ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 939 กล้า

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 939 กล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 939 กล้า

คนของราชวงศ์ไท่อวี่ไม่ได้พูดอันใดออกมาอีกแม้แต่ประโยคเดียว แล้วจากไปเสียเดี๋ยวนั้น ดูอย่างใดก็มองออกว่าตกที่นั่งลำบากอยู่บ้าง

กระทั่งเงาคันรถลับสายตาไปจนสิ้นแล้ว ฉู่หลิวเยว่จึงหัวเราะแผ่วเบาออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นเบนสายตามาทางนายทหารสองคนนั้น

“เชิญท่าน…”

นายทหารทั้งสองต่างก็ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง เชื้อเชิญให้นางเข้าไปด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง

แววตาของฉู่หลิวเยว่เข้มขึ้นเล็กน้อย

ไม่รู้ว่าจวินจิ่วชิงผู้นั้นคิดอันใดอยู่ในหัวกันแน่ ถึงได้จงใจมอบเรือนรับรองหลังที่ดีที่สุดให้นาง แม้มองผิวเผินจะดูเป็นการดูแลนาง แต่แท้จริงแล้วมันกลับเป็นการขุดหลุมฝังนางเสียเอง

เรื่องในวันนี้ เห็นทีคงแพร่ออกไปไวเป็นแน่แท้

ไม่เพียงแต่ราชวงศ์ไท่อวี่ เพราะหากสองราชวงศ์ที่เหลือได้ยินข่าว ย่อมต้องบังเกิดความไม่พอใจ

ผู้ที่มีความสามารถอ่อนด้อยที่สุดได้อยู่ในสถานที่ๆ ดีที่สุด เรื่องพรรค์นี้จะเป็นไปในทางไหน ล้วนนำไปสู่ข้อพิพาททั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของแต่ละราชวงศ์อีกด้วย!

ไม่แน่ว่ามันอาจนำเรื่องวุ่นวายมาให้ในภายหลัง

ราวเขาจงใจผลักนางให้ล้มต่อหน้าทุกคน…

เพียงแต่ว่า…

ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง

ในเมื่ออีกฝ่ายยียวนกันซึ่งๆ หน้าเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็จะเล่นตามน้ำไป!

เรียวขายาวก้าวออกครั้งหนึ่ง แล้วนางก็เดินเข้าไปในประตูใหญ่!

“หลิวเยว่ องค์รัชทายาทแห่งเป่ยหมิงผู้นั้น เจ้ารู้จักหรือไม่? เหตุใดเขาจึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?”

เมื่อเข้ามาในที่พัก มู่หงอวี่ที่เห็นทิวทัศน์โดยรอบงดงามตระการตา ก็ยิ่งกระเถิบเข้ามาใกล้อีกหน่อยอย่างอดไม่ได้ พลางเอ่ยถามเสียงเบา

ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ

“ไม่รู้จัก ไม่เคยเจอ”

“แล้วจุดประสงค์ที่เขาคิดทำเช่นนี้คืออันใดกัน?”

มู่หงอวี่กวาดสายตามองรอบหนึ่ง ในใจบังเกิดความกังวลขึ้นมาจางๆ

“ที่แห่งนี้จะว่าดีก็ดี แต่เปิดโล่งเช่นนี้ คงไม่คิดจะเปลี่ยนเราเป็นเป้าหมายแทนหรอกใช่หรือไม่?”

ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ

แม้แต่มู่หงอวี่ที่เป็นคนซื่อตรงเช่นนี้ ยังมองเจตนาของอีกฝ่ายออก เห็นได้ชัดเลยว่าจุดประสงค์นี้เปิดเผยเถรตรงขนาดไหน

“ผลประโยชน์ส่งตรงมาถึงหน้าประตู อย่าได้ปฏิเสธโดยเปล่าประโยชน์”

ฉู่หลิวเยว่เดินไปพลางยกมือขึ้นมาชี้นั่นชี้โน่นไปพลาง

“สถานที่แห่งนี้เป็นที่ๆ จักรพรรดิเป่ยหมิงเคยมาประทับอยู่หลายครั้งต่อหลายครั้ง อย่างใดเสียก็เป็นสถานที่ๆ มีปราณมังกรของจริงมารวมตัวอยู่ และการที่พวกเขาชื่นชอบสถานที่แห่งนี้ได้ถึงเพียงนั้น ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าพื้นที่นี้ไม่ธรรมดา พูดอีกอย่างก็คือ แค่ภายในเรือนนี้มีค่ายกลระดับเก้าอยู่ก็กำไรเกินพอแล้ว หากฝึกปรืออยู่ที่นี่คงจะพัฒนาได้รวดเร็วไม่น้อย”

“ถูกต้องแล้ว! ผู้อื่นคิดเล่นหัวเราเช่นนี้ จะกล้ำกลืนความอับอายไปไย? เยว่เอ๋อพูดได้ถูกต้องนัก พวกเราจะอยู่ที่นี่กันนี่แหละ!”

นัยน์ตาสองข้างของผู้อาวุโสซูจิ่นสว่างเป็นประกาย พลางเดินเข้าไปข้างในด้วยความรวดเร็ว

“ข้าไปดูก่อนแล้วกันว่าค่ายกลนี้เป็นเช่นไร เยว่เอ๋อ อย่าลืมร่างแบบค่ายกลก่อนหน้านี้ส่งให้ท่านอาจารย์ด้วยนะ!”

ครั้นสิ้นเสียงพูด เงาร่างของคนผู้นั้นก็ไม่อยู่แล้ว

“อ๊ะ…”

เซียวหรานที่กำลังจะเรียกนาง หันไปมองฉู่หลิวเยว่อย่างลังเลแวบหนึ่ง

ฉู่หลิวเยว่กลั้นขำ

“ท่านอาจารย์ซูจิ่นเวลาเห็นค่ายกลทีไรเป็นต้องคลั่งไคล้ ไม่สนใจอันใดทั้งนั้น คงต้องขอให้ผู้อาวุโสเซียวหรานตามไปดูเสียหน่อย”

ใบหน้าของเซียวหรานพลันปรากฏความอับอายเคลื่อนผ่านอย่างรวดเร็ว ทว่าก็ยังคงมองนางด้วยสายตาขอบคุณ จากนั้นก็ไล่ตามอีกคนไป

ฟึ่บ!

เจี่ยนเฟิงฉือโบกพัดไหวๆ ด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ ดวงตาอันเย็นชาราวกับวิญญาณน้ำแข็งก็มิปานคู่นั้น มองไปยังฉู่หลิวเยว่อย่างสนอกสนใจและใคร่สอดรู้

“อา ข้าถามหน่อยสิ เจ้ากับจวินจิ่วชิงอันใดนี่ ไม่มีอันใดในกอไผ่จริงหรือ?”

ฉู่หลิวเยว่ปรายตามองเขาเย็นเยียบ

“ข้าทำให้เจ้ากับเขามีอันใดกันได้นะ”

เจี่ยนเฟิงฉือพลันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วแผ่นหลัง แล้วรีบล่าถอยอย่างรู้กาลเทศะ

“ฮ่าฮ่า! ข้าก็แค่ล้อเล่นเท่านั้น! ล้อเล่นน่ะล้อเล่น! จริงๆ แล้วเป็นจิงหงต่างหากที่ให้ข้ามาถาม”

อวี่เหวินจิงหง “???”

ทว่าในตอนที่เขากำลังจะเถียงออกไปนั่นเอง เจี่ยนเฟิงฉือก็เอื้อมมาปิดปากเขาไว้

“ไปไป! ไปฝึกกัน! หลังจากนี้พวกเราต้องแข่งขันกับพวกอัจฉริยะจากราชวงศ์อื่น เกิดแพ้แล้วขายหน้าเขาขึ้นมาจะไม่ดี!”

พูดจบก็ลากอวี่เหวินจิงหงออกไปอย่างรวดเร็ว

“ฝ่าบาท เช่นนั้นกระหม่อมเองก็ขอตัวก่อน”

อู๋หมิงกล่าวอย่างนอบน้อม

ในบรรดาคนที่มาด้วยกันนี้ แม้ความสามารถของเขาจะไม่ได้อ่อนแอที่สุด แต่เขากลับรู้สึกได้จางๆ ว่าคนเหล่านี้ล้วนแข็งแกร่ง

เพียงอยู่ร่วมกันได้แค่ไม่กี่วัน เขาก็รู้สึกได้ว่าปราณในร่างของคนเหล่านี้ล้วนมีการพัฒนาขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งนี้ทำให้เขาเองก็เริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาบ้าง จึงแอบคิดอยู่ในใจว่าต้องฝึกปรือให้มากกว่านี้อีก!

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มพลางผงกศีรษะ

อู๋หมิงเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักนิมิตสวรรค์ เขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่น และที่สำคัญยิ่งกว่าคืออุปนิสัยที่เด็ดเดี่ยวจริงจัง

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่นางพาเขาติดสอยห้อยตามมาด้วย

ดูท่าทีเช่นนี้ของเขาแล้ว ชัดเจนว่าตระหนักรู้เป็นที่เรียบร้อย คงตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกฝนให้ดีและพัฒนาความสามารถของตน

นี่เป็นสิ่งที่นางพึงใจที่ได้เห็นทีเดียว

บัดนี้พวกเราได้มาพักอยู่ที่นี่ มันก็ยิ่งเอื้อประโยชน์ต่อการฝึกปรือเข้าไปใหญ่

ไม่แน่ว่าหลังจากจบการต่อสู้ครั้งนี้ เขาอาจจะได้กลายเป็นผู้นำในด้านแขนงวิทยายุทธก็เป็นได้

อู๋หมิงรับคำเสียงหนึ่งแล้วจากไป

มู่หงอวี่เองก็ตามหลังเจี่ยนเฟิงฉื่อไป และพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองกันไม่นานหลังจากนั้น

ช่วงนี้นางเพิ่งไปเรียนกระบวนท่าใหม่ๆ จากท่านอาจารย์มา รู้สึกคันไม้คันมือจะแย่อยู่แล้ว!

ครั้นคนทั้งหลายแยกย้ายกันไปแล้ว ผู้อาวุโสเฉินเค่อก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงลังเลอยู่บ้าง

“ฝ่าบาท ท่าน… มิทรงกังวลจริงๆ หรือ? แม้ว่าอยู่ที่นี่เองก็ได้ประโยชน์ แต่…”

เขาคิดมาตลอดว่าการเดินทางครั้งนี้ทำให้คนรู้สึกไม่สงบใจอยู่บ้าง…

ราวกับว่ามีคนคอยจัดการเรื่องทั้งหมดไว้อยู่แล้วในมุมมืด

คิ้วเข้มของฉู่หลิวเยว่ขมวดปมเล็กน้อย หว่างคิ้วของนางปรากฏความเจ้าเล่ห์อยู่บ้าง ทว่านัยน์ตากลับทอประกายเย็นเยียบอันชวนให้หนาวไปถึงกระดูก

“มีอันใดให้ต้องกังวล ข้ากล้ามาที่หลินโจวแห่งนี้ วังแห่งนี้ข้าก็กล้าอยู่!”

นางก้าวเท้าเดินไปด้านหน้าด้วยหลังไหล่ตรงสง่าผ่าเผยและท่าทีเคร่งขรึม!

“ไม่ว่าจะเป็นภูตผีปีศาจหน้าไหน ตัวข้าก็สยบได้หมด! ผลประโยชน์ที่ได้จากที่นี่…ข้าเองก็ตัดสินใจรับไว้แล้ว!”

ณ พระราชวังเป่ยหมิง

บริเวณพื้นที่ล่าสัตว์

โดยปกติแล้วในพระราชวังจะไม่มีพื้นที่ล่าสัตว์ และส่วนใหญ่แล้วจะไปตั้งไว้นอกวัง

ทว่าที่พระราชวังเป่ยหมิงที่แห่งนี้ กลับมีพื้นที่ล่าสัตว์ขนาดใหญ่อยู่กลางวัง

พื้นที่ล่าสัตว์แห่งนี้ปกคลุมไปด้วยแสงเงินแสงทอง โดยรอบถูกล้อมด้วยรั้วสูงที่ทำจากเหล็กหล่อ รั้วแต่ละต้นล้วนมีความหนาเท่าต้นขาของผู้ใหญ่ มันถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ด้านบนยังมีลวดหนามพันเอาไว้ หากไม่ระวังแม้เพียงน้อยนิดก็จะถูกหนามเกี่ยวตกลงมากลายเป็นชิ้นเนื้อก้อนใหญ่

ซึ่งหากมองดูดีๆ แล้ว จะยังคงเห็นได้ว่ามีคราบเลือดที่เปรอะเป็นจุดหย่อมๆ อยู่บนรั้ว

บ้างก็เป็นคราบที่แห้งกรังนานแล้วหลายปี

แล้วก็ยังมีคราบใหม่ที่เพิ่งเปื้อนสดๆ ร้อนๆ สีดำแดงเข้มเสียจนหาสิ่งใดเปรียบ

ทั่วทั้งพื้นที่ล่าสัตว์ล้วนตลบอบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น

นอกจากนี้ เหนือพื้นที่ล่าสัตว์ขึ้นไปยังมีค่ายกลวงหนึ่งที่ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดเอาไว้

ทั้งนกและสัตว์ร้ายต่างๆ ล้วนไร้ทางหนีออกจากที่นี่โดยสมบูรณ์!

ในตอนนั้นเอง บริเวณตรงกลางของพื้นที่ล่าสัตว์ มีคนผู้หนึ่งนอนแผ่อยู่บนพื้น

บริเวณลำคอของเขามีเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา เขานอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น หายใจด้วยแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอย่างทุกข์ทรมาน

หากไม่ใช่ว่าหน้าอกของเขายังคงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างอ่อนแรง สภาพของเขาก็คงทำให้คนคิดว่าเขาสิ้นลมไปแล้วจริงๆ

แต่ว่าแท้จริงแล้ว ตัวเขาในตอนนี้เดิมทีก็เรียกได้ว่าตายทั้งเป็น

เพราะว่านกที่มีขนสีขาวตัวหนึ่งกำลังใช้กรงเล็บแหวกหน้าอกของเขาออก จากนั้นก็กลืนกินหัวใจของเขาไป!

ด้านข้างมีสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนยืนล้อมรอบพากันจับจ้องฉากตรงหน้าด้วยสายตาละโมบเป็นมันไร้สิ่งใดเปรียบ

อย่างใดก็ตาม แม้ว่าน้ำลายของพวกมันจะไหลยืดออกมาเป็นสายแล้ว แต่พวกมันก็ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าแม้แต่ก้าวเดียว!

ด้วยเพราะว่าด้านนอกของรั้ว มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่!

“องค์ชาย คณะเดินทางของราชวงศ์เทียนลิ่งเข้าพักที่วังหลังนั้นแล้วขอรับ”

องครักษ์ผู้หนึ่งก้าวเข้ามาอย่างรวดเร็วแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง พร้อมเอ่ยด้วยความยำเกรง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด