ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ 992 ทะลวงลิขิตสวรรค์

Now you are reading ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ Chapter 992 ทะลวงลิขิตสวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 992 ทะลวงลิขิตสวรรค์

พลังจิตวั่งเสิ่น หรือก็คือปรากฏการณ์จากฟ้าร้องฟ้าผ่าที่จะเผยตัวออกมา ยามที่ผู้ฝึกตนกำลังเข้าสู่กระบวนการของด่านวั่งเสิ่น!

มันไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนที่ต้องการทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์จะดับเจ็ด จะสามารถเรียกออกมาได้ทุกคน

โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงอัจฉริยะที่มีศักยภาพสูงเท่านั้น ที่สามารถทำเช่นนี้ได้

แต่ถึงกระนั้น คนส่วนใหญ่จะสามารถเรียกพวกมันออกมาได้ ก็ต่อเมื่อพวกเขาใกล้ทะลวงผ่านระดับเจ็ดแล้ว

ไม่เหมือนนางที่หลังจากเริ่มบุกทะลวงได้ไม่นาน กลับปรากฏทัณฑ์สวรรค์ขึ้นแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นภาพที่เกิดขึ้นน้อยมาก!

“ไฉนมันถึงปรากฏออกมาเร็วเพียงนี้!?”

ถานไถเฉินเริ่มลังเลพลันเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก

ซั่งกวนเยว่สามารถเรียกพลังจิตวั่งเสิ่นออกมาได้ ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ!

จริงอยู่ที่ตอนนี้นางคืออัจฉริยะผู้ครอบครองชีพจรตี้จิง แถมยังได้ทำสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ นางจึงได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่เยี่ยมยอดที่สุดในหมู่คนรุ่นใหม่

แต่มันเร็วเกินไปที่พลังจิตวั่งเสิ่นจะเผยออกมา!

“ยิ่งพลังจิตวั่งเสิ่นปรากฏขึ้นเร็วเท่าไร แรงกดดันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น และการทดสอบที่ผู้ฝึกตนจักต้องเผชิญ ก็จะยิ่งยากลำบากมากขึ้นเท่าตัว”

หนิงหยวนพูดช้าๆ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มทุ้มและทรงพลัง

“แน่นอนว่า มันยังแสดงให้เห็นว่าผู้ฝึกตนสามารถพัฒนาได้ถึงระดับที่สูงกว่านี้อีก”

กล่าวอย่างสรุปก็คือ ผู้ที่สามารถเรียกพลังจิตวั่งเสิ่นออกมาได้นั้น ถือเป็นอัจฉริยะขนาดแท้

และยิ่งพลังจิตวั่งเสิ่นปรากฏตัวเร็วเท่าไร พลังปราณสีทองที่ซ่อนอยู่ในตัวของอัจฉริยะคนนี้ก็จะยิ่งสูงขึ้น!

ใบหน้าของถานไถเฉินมืดมนราวกับจะหลั่งน้ำตาออกมาอย่างใดอย่างนั้น

ถึงหนิงหยวนไม่พูด พวกเขาก็รู้อยู่แล้ว!

และด้วยเหตุนี้ เขาถึงได้ตกใจเสียจนสติหลุด!

…เพราะนั่นหมายความว่า พรสวรรค์ของซั่งกวนเยว่นั้นแข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดไว้อีก!

แต่จู่ๆ กงซุนเซียวก็พูดว่า

“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ข้าได้เห็นพลังจิตวั่งเสิ่นที่ปรากฏออกมาเร็วขนาดนี้”

น้ำเสียงของเขาไม่ได้ฟังดูคุยโวโอ้อวดเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว จากนั้นเขาก็นั่งตัวตรงพร้อมทำหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว ทัศนคติของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก

เห็นได้ชัดว่ายามนี้ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่าพรสวรรค์และศักยภาพของซั่งกวนเยว่นั้น มีมากกว่าที่อีกฝ่ายเคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้เสียอีก!

“ไม่แปลกเลยที่นางจะทะลวงค่ายกลของหุบเขาบรรพกาลเฟิ่งหวงได้…”

แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากองค์ไท่จู่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่งผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขา แต่นางคือคนที่ฟาดฟันกระบี่เล่มนั้นด้วยตัวเอง!

ถ้านางไร้ความสามารถจริงๆ ล่ะก็ นางจักขึ้นไปบนยอดภายในอันสั้นได้อย่างใด และแม้กระทั่งตอนนี้ นางก็ยังยืดหยัดต่อสู้กับจวินจิ่วชิงในศึกสุดท้ายนี้อย่างไม่ย่อท้อ!

ทันใดนั้นหนิงหยวนก็นึกบางอย่างขึ้นได้ พลันหันกลับมามองจวินฉีจือ

“มิทราบว่ายามที่องค์รัชทายาทแห่งเป่ยหมิงทะลวงขึ้นสู่ระดับเจ็ดนั้น เขาใช้เวลานานเพียงใดกันถึงเรียกพลังจิตวั่งเสิ่นออกมาได้?”

จวินฉีจือไม่ได้ตอบกลับ แต่สีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมขึ้นกว่าครู่ก่อน

ชัดเจนว่าสถานการณ์ในตอนนี้เองก็ส่งผลกระทบต่อเขาไม่น้อย

“… ดูเหมือนว่าจักรพรรดิองค์ใหม่แห่งราชวงศ์เทียนลิ่งนั้น จะมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาเลย… ขนาดตอนนี้นางยังเป็นรองจิ่วชิงอยู่แค่นิดเดียว ถ้าหากให้เวลานางสักสองสามปี…. บางทีนางอาจจะสู้จิ่วชิงได้จริงๆ ก็ได้!”

ครั้นสิ้นเสียง ทุกคนก็ต่างมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง

จวินฉีจือพูดอย่างถ่อมตนและเป็นกลางสุดๆ เท่าที่จะทำได้

พูดง่ายๆ ก็คือพรสวรรค์ของซั่งกวนเยว่นั้นเรียกได้ว่าสูสีกับจวินจิ่วชิง!

และเขายังบอกว่าอีกไม่กี่ปีต่อจากนี้ ทั้งสองอาจเผชิญหน้ากันได้อย่างทัดเทียม!

แต่ทุกคนย่อมรู้ว่าปัจจุบันจวินจิ่วชิงคือจอมยุทธ์ระดับเก้า!

และตอนนี้ซั่งกวนเยว่เพิ่งจะถึงระดับหกขั้นสูงสุดเท่านั้น!

แต่เขากลับประเมินซั่งกวนเยว่ไว้สูงกว่าที่คิด…

“ในเมื่อนางมีความสามารถ เช่นนั้นก็ต้องผ่านกระบวนการในวันนี้ไปให้ได้!”

ถานไถเฉินกำหมัดแน่น ความโกรธเกรี้ยวบ้าคลั่งฉายชัดในดวงตาของเขา

“ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาพิชิตพลังจิตวั่งเสิ่นได้สำเร็จ! ไม่ว่าพลังจิตวั่งเสิ่นจะแข็งแกร่งเพียงใด นางก็ต้องใช้ทักษะที่มีรอดออกไปให้ได้!”

เพราะหากพ่ายแพ้แล้วถูกสายฟ้าเหล่านั้นหันมาแว้งกัดเสียเอง คงไม่ใช่เรื่องน่ายินดีแน่นอน!

จวินจิ่วชิงขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะที่เงยหน้ามองปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าผ่าที่เกิดขึ้นบนท้องฟ้า

การที่นางเรียกพลังจิตวั่งเสิ่นออกมาได้นั้นพอจะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง

แต่มันไม่ควรจะออกมาตอนนี้!

ทั้งๆ ที่ถูกพลังปราณดั้งเดิมอันไร้ขีดจำกัดล้อมไว้ และยังถูกพลังปราณศักดิ์สิทธิ์คอยคุกคามตลอดขนาดนั้น ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่คนที่สภาพร่างกายพร้อมกว่านางยังต้องถอย แต่นางกลับยังกล้าฝืนทะลวงขั้นพลังปราณอีก!?

แค่นี้ยังหาเรื่องใส่ตัวไม่พออีกหรือไร?

แววตาของจวินจิ่วชิงมืดลง จากนั้นลมปราณในกายเขาก็พลุ่งพล่านขึ้นมา!

เพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ พลังปราณดั้งเดิมเหล่านั้นก็ทำท่าจะไหลกลับมาหาเขาแล้ว!

แต่มันจะง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?

ฉู่หลิวเยว่จำต้องกลืนกินพลังปราณดั้งเดิมของสวรรค์และโลก เพื่อทะลวงขอบเขตพลังปราณให้ได้!

และกระบวนการนี้คือลิขิตของสวรรค์ ที่ผู้ฝึกตนคนใดก็มิอาจสามารถหยุดหรือเปลี่ยนแปลงมันได้!

ซึ่งนี่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ฉู่หลิวเยว่เชื่อมั่น และยืนหยัดในการทะลวงต่อไป

…ไม่ว่าจวินจิ่วชิงจะทรงพลังเพียงใด ก็มิอาจสู้ลิขิตสวรรค์ได้!

เมื่อเห็นว่าเหล่าสายฟ้าเคลื่อนตัวไปมาอย่างบ้าคลั่งในหมู่เมฆ และขยายตัวกับเพิ่มระดับความรุนแรงขึ้นด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สีหน้าของจวินจิ่วชิงก็ค่อยๆ เย็นชาขึ้นมาทีละนิด

พลันตระหนักได้ทันทีว่าเหตุการณ์นี้เริ่มบานปลาย จนไม่มีใครหยุดมันได้แล้ว!

ส่วนเรื่องผลลัพธ์นั้น… ล้วนขึ้นอยู่กับนางแล้ว!

เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาของคนอื่นๆ แล้ว ฉู่หลิวเยว่กลับสงบเงียบกว่าใคร

แม้ว่าดวงตาของนางจะปิดอยู่ แต่นางก็สัมผัสได้ถึงเสียงฟ้าร้องบนท้องฟ้า

ต้องขอบคุณทักษะจากอดีตชาติของนาง เพราะหลายๆ สิ่งที่นางประสบอยู่ตอนนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งนางเคยเผชิญมาแล้วทั้งนั้น ในเมื่อมีประสบการณ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว มันก็จะช่วยให้กระบวนการในครานี้ราบรื่นมากกว่าเดิม

เพียงแต่ในใจนางก็ยังสงสัยว่า

…พลังจิตวั่งเสิ่นนี้ปรากฏขึ้นเร็วไปหน่อย…

ไม่สิ ต้องบอกว่ามันแปลกที่สิ่งนี้ปรากฏออกมาแต่เริ่มแรกเลยต่างหาก…

เพราะเจ้าสิ่งนี้ปรากฏออกมาเร็วกว่าตอนที่นางในชาติก่อนพยายามทะลวงขึ้นสู่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดเสียอีก!

และนางในตอนนั้นก็เกิดมาพร้อมชีพจรเทียนจิง!

แน่นอนว่าการที่นางเรียกพลังจิตวั่งเสิ่นออกมาได้นั้น ย่อมเป็นเรื่องสมเหตุสมผล

ทว่านางในตอนนี้…

มีแค่ชีพจรตี้จิงเองนะ!

แล้วนางจะเรียกมันออกมาได้เร็วกว่าชาติก่อนได้อย่างใด…

ฉู่หลิวเยว่ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

แต่ถึงจะไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เพราะสิ่งสำคัญในตอนนี้ก็คือ การเตรียมตัวให้พร้อม เพื่อเอาชีวิตรอดจากพายุสายฟ้าครั้งนี้ให้ได้!

โลหิตสีชาดไหลซึมออกมาจากกายบางมากขึ้นเรื่อยๆ จนเสื้อผ้าของนางแทบจะเปียกโชกไปด้วยเลือด

กลิ่นคาวเลือดคลุ้งฉุนจมูก

เสียงลมหวีดหวิวดังก้องในหู พลังปราณดั้งเดิมสีทองที่หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ไหลทะลวงเข้าสู่ร่างกายของนางอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเร็วที่เร็วขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า!

ก่อนจะมีคลื่นพลังปราณปรากฏขึ้นเหนือไข่มุกธาราในจุดตันเถียน

หึ่ง!

ราวกับสัมผัสได้ถึงคลื่นนี้ สายฟ้าที่ลอยอยู่บนท้องนภาพลันฟาดลงมาอย่างรุนแรง!

เปรี้ยง!

ฉู่หลิวเยว่เบิกตาโพล่ง!

วิถีแรกมาแล้ว!

“กระบี่หลงหยวน!”

นางร้องตะโกน!

กระบี่หลงหยวนพุ่งเข้ามาทันทีแล้วปะทะกับฟ้าผ่านั่นโดยตรง!

เกิดประกายแสงเจิดจ้ามากมายบนใบมีด!

มันคือพลังแห่งทัณฑ์สวรรค์ที่บรรจุอยู่ในนั้น!

เปรี้ยง!

คลื่นพลังทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง จนเกิดประกายแสงสีเงินสะท้อนไปทั่วบริเวณ!

แม้แต่พลังปราณดั้งเดิมสีทองที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ก็ยังถูกคลื่นพลังนี้ปัดเป่าออกไป!

และยอดเขาอื่นๆ ที่ห้อมล้อมยอดเขาหลักไว้ ต่างก็ได้รับผลกระทบจากพลังอันรุนแรงนี้ จนพังทลายลงมาหลายแห่ง!

เห็นได้ชัดว่าพลังของมันแข็งแกร่งมาก!

แสงพร่างพราวค่อยๆ จางหายไป

ผู้ชมจำนวนมากรีบกวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว!

ก่อนจะเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ โดยมีกระบี่หลงหยวนลอยอยู่เหนือศีรษะของนาง!

…เป็นกระบี่หลงหยวนเล่มนั้น ที่หยุดวิถีสายแรกที่ผ่าลงมาเมื่อครู่!

ทว่าขณะเดียวกัน ก็มีมังกรสายฟ้าสีเงินแวววาวปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอีกครั้ง!

มันมีขนาดใหญ่มาก การบีบบังคับรอบตัวมันนั้นลึกล้ำและแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อนหลายเท่า!

ถานไถเฉินหัวเราะเยาะแล้วนั่งลง

“เหอะ ในเมื่อคนยังอยู่พลังจิตวั่งเสิ่นก็จะไม่หยุดเด็ดขาด! และต่อให้ใช้วิธีอื่นสกัดกั้นมัน อย่างใดก็ทะลวงไม่ผ่านอยู่ดี! นางสกัดมันหนึ่งครั้ง พลังจิตวั่งเสิ่นก็จะก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แถมยังรุนแรงกว่าเดิมด้วย! ข้าจะคอยดูแล้วกัน ว่าคราวนี้นางจะทำเช่นไร!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด