ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 917 แล้วแต่เจ้า

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 917 แล้วแต่เจ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

สีหน้าของฉู่หลิวเยว่แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันควัน

“จ้าวจื่อเฉิง…”

หรงซิวจับมือนางและมองนางด้วยสายตาแน่วแน่ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ราวกับไม่สนใจคำพูดของจ้าวจื่อเฉิง เขาไม่รู้สึกโกรธที่ถูกยั่วยุหรือดูถูกเลย

“ถ้าข้าพิสูจน์ได้ว่าตัวเองมีค่าพอสำหรับเยว่เอ๋อล่ะก็ เช่นนั้นคุณชายรองจ้าวจักต้องเป็นฝ่ายทำในสิ่งที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ และสัญญาว่าจะไม่มารบกวนเยว่เอ๋ออีก ตกลงหรือไม่?”

จ้าวจื่อเฉิงคิดไม่ถึงว่านอกจากหรงซิวจะไม่โกรธแล้ว อีกฝ่ายยังใช้คำพูดของเขาเล่นงานเขาอีก ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นและถามอย่างเหลืออด

“พิสูจน์หรือ? เจ้ามีหลักฐานอันใด?”

ขนงเรียวและดวงตาของหรงซิวยังคงนิ่งสงบ เขายืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ ประหนึ่งภาพวาดทิวทัศน์อันงดงาม ทั้งยังเปล่งประกายและมีเสน่ห์ที่ไม่อาจพรรณนาได้

“ถ้าเจ้าอยากรู้ ข้าจักแสดงให้ดู”

น้ำเสียงของเขาเรียบเฉยราวกับไม่ได้ใส่ใจ

นี่คือความมั่นใจและความเชื่อมั่นที่เกิดจากความแข็งแกร่ง!

ทว่าสิ่งแรกที่จ้าวจื่อเฉิงคิดนั้น คือความเพ้อเจ้อของอีกฝ่าย

หรงซิวผู้นี้ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ แถมยังกล้าพูดเรื่องแบบนี้ออกมาโต้งๆ อีก!

สรุปแล้วเขารู้หรือเปล่าว่าราชวงศ์เทียนลิ่งเป็นเช่นไร?

นี่เขาคิดว่าตัวเองจะหาเรื่องคนที่นี่และบดขยี้พวกเขาได้ง่ายๆ หรือ!

ความคิดเช่นนี้ทำให้จ้าวจื่อเฉิงไม่สบอารมณ์มากกว่าเดิม!

ผู้ชายที่เย่อหยิ่งจองหองแบบนี้ไม่ควรได้เคียงคู่นาง!

ถ้านางไม่ชอบจ้าวจื่อเฉิงคนนี้ แล้วเลือกชายหนุ่มที่โดดเด่นคนอื่น เขาจะไม่พูดอันใดเลย

แต่หรงซิวคนนี้… เขายอมไม่ได้เด็ดขาด!

จ้าวจื่อเฉิงกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า

“ดี ในเมื่อเจ้ากล้าเผชิญหน้าข้าตรงๆ เช่นนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ เจ้าเลือกเกิดไม่ได้ ฉะนั้นข้าจะไม่เปรียบเทียบเรื่องฐานะ และเพียงแค่เจ้าพิสูจน์ได้ว่าแข็งแกร่งมากพอก็จบ! ข้าขอถามองค์ชายหรง เจ้าเป็นผู้ฝึกตนประเภทใด จอมยุทธ์ ปรมาจารย์หรือเซียนหมอ?”

หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

“ไม่ทราบว่าคุณชายรองเจ้าเก่งกาจในด้านใดมากที่สุดหรือ?”

จ้าวจื่อเฉิงตกตะลึงไปพักหนึ่ง พลันยืดตัวตรงวางท่าทางเคร่งขรึม แล้วตอบไป

“ปรมาจารย์”

อันที่จริงอีกสองแขนงที่เหลือเขาก็ทำมันได้ดี แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ตัวเขานั้นเก่งกาจด้านปรมาจารย์ที่สุด

และขอบเขตพลังปราณด้านปรมาจารย์ของเขา ก็สูงที่สุดในบรรดาสามแขนงนั้น

“เช่นนั้นก็เลือกปรมาจารย์”

หรงซิวกล่าวอย่างใจเย็น

ทั่วทั้งบริเวณตกอยู่ในความเงียบ

ผ่านไปครู่หนึ่ง จ้าวจื่อเฉิงก็เบิกตาโพล่งและถามอย่างตกใจ

“ปรมาจารย์หรือ? เจ้าแน่ใจหรือ?”

เขาบอกไปแล้วว่าเขาถนัดด้านปรมาจารย์ที่สุด แต่หรงซิวก็ยังเลือกแบบนี้…โนเวล-พีดีเอฟ

“แน่นอน ข้ามั่นใจ แต่หากคุณชายรองจ้าวต้องการประลองอย่างอื่น หรงซิวผู้นี้ก็จักเปลี่ยนตามที่เจ้าต้องการ”

สีหน้าของหรงซิวยังคงสงบนิ่ง ริมฝีปากบางแย้มยิ้มไม่สะทกสะท้าน

ท่าทางดังกล่าวทำให้จ้าวจื่อเฉิงหงุดหงิดอย่างสมบูรณ์

“ตกลง! เช่นนั้นก็ประลองปรมาจารย์! ถ้าเจ้าชนะข้าได้ จากนี้ไปข้าจะไม่เข้ามาวุ่นวายเรื่องนี้อีก!”

“แล้วก็ต้องอยู่ห่างๆ เยว่เอ๋อด้วย” หรงซิวเสริม

จ้าวจื่อเฉิงแทบสำลัก

“ย่อมได้!”

เมื่อได้ยินคำตอบนี้ หรงซิวก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ฉู่หลิวเยว่ชำเลืองมองที่หรงซิว

นี่เขา…

ตั้งใจหรือ?

เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าหรงซิวจงใจล่อลวงให้จ้าวจื่อเฉิงติดกับแล้วพูดคำเหล่านี้ออกมากันนะ…

จ้าวจื่อเฉิงรวบรวมสติ

“ถ้าอย่างนั้นก็วางนัดหมาย…”

“วันนี้เลยแล้วกัน!”

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำและทรงพลังดังขึ้นใกล้ๆ

หลายคนหันกลับไปมอง ก่อนจะเห็นว่าเป็นซั่งกวนโหยวที่เดินออกจากตำหนักหยวนเหอ

และเขาคือคนเอ่ยประโยคเมื่อครู่

“ท่านพ่อ”

ฉู่หลิวเยว่ร้องเรียก

หรงซิวประสานหมัดทั้งสองข้างแล้วโค้งตัวถวายบังคมซั่งกวนโหยว

“หรงซิวขอถวายบังคมฝ่าพระบาท”

จ้าวจื่อเฉิงคิดไม่ถึงว่าซั่งกวนโหยวจะมาปรากฏตัวขึ้นในเวลานี้ และพอตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายคงได้ยินที่เขาพูดเมื่อครู่ ก็พลันกระวนกระวายใจขึ้นมา ก่อนจะถวายบังคมอย่างเคารพ

ซั่งกวนโหยวหันมองหรงซิว ดวงตาฉายแววประหลาดใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความชื่นชมเช่นกัน

เขารออยู่ในตำหนักหยวนเหอนานแล้ว แต่ไม่มีใครมาเลยสักคน จากนั้นเขาก็ได้ยินคนรับใช้ซุบซิบกันว่ามีคนก่อเรื่องขึ้นที่ด้านนอก ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเดินออกมาดู

คราแรกเขาเห็นลูกน้อยของเขาเยว่เอ๋อ ก่อนจะเบนสายตาไปอีกทาง และเห็นชายในชุดคลุมสีขาวอีกคนยืนอยู่ข้างนาง

ซึ่งพอเห็นคนทั้งสองยืนอยู่ใกล้กันเพียงนั้น เขาก็พอจะเดาตัวตนของคนคนนี้ได้แล้ว

ถึงก่อนหน้านี้เขาจะเห็นเพียงแผ่นหลังของอีกฝ่าย แต่ซั่งกวนโหยวก็รับรู้ได้ถึงศักดิ์ศรีและความมุ่งมั่นในตัวหรงซิว

จนอดแปลกใจหน่อยๆ ไม่ได้

วางมาดใหญ่โตเช่นนี้ แม้แต่บุตรจากตระกูลขุนนางทั่วไปก็ยังเทียบไม่ติด

เขาครองบัลลังก์มานานหลายปี และเขาย่อมมองคนออก

บนร่างกายของหรงซิวเต็มไปด้วยลมปราณที่สง่างาม ซึ่งจะมีเฉพาะผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงเท่านั้น

เขาเคยพบจักรพรรดิแห่งแคว้นเย่าเฉินมาสองสามครั้ง แต่คนผู้นั้นไม่สามารถเทียบกับชายหนุ่มผู้นี้ได้เลย

ราวกับว่าเขาไม่ใช่คนที่เติบโตมาจากแคว้นเย่าเฉิน…

“เจ้าคงเป็นหรงซิวสินะ…”

ซั่งกวนโหยวเขยิบเข้ามายืนใกล้ๆ และประจันหน้ากับเขาตรงๆ ซึ่งมันทำให้ซั่งกวนโหยวมองเห็นใบหน้าของหรงซิวได้ชัดเจน พลันคิ้วกระตุกรัว

นี่มัน… จักเกิดมาสมบูรณ์แบบเกินไปหรือเปล่า?

แม้แต่เขาเองก็ยังต้องยอมรับว่า ชีวิตนี้เขาไม่เคยเห็นใบหน้าที่สูงส่งและไร้เทียมทานเช่นนี้มาก่อนเลย

ขนาดผู้ที่ได้ชื่อว่ามีใบหน้างดงามที่สุดในซีหลิงอย่างเจียงอวี่เฉิง หน้าก็ยังต้องถอดสีเมื่อเจอคนคนนี้

พอเทียบกันแล้วก็ไม่ต่างอันใดกับหิ่งห้อยที่คิดสู้แสงเดือนแสงตะวันเลยสักนิด มันช่างน่าสลดใจยิ่งนัก!

แค่มองแวบเดียว ซั่งกวนโหยวก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดบุตรสาวของตนถึงชอบเขา

…นั่นเพราะใบหน้าแบบนี้ ที่ทำให้เด็กสาววัยแรกแย้มอย่างนางถูกล่อลวงให้ตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น!

ซึ่งหากเมื่อครู่เขาไม่ได้แอบฟังจนรู้ว่าชายผู้นี้มีความรับผิดชอบและกล้าหาญมากเพียงใด ป่านนี้ซั่งกวนโหยวคงคิดว่าลูกสาวสุดที่รักของตน ถูกอาคมชั่วร้ายจากใบหน้านี้ครอบงำเข้าให้แล้วแน่ๆ

“ท่านพ่อ ข้ากับหรงซิวกำลังจะไปพบท่าน แต่บังเอิญเจอคุณชายรองจ้าวเสียก่อน หากพวกเราไปช้านิดหน่อย ท่านคงไม่โกรธใช่หรือไม่?” ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ

ซั่งกวนโหยวหัวเราะ เมื่อรู้ว่านางกำลังพูดเพื่อหรงซิว แต่เมื่อเห็นว่านางปกป้องหรงซิวมากเพียงนี้ ในใจก็พลันรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

“เจ้าคิดว่าพ่อเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเลยหรือ?”

หัวใจของจ้าวจื่อเฉิงแทบหยุดเต้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้

ความจริง… ความจริงพวกเขานัดกันไว้ตั้งนานแล้วหรือ?

เช่นนั้น ที่เขาทำไปก็…

พอคิดถึงตรงนี้ จ้าวจื่อเฉิงก็ยิ่งกังวลมากขึ้น

ซั่งกวนโหยวหันมองจ้าวจื่อเฉิงที่อยู่ด้านข้างแล้วแอบถอนหายใจ

ถึงฝีมือของจ้าวจื่อเฉิงจะยอดเยี่ยมในทุกด้าน แต่ถ้าเยว่เอ๋อไม่ชอบแล้วจักทำอย่างใดได้

ในตอนนั้น จ้าวจื่อเฉิงจากซีหลิงไปด้วยความเศร้าเพราะเจียงอวี่เฉิงได้ทำสัญญาหมั้นหมายกับเยว่เอ๋อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องงานหมั้น

และตอนนี้เจียงอวี่เฉิงก็พ่ายแพ้และถูกจองจำแล้ว ทว่าจ้าวจื่อเฉิงก็ยังคงโหยหาเยว่เอ๋อ ดังนั้นเขาจึงมาที่นี่เพื่อขอนางแต่งงาน ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องผิดอันใด

แต่น่าเสียดายที่เขาช้าไปก้าวหนึ่ง

“ในเมื่อพวกเจ้าตกลงกันแล้ว เช่นนั้นจะมัวเสียเวลาหาวันนัดไปไย มาทำให้มันจบๆ ไปวันนี้ก็สิ้นเรื่อง!”

และเขาเองก็อยากเห็นว่าหรงซิวคนนี้จะแข็งแกร่งแค่ไหน!

ก่อนหน้านี้เยว่เอ๋อยกย่องอีกฝ่ายต่างๆ นาๆ แต่เขาก็ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว

เขาจึงอยากยืนยันด้วยตาตัวเอง!

“บังเอิญว่าด้านหลังตำหนักหยวนเหอมีสนามฝึกซ้อมอยู่ ฉะนั้นก็ไปที่นั่นกันเถอะ!”

พอซั่งกวนโหยวตรัสเช่นนั้น คนที่เหลือจึงไม่สามารถคัดค้านได้

จากนั้นคนทั้งหมดก็เดินเข้าไปในตำหนักหยวนเหอ

แต่ฉู่หลิวเยว่ดึงแขนเสื้อของหรงซิวไว้และกระซิบถาม

“หรงซิว เจ้าฝึกจนกลายเป็นปรมาจารย์ตั้งแต่เมื่อใดกัน? จ้าวจื่อเฉิงถนัดสู้ในแขนงนี้มาก แล้วเจ้า… เจ้าจะทำได้ใช่หรือไม่?”

————————————————————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด