ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 832 ไม่ไว้ใจ
ตอนที่ 832 ไม่ไว้ใจ
หลังจากบัวระบำเหล่านั้นปรากฏขึ้นแล้ว ทันใดนั้นก็มีลำแสงมากมายนับไม่ถ้วนส่องลงมาจากท้องฟ้า ก่อตัวกลายเป็นม่านแสงชั้นบางๆ
ม่านแสงเหล่านั้นได้แบ่งทะเลสาบกระจกให้เป็นสองฝั่ง ครึ่งหนึ่งยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ระลอกคลื่นสงบนิ่ง อีกครึ่งหนึ่งกลับถูกปกคลุมด้วยหมอก ทำให้ทุกอย่างดูเลือนรางไปทั้งหมด
แม้กระทั่งหมู่มวลบัวระบำนั้น ก็ดูเหมือนจะห่างออกไป
เมื่อมองจากจุดที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ยืนอยู่ เห็นเพียงเงาพร่ามัวที่สะท้อนกับม่านแสง
ถ้าเป็นคนที่มาทีหลังพวกเขาอาจจะเดาไม่ออกว่า สิ่งที่อยู่ด้านหลังนั้นคือบัวระบำ
“นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่เนี่ย…”
พี่เหลยสี่เกาหัวด้วยความมึนงง จากนั้นเขาก็หันไปมองทางฉินอี แต่เห็นเพียงฉินอีขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น
พวกเขาทั้งสองคนอยู่ในป่าหมอกมายามาเกือบสองปีแล้ว นอกจากทะเลทรายจันทราสีชาดที่เขาไม่ค่อยได้ไปเท่าไร พื้นที่ส่วนอื่นในแดนภังคะเขาค่อนข้างจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ส่วนทะเลสาบกระจกแห่งนี้พวกเขามาที่นี่หลายสิบครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้เลย
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองฉากด้านหน้าตาเขม็ง
ไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงรู้สึกว่ามีใครบางคนที่คอยโอบอุ้มบัวระบำเหล่านี้เอาไว้
เพียงแต่นางไม่รู้ว่ามีใครที่มีพลังทรงพลังเช่นนั้น…
เหล่านี้คือบัวระบำที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง!
บางทีในชีวิตของคนธรรมดาทั่วไปอาจจะไม่ได้เห็นมันเลยตลอดเชีวิต แต่ทว่าที่นี่กลับมีจำนวนมากมาย!
นางกลั้นหายใจ จากนั้นก็หันไปมองม่านแสงบางๆ เหล่านั้น
ด้านบนเหมือนว่าจะมีประกายสีทองปรากฏขึ้น แต่หลังจากนั้นมันก็หายวับไป ไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ถ้าบัวระบำเหล่านี้มีเจ้าของเป็นคนคนเดียวแล้วละก็ เช่นนั้น…ทำให้อีกฝ่ายจึงปล่อยให้นางเด็ดออกมาหนึ่งดอกแบบนี้ล่ะ?
ฉู่หลิวเยว่ระงับความสงสัยมากมายที่อยู่ภายในใจ
“ดูเหมือนว่าส่วนที่เหลือจะไม่สามารถไปหยิบตามใจชอบได้แล้ว พวกเราไปกันเถิด!”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น ทุกคนก็เห็นด้วยทันที
แม้ว่าบัวระบำนั้นจะมีค่ามากมาย แต่ภาพเหตุการณ์แบบนี้มันก็ทำให้น่าทึ่งเกินไปหน่อยแล้ว
เพื่อความปลอดภัย พวกเขาควรออกจากที่นี่ให้ได้เร็วที่สุด
ไม่ว่าอย่างใดฉู่หลิวเยว่ก็สามารถเด็ดบัวระบำออกมาสำเร็จแล้วหนึ่งดอก ถ้าจะเอาอีกก็เกรงว่าจะโลภเกินไปแล้ว
เย่หรานหร่านถอนหายใจออกมายาวๆ
“ในที่สุดพวกเราก็ได้กลับบ้านแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่หยุดชะงักไปเล็กน้อย
“จริงสิ มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่ได้บอกพวกเจ้า…ตอนนี้ข้ายังกลับไปกับพวกเจ้าไม่ได้”
เมื่อสิ้นเสียงนั้น พวกเขาทั้งหลายก็ตกใจอย่างมาก
“ไม่กลับไปกับพวกเราหรือ? เหตุใดล่ะ? หรือว่าหลิวเยว่ เจ้ายังมีเรื่องอันใดที่ต้องทำอีกใช่หรือไม่?” สีหน้าตื่นเต้นยินดีของเย่หรานหร่านค่อยๆ หายไป แววตามีร่องรอยความผิดหวัง
นางเดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วย่นใบหน้ากลมๆ ก่อนจะถามขึ้น
“ถ้ายังมีปัญหาอันใดที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ละก็ ให้พวกเราอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนเจ้าดีหรือไม่?”
นางจินตนาการภาพที่พวกเขาและฉู่หลิวเยว่กลับไปถึงที่สำนักชงซูเก๋อมาหลายรอบแล้ว
ท่านเจ้าสำนักไม่รู้สถานการณ์ของฝั่งนี้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะคิดว่าฉู่หลิวเยว่จะต้องเกิดเรื่องแล้วอย่างแน่นอน
หากพวกเขาสามารถกลับไปพร้อมกันได้ ท่านเจ้าสำนักและคนอื่นๆ จะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
กลุ่มคนเหล่านั้นบอกนางแค่ว่าหลังจากออกมาแล้วให้ไปที่ทะเลทรายจันทราสีชาด แต่ไม่ได้บอกว่าพาคนอื่นไปด้วยได้หรือไม่…
แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความทรงจำที่สูญหายของนางและพวกเขา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือความทรงจำของซั่งกวนเยว่!
ตัวตนนี้ ไม่ว่าอย่างใดก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้
นางส่ายหน้าเล็กน้อย
“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้าจัดการเองได้ พวกเราตั้งหลายคนไม่ได้กลับไป ท่านอาจารย์จะต้องเป็นห่วงอย่างแน่นอน พวกเจ้ากลับไปก่อนเถิด ให้ท่านอาจารย์ได้สบายใจ แล้วข้าจะรีบกลับไป”
เห็นได้ชัดว่าคำพูดเหล่านี้ ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาเลย
เชียงหว่านโจวที่ยืนมาตลอดก็พูดขึ้นอย่างกะทันหัน
“เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะอยู่ที่นั่น”
น้ำเสียงของเขาเย็นชาและราบเรียบเหมือนเดิม แต่กลับเพิ่มความดื้อรั้นมากขึ้นเล็กน้อย
มู่หงอวี่พยักหน้าเล็กน้อย
“ใช่แล้ว! หลิวเยว่ พวกเรารอมาตั้งหลายวันขนาดนี้แล้ว แค่อีกนิดเดียวเองไม่ใช่หรือ? พวกเราอยู่ด้วยกัน จะได้ช่วยดูแลกันและกันมากขึ้นไง”
เมื่อได้เจอกับภาพเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก
ฉู่หลิวเยว่สามารถหลบหนีออกมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้นั้นอันตรายอย่างมากใครจะสามารถรับประกันได้ว่าสุดท้ายนางจะสามารถกลับออกไปได้อย่างปลอดภัย?
ท้ายที่สุดแล้ว ก็ยังกังวลใจอยู่ดี
แล้วฉู่หลิวเยว่จะไม่เข้าใจในความกังวลของพวกเขาได้อย่างใด?
เมื่อเห็นว่าพวกเขาสามารถโน้มน้าวใจได้ดีมาก ฉู่หลิวเยว่ก็เงียบไปครู่หนึ่ง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกเจ้าก็ตามข้ามา…”
ทันใดนั้นฉินอีก็ถามขึ้นอย่างกะทันหัน
“จะไปไหนหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ชี้ไปทางทะเลทรายจันทราสีชาด
“ทางนั้น!”
…
หอชุนเฟิง
ภายในห้องหนึ่งเต็มไปด้วยความเงียบ
ชีหานคิดไม่ถึงว่าสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์จะตรงไปตรงมาขนาดนี้ นางยอมรับโดยตรงเลยว่าโอสถเก้าสวรรค์ฟื้นคืนนั้นอยู่กับนาง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าของชิ้นนั้นมันล้ำค่าขนาดไหน ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่ในราชวงศ์เทียนลิ่งได้ครอบครองมัน เขาไม่กล้าพูดออกมาแม้แต่ครึ่งคำ
แต่ทว่าสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมา…
“ข้าเองคือคนที่อยู่ในคืนนั้น”
ชีหานเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า
เดิมทีสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์มีสีหน้าตึงเครียด แต่ตอนนั้นนางก็ผ่อนคลายลงไม่น้อยเลย
ในเมื่อชีหานกล้าพูดเช่นนั้น นั่นก็หมายความว่าเขาตกลงที่จะเจรจากับพวกเขาแล้ว
หากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ มันก็สะดวกขึ้นมากเลย
“เหตุใดเจ้าต้องไปขโมยของชิ้นนั้นด้วย?” ชีหานถามขึ้น
สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์หัวเราะขึ้นเบาๆ
“ความจริงนี้นี่เป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น ข้าตั้งใจจะทำเรื่องเช่นนี้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าวันนั้นเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”
เมื่อพูดจบนางก็ขึ้นด้วยความสงสัย
“จริงสิ แล้วเจ้าไปที่นั่นเพื่อของสิ่งนั้นเหมือนกันหรอกหรือ?”
ชีหานส่ายหน้า
“ไม่ใช่”
เขาสงสัยซย่าโหวหรงตั้งนานแล้วดังนั้นเมื่อเริ่มสืบก็ต้องเริ่มสืบจากเขา
ความจริงแล้ว ช่วงนี้ถ้าเขามีเวลา เขาจะเข้าไปที่จวนซย่าโหวเป็นประจำ
การทำงานหนักทำให้ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ในที่สุดวันนั้นเขาก็ได้ยินข้อมูลที่ต้องการ!
เพียงแต่ในตอนนั้นเขาตกใจและโมโหมากเกินไป จึงทำให้คนพวกนั้นรู้สึกตัว
และทำให้บังเอิญได้ช่วยสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์
เดิมทีเขาต้องการให้ฝ่าบาทกลับมาก่อน ค่อยเริ่มจัดการเรื่องเหล่านี้ ท้ายที่สุดแล้วตัวตนของเขานั้นก็อ่อนไหวมากเกินไป จากนั้นทำงานอย่างระมัดระวัง
แต่ฝ่าบาทยังไม่กลับมาเลย อีกทั้งวันมหามงคลสมรสขององค์หญิงสามและเจียงอวี่เฉิงก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว!
หลังจากที่เขาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงเริ่มสืบค้นทุกอย่างด้วยตนเองก่อน!
โชคดีที่เขาสามารถได้รับข้อมูลอันใดบางอย่างมา!
เมื่อสุ่ยหลิ่วเอ๋อร์นึกถึงสิ่งที่ซย่าโหวหรงพูดในวันนั้น รอยยิ้มของนางก็หุบลงทันที
สิบสามผู้พิทักษ์เยว่ถูกย้ายให้ออกจากถ้ำ ซย่าโหวหรงมีบทบาทสำคัญมากในเรื่องนี้
“ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าไปจวนซย่าโหว แล้วบังเอิญเจอเจ้าด้วย เจ้าน่าจะรู้มาตั้งนานแล้วสินะว่าซย่าโหวหรงจะหักหลังฝ่าบาท?”
ใบหน้าของชีหานเย็นชาอย่างมาก
“ถูกต้อง ไอ้แก่คนนั้นทรยศต่อคำสัญญาของฝ่าบาท เพราะความเห็นแก่ตัวของมัน มันควรจะต้องถูกลงโทษ!”
“เจ้าได้หลักฐานมาแล้วหรือ?” สุ่ยหลิ่วเอ๋อร์จำได้อย่างแม่นยำว่า ในตอนนั้นเขายังกล่าวถึงเอกสารปลอมที่สร้างขึ้นมาด้วย “แล้วอีกคนหนึ่งคือใคร? เจ้าพอจะรู้บ้างหรือไม่?”
ชีหานเปิดปากขึ้น แต่ทว่าไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา เขาเหลือบสายตาหันไปมองเจี่ยนเฟิงฉือ
เจี่ยนเฟิงฉือหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็เอนกายลงที่เก้าอี้ พร้อมยกยิ้มอย่างเกียจคร้าน “พูดก็พูดไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ ยังจะมาไม่ไว้ใจข้าอีกหรือ?”
Comments