหน้านี้ บัดนี้พลันเข้มข้นขึ้นมาอย่างทันทีทันใด!

ภายในความคิดของฉู่หลิวเยว่ราวกับว่าชั้นกำแพงที่มองไม่เห็นได้พังทลายลง

ใช่แล้ว!

กลิ่นหอมนี้ มิใช่กลิ่นหอมเฉพาะตัวที่หาได้เพียงบนร่างของไก่ฟ้าเก้าสีหรอกหรือ!?

ลักษณะด้านร่างกายของไก่ฟ้าเก้าสีมีความพิเศษมาก

ภายในร่างกายของพวกมันบรรจุพลังส่วนหนึ่งของสายเลือดอสูรศักดิ์สิทธิ์ ยามที่ใช้พลังสายเลือดส่วนนี้นั้น ทั่วทั้งร่างของมันก็จะแผ่ลมปราณเช่นนี้ออกมา

พลังสายเลือดยิ่งแข็งแกร่ง กลิ่นนี้ก็ยิ่งทวีความเข้มข้น

ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่แห้งผาก ดวงตาของนางจดจ้องไปข้างหน้าอย่างไม่กะพริบ หัวใจเต้นระรัวราวกับจังหวะเคาะประตู

ในขณะที่กลิ่นอันหอมหวนนี้ยิ่งทวีคูณและแผ่กำจรไปทั่วบริเวณ ใจอันรุ่มร้อนของฉู่หลิวเยว่ก็ค่อยๆ เย็นสงบลง

นางจดจำได้อย่างแม่นยำ ไก่ฟ้าเก้าสีของตนตัวนั้น พลังสายเลือดของมันแท้จริงแล้วไม่ได้มีมากมายมหาศาล

กระทั่งในตอนที่มันระเบิดพลังสูงสุดออกมา กลิ่นหอมบนร่างของมันก็เข้มข้นไม่ได้เท่าครึ่งของกลิ่นหอมสายนี้

ดูๆ แล้ว…ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนี้คงมิใช่ของนาง…

แม้ว่านางจะเตรียมใจมานานแล้ว ทว่ายามได้รับรู้คำตอบ ในใจของฉู่หลิวเยว่ก็ยังคงพรั่งพรูความสิ้นหวังและความขมขื่นในใจอย่างหาคำอธิบายไม่ได้

ค่ายกลของพี่เหลยสี่สั่นไหวอย่างรุนแรง ดูแล้วอีกไม่นานคงต้านไว้ไม่อยู่

เขาลอบร้อนรนอยู่ในใจ พลางรั้งรอให้เจ้านั่นกลืนกินพลังของทัณฑ์สวรรค์สายที่แปด เพียงแต่เกรงว่าเขาเองก็คงหมดหนทางที่จะต้านพลังอันน่าหวาดหวั่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีทัณฑ์สวรรค์สายที่เก้ารอบสุดท้ายอีก?

ดูจากสถานการณ์แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเขาคงอยู่ตั้งรับไม่ไหวแล้ว…

ความคิดของพี่เหลยสี่แล่นเร็วไว เขามองไปยังฉู่หลิวเยว่

ต้องรีบเกลี้ยกล่อมให้นังหนูนี่รีบจากไป!

ไม่อย่างนั้นคงได้เกิดเรื่องเป็นแน่แท้…

แต่ทันใดนั้น สีหน้าของเขาพลันตะลึงงันเมื่อพบว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เดินรุดหน้ามาแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม นางกลับยืนอยู่กับที่ พร้อมสีหน้าที่…อธิบายได้ยาก

เดี๋ยวก็เศร้าโศก เดี๋ยวก็โล่งใจ

“นังหนู! มัวคิดอันใดอยู่! รีบเดินเข้า!”

พี่เหลยสี่ไม่สนใจอันใดมาก เขาขึ้นเสียงและคำรามออกมาเสียงหนึ่ง

ริมฝีปากของนางงองุ้มอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่ากำลังหัวเราะกับตัวเอง

ใช่แล้ว!

นางกำลังคิดอันใดอยู่กัน?

เจียงอวี่เฉิงและซั่งกวนหว่านสังหารคนของนางไม่มีเหลือ จะปล่อยสัตว์อสูรของนางให้มีชีวิตรอดได้อย่างใด?

อีกทั้งที่นี่ยังเป็นที่รกร้างขนาดใหญ่ ห่างจากซีหลิงเป็นหมื่นลี้

มันจะมาอยู่ที่นี่ได้อย่างใดกัน…

ดูท่าคงมิพ้นเป็นภาพหลอนจากความปรารถนาของนางกระมัง

ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึก เลื่อนสายตาขึ้นมองอย่างหนักแน่นแวบหนึ่ง

ในตอนนั้นเอง พลังของทัณฑ์สวรรค์สายที่แปดก็ค่อยๆ สลายหายไป

สถานการณ์ภายในค่ายกลเริ่มกลับมาเป็นปกติ

ด้านบนของกิ่งก้านสีน้ำตาลเข้มนั้นคือกรงเล็บสีแดงอันแหลมคมสองอัน

ไกลออกไปคือขนนกหลากสีสันชิ้นใหญ่อันประณีตเกลี้ยงเกลา

พึ่บพั่บ…

แผ่นสีสันสวยสดแผ่นนั้นพลันเคลื่อนไหว

มันคือปีกที่แข็งแกร่งและงดงามมากคู่หนึ่ง!

ฉู่หลิวเยว่ปิดเปลือกตาลง ทั่วทั้งร่างพลันรู้สึกผ่อนคลาย

มิต้องแปลกใจเลยว่าภายในนั้นมีไก่ฟ้าเก้าสีอยู่จริงๆ!

“ไก่ฟ้าเก้าสี!?”

ชั่วพริบตาที่ได้เห็นสัตว์อสูรตัวนั้นภายในค่ายกล ทำให้มู่ชิงเห่อที่มีท่าทีสุขุมเคร่งขรึมอดไม่ได้ที่เบิกตากว้าง ส่งเสียงออกมาด้วยความตกใจ!

ถึงแม้ว่าจะมองเห็นเพียงกรงเล็บและปีกคู่หนึ่ง เขาก็สามารถยืนยันได้ว่านั่นคือไก่ฟ้าเก้าสี!

ราวกับว่าเลือดทั่วทั้งร่างของเขาแข็งตัวจากความเย็นเยียบ ทุกคนในที่แห่งนั้นต่างก็ยืนนิ่งกันอยู่ตรงนั้นอย่างไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาครู่ใหญ่

เหตุใด เหตุใดถึงได้…

ในใจเขาคิดถึงความเป็นไปได้อันนับไม่ถ้วน มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่ได้คาดเดาเอาไว้!

เขาเกือบจะผนึกคนผู้นั้นและเรื่องราวที่เกี่ยวโยงกันทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว

ว่ากันตามตรง ทุกคนในราชวงศ์เทียนลิ่งล้วนรับรู้ว่าสัตว์อสูรที่องค์หญิงใหญ่ทำสัญญาด้วยคือไก่ฟ้าเก้าสีระดับเก้า!

สัตว์อสูรประเภทนี้อยู่ในระดับเก้ามาตั้งแต่เกิด ขนนกบนร่างจึงมีเก้าสีต่างกันออกไป

ยามที่มันเติบใหญ่และแข็งแกร่งขึ้น สีสันบนขนนกก็จะค่อยๆ ทวีความสีสดและเข้มมากขึ้น

ภายในความคิดของเขาพลันมีความคิดคาดเดาอันน่ามหัศจรรย์ไร้ข้อใดเปรียบปรากฏขึ้นแทบจะทันใด

ทว่าเขากลับปัดมันทิ้งทันที

มันจะเป็นไปได้อย่างใด?

สัตว์อสูรตัวนั้นไม่มีทางฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างแน่นอน!

ตัวที่ปรากฏอยู่ต่อหน้านี้ ย่อมเป็นไก่ฟ้าเก้าสีตัวอื่น!

ดูจากการเคลื่อนไหวและกลิ่นหอมสายนี้แล้ว ไม่ใช่ไก่ฟ้าเก้าสีตัวที่เขาคุ้นเคยอย่างแน่นอน

ทว่าต่อให้คิดเช่นนี้ ในใจมู่ชิงเห่อก็ยังคงมีความไม่สบายใจเล็กน้อยเคลือบอยู่บางๆ

เขาเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกไม่สบายใจนี้เกิดมาจากอันใด อย่างใดก็ตาม เขาก็รู้สึกว่ามีเรื่องบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น…

ฝั่งเชียงหว่านโจว ทั้งสามคนก็เห็นฉากเดียวกัน

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้จักไก่ฟ้าเก้าสี แต่ประโยคที่มู่ชิงเห่อตะโกนออกมา พวกเขากลับได้ยินอย่างชัดเจน

มู่หงอวี่เอ่ยถามด้วยความเหม่อลอยอยู่บ้าง

“ไก่ฟ้าเก้าสี? คือสัตว์อสูรแบบไหนหรือ?”

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ของนางนั้นมีไม่มากเท่าไรนัก

บนใบหน้าของเย่หรานหร่านเองก็เต็มไปด้วยความตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน นางสูดลมหายใจเข้าลึกและทำใจของตนให้สงบ จากนั้นจึงเอ่ยตอบด้วยเสียงกระซิบ

“เจ้ามิรู้หรือ? สัตว์อสูรขององค์หญิงใหญ่องค์ก่อน ก็คือไก่ฟ้าเก้าสี่นี่ล่ะ! เพียงแต่ว่าในตอนที่องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์ สัตว์อสูรของนางก็ตายตามนางไปเช่นเดียวกัน ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนี้…น่าจะเป็นตัวอื่น”

นางไม่ครุ่นคิดให้มากความแม้แต่น้อย

เพราะถึงแม้ว่าไก่ฟ้าเก้าสีจะมีชื่อเสียงโดดเด่นเลื่องลือ แต่ความเป็นจริงแล้วนางเคยเห็นมันด้วยตาตัวเองสองครั้งเท่านั้น อีกทั้งแต่ละครั้งยังห่างกันค่อนข้างนาน

นางที่ได้ยินมู่ชิงเห่อเอ่ยออกมาเช่นนั้น ก็ยืนยันได้ว่านี่คือไก่ฟ้าเก้าสี

ดวงตากลมโตของมู่หงอวี่เบิกกว้าง

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! ข้าก็ว่าอยู่ สัตว์อสูรประเภทไหนกันถึงจะแข็งแกร่งขนาดนี้!”

เกี่ยวกับข่าวขององค์หญิงใหญ่องค์นั้น นางก็เคยได้ยินมาอยู่บ้าง ภายในความทรงจำของมู่หงอวี่ นางคืออัจฉริยะท่ามกลางหมู่อัจฉริยะ เป็นตำนานท่ามกลางบรรดาตำนานทั้งปวง!

สัตว์อสูรที่นางทำสัญญาด้วย ย่อมต้องไม่ใช่อันใดที่ธรรมดา!

แต่เดี๋ยวก่อน!

ไก่ฟ้าเก้าสีตัวที่จู่ๆ ก็โผล่มาตัวนี้ กำลังทะลวงขั้นพลังปราณเพื่อกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์!

ดวงตาของนางเบนหันรอบหนึ่ง แล้วถามเสียงค่อย

“ใช่แล้ว ในเมื่อเผ่าพันธุ์ไก่ฟ้าเก้าสีล้วนแข็งแกร่งกันขนาดนี้ เช่นนั้น…ไก่ฟ้าเก้าสีขององค์หญิงใหญ่องค์ก่อน ก็สามารถกลายเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ได้เช่นกัน ใช่หรือไม่?”

เย่หรานหร่านมองดูมู่ชิงเห่อที่อยู่ไม่ไกลแวบหนึ่ง

ความจริงแล้วความสามารถของทุกคนล้วนมิอ่อนด้อย อยู่ใกล้กันขนาดนี้ พูดคุยด้วยเสียงกระซิบเสียงค่อยก็ยังได้ยินกันหมด

มู่ชิงเห่อย่อมรู้เรื่องที่พวกนางคุยกันอยู่ฝั่งนี้…เพียงแต่เขาหันใบหน้าออกข้างจึงมองเห็นสีหน้าได้ไม่ชัดเจน

เย่หรานหร่านพยักหน้าอย่างลังเล

“ได้ยินมาว่าใช่…เจ้าไม่รู้อันใด เจ้าไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นแท้จริงแล้วมิใช่องค์หญิงใหญ่บังคับให้มันทำสัญญาด้วย แต่เป็นตัวมันเองที่บินมาหานาง ยินยอมกลายเป็นสัตว์อสูรขององค์หญิงใหญ่เอง…แต่นี่ล้วนเป็นเรื่องราวตอนองค์หญิงใหญ่ยังเล็กนัก ภายหลัง…ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นคอยอยู่เคียงข้างนางมาหลายปี พละกำลังก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น เขาเล่ากันว่า ก่อนที่จะเกิดเรื่ององค์หญิงใหญ่ ไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นก็มีความคิดที่จะบุกทะลวงเช่นกัน…เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า…”

คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่องค์หญิงใหญ่สิ้นพระชนม์ กระทั่งไก่ฟ้าเก้าสีตัวนั้นก็มิสามารถหลีกหนีความตายได้พ้น

ช่างน่าเวทนา

ใบหน้าของมู่หงอวี่ปรากฏความรู้สึกเศร้าโศก

“นั่นสินะ…หลิวเยว่? เจ้ากลับมาเหตุใดกัน?”

นางยังคงถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย เหลือบตาขึ้นมามองโดยมิได้ตั้งใจ ทว่านางกลับเห็นฉู่หลิวเยว่กำลังเดินกลับมา

ใบหน้าของนางมิปรากฏสีหน้าใด ทว่าทั่วทั้งร่างกลับแผ่ลมปราณที่โดดเดี่ยวและเศร้าโศกจนหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้

มิใช่ต้องการดูการบุกทะลวงของสัตว์อสูรตนนั้นหรอกหรือ?

เหตุใดถึง…

ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะเบาๆ ริมฝีปากเผยอขึ้นเล็กน้อย

มีเพียงรอยยิ้มที่แผ่ขยายไปถึงรอบดวงตา

นางควรจะคิดได้ตั้งนานแล้วว่า…

เปรี้ยง!

ในที่สุด ทัณฑ์สวรรค์เส้นที่เก้าก็ฟาดลงมา!

ในขณะเดียวกันนั้นเอง มีเงาร่างหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากอีกฝั่งหนึ่ง มุ่งตรงไปยังทิศทางค่ายกลนั่น!

ฉู่หลิวเยว่พลันหมุนศีรษะหันกลับ!

ซั่งกวนหว่าน!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด