ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 732 ราชาฟ้าลิขิต
ตอนที่ 732 ราชาฟ้าลิขิต
ข้อเสนอของฉู่หลิวเยว่ได้รับการยอมรับจากทุกคน
ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่า ที่ป่าหมอกมายาเกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเป็นเพราะความตั้งใจของใครบางคน
อีกทั้งรากต้นไม้เหล่านั้นก็กลืนกินพลังของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เห็นได้ชัดว่ามันถูกควบคุมจากบางอย่าง
เขาต้องจัดการกับคนที่อยู่เบื้องหลังนั่นก่อน ถึงจะออกจากที่นี่ได้
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองร่างกายของทหารม้าทมิฬ
ความจริงแล้วในจำนวนคนเหล่านี้นางก็พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่
เพียงแต่ตอนนี้ทุกอย่างไม่เหมือนเดิมแล้ว
นางหันไปมองฉินอี
“พี่ใหญ่ฉิน ยี่สิบกว่าคนนี้…ไม่ทราบว่าพอจะมีวิธีช่วยเหลือบ้างหรือไม่?”
นอกจากคนไม่กี่คนที่ไม่มีทางช่วยเหลือได้แล้ว ก็ยังเหลือยี่สิบกว่าคนที่สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก
ทางที่ดีที่สุดคือให้พวกเขาพักผ่อนอย่างเต็มที่
ถ้าบังคับให้พวกเขาติดตามกองกำลังไป เกรงว่า…
ฉินอีมองหน้านางครู่หนึ่ง แล้วครุ่นคิด
ดูเหมือนว่าฝ่าบาทต้องการจะช่วยเหลือพวกเขา…
เขาหยุดมือแล้วพูดขึ้นว่า
“ข้าสามารถกางม่านพลังให้พวกเขาได้ ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบ ตราบใดที่ไม่เกิดเหตุอันตรายอย่างเช่นก่อนหน้านี้ ก็น่าจะไม่เป็นปัญหา”
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณพี่ใหญ่ฉินมาก”
ริมฝีปากของฉินอียกขึ้นเล็กน้อย ความจนปัญญาและคล้อยตามก็ปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
ตอนนี้ฝ่าบาทได้เปลี่ยนฐานะไปอีกตัวตนหนึ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว ใบหน้ารูปร่างไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย
แต่นิสัยเช่นนี้…กลับไม่เคยเปลี่ยนเลย
เขายกมือขึ้นพร้อมโบกเบาๆ
ชั่วพริบตาเดียวม่านพลังสีเขียวก็ปรากฏขึ้น! พร้อมปกป้องนายทหารที่เหลือทั้งยี่สิบคนเอาไว้!
ม่านพลังมีประกายแสงส่องออกมาจางๆ แรงกดดันพวยพุ่งออกมา! ทำให้ผู้คนรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก!
ทหารม้าทมิฬคนหนึ่งตอบสนองเป็นคนแรกสองมือประสานหมัด แววตามุ่งมั่น พร้อมพูดอย่างจริงจังว่า
“ขอบคุณคุณชายฉินมากขอรับ”
ตอนนั้นเองเสียงนั้นก็ได้เรียกสติของคนหลายคนขึ้นมา
นายทหารทั้งหลายต่างทยอยกล่าวขอบคุณ ด้วยสีหน้าซาบซึ้ง
ฉินอียิ้มเบาๆ
“ไม่ต้องขอบคุณข้า ถ้าจะขอบคุณ ให้ขอบคุณหลิวเยว่ดีกว่า ถ้าพวกเจ้าไม่ได้นางช่วยเหลือเอาไว้ในตอนแรก เรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีค่าอันใดให้พูดถึง”
อีกทั้งถ้านางไม่ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดออกมา เขาก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทำเรื่องเช่นนี้
ใครใช้ให้พวกเขาเป็นทหารของมู่ชิงเห่อเล่า?
ฉินอีรู้ ความจริงเรื่องในตอนนั้นไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนายทหารเหล่านี้ และไม่สามารถตำหนิพวกเขาได้จริงๆ
แต่เมื่อเห็นว่ามู่ชิงเห่ออยู่ที่นี่ ในใจของเขาก็รู้สึกไม่ยินดี และยังรู้สึกเหนื่อยหน่ายที่ต้องมองคนเหล่านี้
นายทหารทุกคนจึงหันไปโค้งหัวขอบคุณฉู่หลิวเยว่
“ขอบคุณคุณหนูฉู่!”
แม้ว่านายทหารส่วนใหญ่จะบาดเจ็บสาหัส แต่ในคำขอบคุณนี้เต็มไปด้วยพลังและความจริงใจ
พวกเขาต่างผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วน แน่นอนจึงรู้ว่าชีวิตนี้มีค่าเพียงใด
ฉู่หลิวเยว่ได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้มากขนาดนี้ ไม่เหตุผลอันใดที่เขาจะไม่ขอบคุณนางเลย
ทันใดนั้นทหารม้าทมิฬที่อยู่ด้านหน้าสุดก็พูดขึ้นมาว่า
“คุณหนูฉู่ ข้ามีนามว่าเถียนจ้วงจ้วง! จากนี้หากท่านต้องการสิ่งใด สามารถสั่งการมาได้เลย! ข้าเถียนจ้วงจ้วงจะไม่ปฏิเสธแน่นอน!”
เขาไม่เอ่ยชื่อตัวเองในนามของทหารม้าทมิฬ เขาพูดเพียงชื่อของตนเองเท่านั้น
นั่นหมายความว่านี่เขาใช้คำขอบคุณตอบแทนในเรื่องส่วนตัว
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่โค้งเป็นจันทร์เสี้ยว
“ข้าด้วย! คุณหนูฉู่ ข้ามีนามว่าโจวไข่อวิ๋น! พวกเราติดหนี้ชีวิตของท่านอยู่ ไม่ว่าต่อไปท่านจะสั่งอย่างใด ข้าจะทำตาม!”
โจวไข่อวิ๋นพูดจบแล้วก็เหลือบสายตามองมู่ชิงเห่อครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความลำบากใจ
“แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เวลาที่พวกเราสวมชุดเกราะทหารทมิฬอยู่ แหะๆ!”
เมื่อสวมชุดเกราะทหารม้าทมิฬแล้วพวกเขาล้วนไม่มีชื่อ มีแค่ตำแหน่ง “ทหารม้าทมิฬ” เท่านั้นที่ติดตัว!
การเชื่อฟังคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เหมือนเป็นอาญาสวรรค์ของนายทหาร
ทหารม้าทมิฬโดยเฉพาะกลุ่มที่มู่ชิงเห่อพามาด้วยกลุ่มนี้ เป็นกองทัพที่เข้มงวดด้านวินัยที่สุด
แต่เมื่อถอดชุดเกราะแล้ว พวกเขาก็คือพวกเขา!
คนที่ออกมาจากแดนภังคะได้นั้นล้วนเป็นชายที่หัวใจทระนง มีหรือที่พวกเขาจะไม่ตอบแทน?
“ข้าเจี่ยงหมิงซานก็ด้วย!”
“ข้าก็ด้วย! อันซิ่นเซี่ยง!”
“ข้าด้วย…”
…
เสียงต่างๆ ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงสะท้อนที่ทรงพลังก็ดังออกมา ราวกับว่าต้องการฉีกมิติที่ว่างเปล่านี้ให้ออกห่างจากกัน!
เหมือนว่าในอกของฉู่หลิวเยว่จะมีอันใดบางอย่างพลุ่งพล่านขึ้นมา
นางรู้
นางรู้มาโดยตลอด
คนเหล่านี้…
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมสะกดกลั้นอารมณ์ที่พวยพุ่งออกมา
“ข้าทราบเจตนาของพวกเจ้าทุกคนดี แต่ความจริงแล้วนี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ทุกท่านไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ คนที่ต้องพักฟื้นก็ให้อยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือก็ตามไปด้วยกัน รอเรื่องทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะกลับมาหาพวกเจ้า และกลับออกไปพร้อมกันทุกคน”
ฉู่หลิวเยว่ปลอบขวัญนายทหารด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
คนที่ควรรออยู่ที่นี่ก็ทยอยลุกขึ้นแล้วไปยืนอีกด้าน
คนที่ติดตามกองกำลังส่วนใหญ่ไปนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของฉู่หลิวเยว่แล้ว พวกเขาก็ต่างมีขวัญกำลังใจและยืนรวมกันเป็นกลุ่ม
มู่ชิงเห่อที่เห็นภาพเหตุการณ์ดังนั้นก็รู้สึกแอบตกใจเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งรู้จักกับนายทหารเหล่านี้ไม่นาน แต่นางกลับทำให้ทุกคน “เชื่อฟังและคล้อยตาม” ได้อย่างง่ายดายมาก
เหมือนว่าในร่างกายของนางมีรัศมีอันใดบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ จึงทำให้คนเชื่อฟังนางโดยไม่รู้ตัว และทำตามสิ่งที่นางพูดทันที
สูงส่ง น่าเกรงขาม และเต็มไปด้วยความสามัคคี
นางควบคุมสถานการณ์โดยไม่ต้องส่งเสียงใดๆ
เหมือนนางเกิดมาเพื่อเป็นคนที่อยู่จุดสูงสุดจริงๆ
ต่อให้ตอนนี้นางจะเป็นเด็กหญิงที่มีอายุสิบกว่าปีเท่านั้น อีกทั้งฐานะยังธรรมดา แต่สามารถสั่งการคนจำนวนมากโดยที่ไม่มีใครขัดขืนเลยแม้แต่น้อย
เหมือนกับว่า…นี่เป็นสิ่งปกติที่ควรทำอยู่แล้ว!
มู่ชิงเห่อไต่เต้าขึ้นมาจากด้านล่าง เขาจึงรู้ดีที่สุดว่าทหารเหล่านี้มีนิสัยอย่างใด
พวกเขาเคยเห็นคนตายมาจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว กล้ามเนื้อกระดูกของเขาผ่านการต่อสู้มานับร้อยนับพัน
เมื่อดูจากท่าทางของพวกเขา ความจริงแล้วพวกเขาดื้อรั้นอย่างมาก
นอกจากหัวหน้าของพวกเขาแล้ว เขาแทบจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของใครเลย
รวมถึงซั่งกวนหว่านก็ไม่มีทางควบคุมทหารม้าทมิฬได้อย่างหมดจด
และนี่เป็นเหตุผลสำคัญที่นางยืนยันว่าจะต้องให้เขาเดินทางมาในครั้งนี้ด้วย
ขอเพียงมีมู่ชิงเห่ออยู่ คนเหล่านั้นจะต้องเชื่อฟังตามคำสั่งของซั่งกวนหว่านแน่นอน
แต่ฉู่หลิวเยว่…
อาจจะเป็นเพราะวันนี้นางได้ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้?
มู่ชิงเห่อคิดอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
เมื่อมองไปท่าทางไร้เดียงสาของฉู่หลิวเยว่ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองคิดมากไป
นายทหารเหล่านี้ก็ต่างรู้ดีว่าถ้าจะตอบแทนบุญคุณของหลิวเยว่ พวกเขาไม่มีทางทำให้ทหารม้าทมิฬเสื่อมเกียรติอย่างแน่นอน
ไม่เช่นนั้นกองกำลังทหารม้าทมิฬเหล่านี้จะกลายเป็นของใครเสียแล้วล่ะ?
บางทีเขาอาจจะกังวลมากเกินไป…
มู่ชิงเห่อเลิกคิดเรื่องเหล่านั้น แล้วเดินทางพร้อมกองกำลังเหล่านั้นไป
…
หลังจากเปลวเพลิงสีชาดหายไป ซั่งกวนหว่านก็ยังรู้สึกกังวลและหวาดกลัวอยู่
ใครกำลังมองนางอยู่…
ใครที่เห็นนางแล้ว?
ใครกันที่รู้ว่านางเป็นคนทำเรื่องทั้งหมด!?
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าถ้านางอยู่ที่นี่จะไม่มีใครสัมผัสได้อย่างแน่นอน ตอนนี้นางรู้แล้วว่านางคิดผิด!
นางเดินไปมาอย่างกระวนกระวาย
การมีความเสี่ยงอันใดสักอย่างทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
ไม่ ไม่!
ตอนนี้นางควรจะฟื้นฟูเส้นชีพจรให้กลับมาคงเดิมสิ…
เมื่อครู่นางเตรียมตัวมาตั้งนาน หมายมั่นว่าจะลงมือกับทหารม้าทมิฬเหล่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาขวางไว้…
และตอนนี้อีกฝ่ายก็เจอตัวนางแล้ว…
ประกายแววตาคมกริบ พร้อมกับลงมืออีกทางทันที!
Comments