ยอดหญิงสกุลเสิ่น 230-3 ฉีกหน้าจนถึงที่สุด!

Now you are reading ยอดหญิงสกุลเสิ่น Chapter 230-3 ฉีกหน้าจนถึงที่สุด! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พระชายาจิ้นอ๋องชูมีดฉับพลันคิดอยากจะทรมานเสิ่นเวย แต่นางไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเสิ่นเวย ไม่เห็นหรือว่า พระชายาจิ้นอ๋องโยนหินใส่เท้าตัวเองอีกแล้ว ทรมานเสิ่นเวยไม่ได้ กลับทรมานตัวเองจนซีดเซียวเป็นอย่างยิ่ง อ้อ คนที่ซีดเซียวเหมือนกันยังมีหวาเยียนกับหวาอวิ๋น ในดวงตาคนทั้งสองนี้เต็มไปด้วยเส้นเลือด ร่างซวนเซ ท่าทางอ่อนแรงคล้ายในไม่ช้าก็จะยืนไม่อยู่แล้ว เสิ่นเวยเห็นแล้วก็สงสารพวกนางยิ่งนัก

 

 

จากนั้นจึงมองสาวใช้ลั่วเหมยของตัวเอง นอกจากคนจะดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย สภาพก็ยังดีกว่าหวาเยียนหวาอวิ๋นหลายร้อยเท่า แม้จะเป็นเช่นนี้เสิ่นเวยก็ยังเสียใจ ลั่วเหมยเด็กคนนี้ดูตัวสูง แต่ความจริงแล้วยังเหลืออีกสองเดือนก็เพิ่งจะอายุครบสิบสาม ยังเป็นเด็กอยู่เลย อยู่ในวัยเจริญเติบโตจำเป็นต้องนอนหลับให้เพียงพอ อดนอนเป็นเพื่อนตนทั้งคืน มันช่าง…เฮ้อ!

 

 

“เจ้าคงเหนื่อยแย่เลย เด็กดี กลับไปจะเพิ่มเงินเดือนให้เจ้า” เสิ่นเวยตบบ่าลั่วเหมยรับปาก

 

 

ทว่าลั่วเหมยกลับยิ้มอย่างซื่อๆ ในดวงตามีความดีใจ “ฮูหยิน บ่าวไม่เหนื่อยแม้แต่นิดเดียว” นางพูดความจริง ตอนที่อยู่ในบ้าน พ่อแม่รักน้องชายคนเล็กมากกว่า งานทั้งหมดล้วนเป็นพวกนางสามพี่น้องที่ทำ กินไม่อิ่ม เสื้อผ้าไม่อุ่น ฟ้ายังไม่สางก็ตื่นขึ้นมาทำงานแล้ว ฤดูหนาวหนาวจัดที่ทำให้คนหนาวตายได้ก็ยังต้องไปซักเสื้อผ้าในแม่น้ำ เป็นเช่นนี้พ่อแม่ก็ยังไม่พอใจยังต้องเฆี่ยนตีดุด่า

 

 

ภายหลังพ่อหกล้มขาหัก น้องชายคนเล็กก็ถูกลมเย็น แม่นางก็ขายพวกนางสามพี่น้องทั้งหมด พี่สาวสองคนอายุมากหน่อย ถูกนายซื้อไปแต่เนิ่นๆ แล้ว เพราะว่านางอายุน้อยกว่า อีกทั้งช่วงวัยเจริญเติบโตก็กินไม่พอ ตัวเล็กผอมซูบ ตลอดมาก็ไม่สามารถขายออกได้ นายทุนรังเกียจนาง ทุกวันให้กินเพียงขนมปังหน้าไหม้หนึ่งชิ้น ซ้ำยังให้นางทำงานตั้งแต่เช้ายันค่ำ ไม่นานนักก็ป่วย ป่วยจนใกล้ตาย นายทุนตัดใจเชิญหมอให้นางไม่ได้ จึงโยนนางลงในทุ่งหญ้า

 

 

หากไม่ใช่ฮูหยินบังเอิญผ่านมาเก็บนางกลับมา นางก็คงจะตายไปนานแล้ว

 

 

ฮูหยินเชิญหมอมาให้นาง จ่ายเงินจำนวนมากเพื่อแย่งชีวิตนี้ของนางกลับมาจากพญายม นับตั้งแต่นั้นมาชีวิตของนางก็ราวกับภาพฝัน มีเสื้อผ้าอย่างดี กินดี ซ้ำยังได้เงินเดือน ทุกวันทำเพียงแค่งานเล็กๆ น้อยๆ เพียงนั้น และยังไม่ตีคนด่าคน มิหนำซ้ำยังได้รับบำเหน็จบ่อยครั้ง เพียงแค่หนึ่งปีส่วนสูงของนางก็ค่อยๆ พุ่งพรวดขึ้นไป ใบหน้าก็ขาวแล้ว หน้าตาก็งดงามแล้ว แตกต่างกับเด็กผู้หญิงชนบทที่ป่วนจนใกล้ตายผู้นั้นราวฟ้ากับเหว

 

 

แม่นมกู้ที่สั่งสอนกฎระเบียบพวกนางมักจะพูดอยู่บ่อยๆ เป็นบ่าวรับใช้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความจงรักภักดี อย่าลืมว่าใครให้พวกเจ้ามีชีวิตที่ดีเช่นนี้

 

 

คนอื่นจะคิดอย่างไรนางไม่รู้ แต่นางกลับรู้ว่าฮูหยินมอบชีวิตใหม่ให้นาง ชั่วชีวิตนี้ของนางแม้ว่าจะตายก็ไม่อาจทรยศฮูหยินได้ ดังนั้นนางจึงพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถ เรียนรู้กฎระเบียบจากพี่สาวทั้งหลาย หวังว่าตนเองจะมีประโยชน์ขึ้นบ้าง หากมีประโยชน์ขึ้นบ้าง เช่นนี้ก็จะสามารถรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยินได้แล้ว

 

 

เป็นดังคาด ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น เพราะว่านางเรียนรู้ไวเชื่อฟังกฎระเบียบ พี่หลีฮวาจึงเลือกนางเข้ามาในกลุ่มสาวใช้ชั้นรอง ในที่สุดนางก็ได้เห็นฮูหยินทุกวันทุกเวลาแล้ว วันนั้นนางดีใจจนนอนไม่หลับทั้งคืน คุกเข่าหน้าเตียงกราบไหว้นอกหน้าต่างซ้ำๆ

 

 

เมื่อวานฮูหยินเลือกนางมารับใช้ นางดีใจแทบแย่ ก็แค่อดนอนทั้งคืนมิใช่หรือ สบายยิ่งกว่างานในบ้านทั้งวันเสียอีก

 

 

“เด็กโง่!” เสิ่นเวยลูบศีรษะของลั่วเหมยพลางหัวเราะ

 

 

ส่วนในใจหวาเยียนกับหวาอวิ๋นก็ไม่พอใจยิ่งขึ้นแล้ว

 

 

เสิ่นเวยรู้สึกว่าพระชายาจิ้นอ๋องจะต้องมีแนวโน้มเป็นมาโซคิสม์แน่นอน มิเช่นนั้นเสียเปรียบนางสามครั้งแล้วเหตุใดถึงไม่รู้จักจำบทเรียนเล่า สามคืนติดกันพระชายาจิ้นอ๋องล้วนแต่ไม่สมปรารถนา แต่นางคล้ายเป็นศัตรูกับเสิ่นเวยแล้ว รบทุกครั้งแพ้ทุกครั้ง ไม่เห็นหรือว่า สั่งสาวใช้มาเชิญนางไปดูแลอีกแล้ว

 

 

เสิ่นเวยกลับไม่ได้สนใจ นางเพียงแค่เปลี่ยนที่นอนหลับก็เท่านั้นเอง นางไม่ถือสาทรมานจิ้นหวังอีกหลายรอบ แต่ก็เป็นห่วงว่าหากพระชายาจิ้นอ๋องบังเอิญทรมานจนชีวิตหาไม่ขึ้นมาจะทำอย่างไร ผู้ที่เป็นลูกเลี้ยงคล้ายกับว่าจะต้องไว้ทุกข์ใช่หรือไม่ เมื่อคิดถึงว่าต้องไว้ทุกข์ให้ปีศาจเฒ่าผู้นั้น ในใจเสิ่นเวยก็สะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด

 

 

สวีโย่วหมดความอดทนนานแล้ว เขาแต่งภรรยาแล้วแต่กลับต้องอยู่คนเดียวในห้องว่างๆ หมายความว่าอย่างไร ปีศาจเฒ่าผู้นั้นสร้างความหงุดหงิดใจให้เขาทุกวัน หากไม่ใช่เสิ่นเวยห้ามเขาไว้อย่างสุดชีวิตเขาก็คงจะพุ่งไปทุบเรือนของพระชายาจิ้นอ๋องนานแล้ว

 

 

เช้าตรู่วันนี้ พระชายาจิ้นอ๋องที่ทรมานตัวเองทั้งคืนอีกครั้งก็ทนต่อไปไม่ได้แล้วเช่นกัน คว้าหมอนหยกบนเตียงขึ้นมาขว้างไปยังเสิ่นเวย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “เสิ่นซื่อ เจ้ามันจิตใจดำ เจ้ามาดูแลคนป่วยหรือว่ามายั่วโมโหให้ข้าตาย ข้ายังคิดว่าเจ้าเป็นคนดี ดูสิหางจิ้งจอกโผล่ออกมาแล้ว”

 

 

เสิ่นเวยไม่คิดว่าจู่ๆ พระชายาจิ้นอ๋องจะก่อกบฏ รู้สึกเพียงแค่มีของบางอย่างร้องคำรามมาทางตน การตอบสนองของร่างกายเร็วกว่าสมอง หลบไปข้างๆ ด้วยความว่องไว หมอนหยกกระแทกลงบนกำแพงอย่างพนักหน่วง เสิ่นเวยเห็นชัดเจว่าสิ่งที่ปาเข้ามาคือหมอนหยก ดวงตาก็มีความแหลมคมแวบผ่าน พระชายาจิ้นอ๋องคิดจะเอาชีวิตของนาง โชคดีที่เป็นนาง หากเป็นสตรีทั่วไป หมอนหยกใบนี้กระแทกศีรษะ ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต

 

 

สบสายตาที่เย็นยะเยือกของเสิ่นเวย ลูกตาดำในดวงตาพระชายาจิ้นอ๋องก็หดเล็กลง แต่กลับยังคงแข็งคอเอ็ดตะโร “ทำไม ข้าพูดผิดหรือ ทิ้งแม่สามีที่ป่วยไม่ดูแล ตนนอนหลับสบายใจ เจ้าเสิ่นซื่อดูแลข้าเช่นนี้หรือ”

 

 

เสิ่นเวยหัวเราะเยาะหนึ่งครา ทันใดนั้นบนใบหน้าก็มีความโมโหและความเสียใจปรากฎขึ้น “ที่แท้แล้วเสด็จแม่ก็เกลียดชังลูกเช่นนี้! ในที่สุดเสด็จแม่ท่านก็พูดความในใจออกมาแล้วไม่ลวงหลอกลูกอีกแล้วใช่หรือไม่ ท่านมีเรี่ยวแรงทำร้ายลูก ดูท่าแล้วอาการป่วยนี้จะเสแสร้งกระมัง ลูกอุส่าวิ่งมาดูแลท่าน อดหลับอดนอนคืนแล้วคืนเล่า ท่านยังมีอะไรไม่พอใจอีก เสด็จแม่ ท่านต้องการจะเอาเปรียบลูกจนตายหรือ ท่านไม่ชอบลูกก็พูดมาได้ตรงๆ ลูกรับรองว่าจะไม่มาขวางหูขวางตาท่าน แต่ท่านทรมานลูกเช่นนี้เพื่ออะไร! อย่างไรเสียลูกก็เป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาททรงพระราชทานบรรดาศักดิ์ ท่านจะให้ลูกมีหน้าอยู่ได้อย่างไร” เสิ่นเวยพูดเสียงดังปิดปากเดินออกไปข้างนอก

 

 

เพิ่งจะเดินออกจากระเบียงทางเดิน ตรงหน้าก็บังเอิญเจอกับจิ้นอ๋อง เสิ่นเวยกลอกตา น้ำตาไหลรินนองหน้า สะอื้นไห้กล่าว “เสด็จพ่อ ลูกดูแลเสด็จแม่ที่ป่วย อดนอนห้าคืนเต็มๆ ห้าคืนเชียว! ไหนเลยจะรู้ว่าเสด็จแม่แกล้งป่วย เพียงเพื่อที่จะทรมานลูก นาง เมื่อครู่นางไม่เพียงแต่ด่าลูก ซ้ำยังคว้าหมอนหยกปาใส่ลูก ชัดเจนว่าต้องการจะบีบบังคับให้ลูกตาย! ลูกไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปแล้ว” ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าสับขาวิ่งออกไป เย่ว์กุ้ยก็วิ่งตามอยู่ข้างหลัง “ฮูหยิน ฮูหยินท่านอย่าได้เสียใจไป พระชายาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายท่าน”

 

 

จิ้นอ๋องหน้าเปลี่ยนสี “เร็ว เสี่ยวเฉวียนรีบไปดูฮูหยินใหญ่ อย่าให้นางคิดสั้นเป็นอันขาด”

 

 

บ่าวรับใช้รีบวิ่งตามไปแล้ว จิ้นอ๋องขมวดคิ้วมุ่น กระทืบเท้าเดินไปข้างใน

 

 

หากจะบอกว่าจิ้นอ๋องมาได้อย่างไร นี่ยังต้องให้อู๋ซื่อเป็นคนบอก ทุกวันตอนเช้าพระชายาจิ้นอ๋องล้วนแต่มีสภาพอ่อนระโหยโรยแรงอย่างยิ่ง หนึ่งคืนบอกว่าหลับไม่ดียังพูดได้ ไหนเลยจะนอนหลับไม่สนิททุกคืน

 

 

อู๋ซื่อเกิดความสงสัย เรียกหวาเยียนหวาอวิ๋นมาไต่ถาม หวาเยียนกับหวาอวิ๋นเห็นว่าปิดบังไม่ได้ จึงทำได้เพียงอ้ำๆ อึ้งๆ เล่าความจริง เมื่ออู๋ซื่อได้ฟัง แม่สามีเรียกพี่สะใภ้ใหญ่ไปดูแลกลางคืนก็เพื่อที่จะทรมานนาง ชั่วขณะก็ตกใจจนอ้าปากค้าง ท้ายที่สุดก็เหยียดหยามเป็นอย่างมาก

 

 

แม่สามีผู้นี้ของนางตอนแรกเองก็เป็นสตรีสูงศักดิ์ตระกูลดัง เหตุใดอุบายและการมองโลกถึงได้น่ารังเกียจมากขึ้นเรื่อยๆ เล่า โดยเฉพาะทรมานผู้อื่นกลับกลายเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง นี่จะให้อู๋ซื่อที่มีฐานะเดิมอยู่ในจวนอู๋กั๋วกงมองอย่างไร

 

 

แต่ว่าพระชายาจิ้นอ๋องก็เป็นแม่สามีของนาง แม้ว่านางอยากคิดหาวิธีกลับไม่อาจแสดงออกมาได้ ทำได้เพียงเอ่ยขึ้นต่อหน้าท่านซื่อจื่อสวีเยี่ยอย่างคลุมเครือ ‘เสด็จแม่ป่วยมาหลายวันแล้ว ไม่กี่วันก่อนหมอก็บอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ข้าคิดว่าเสด็จแม่คงจะยังโกรธเสด็จพ่ออยู่ ข้าว่าระหว่างสามีภรรยาไหนเลยจะมีความแค้นข้ามคืนต่อกัน เสด็จแม่อาจจะกลัวเสียหน้า ข้าเป็นสะใภ้ไม่อาจโน้มน้าวมาก ท่านพี่ท่านเป็นลูกชาย ถือโอกาสไปพูดกับเสด็จพ่อสักหน่อย เสด็จแม่ป่วยเช่นนี้ทั้งบ้านต่างก็ไม่สบายใจ พี่สะใภ้ใหญ่ดูแลติดต่อกันห้าคืนแล้ว พี่สามีใหญ่ใช่จะตำหนิหรือไม่’

 

 

สวี่เยี่ยคิดๆ ดูแล้ว หลังไปเยี่ยมพระชายาเสร็จก็ตรงไปพูดกับพ่อเขาที่เรือนนอก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาพูดกับจิ้นอ๋องอย่างไร สุดท้ายเช้าวันรุ่งขึ้นจิ้นอ๋องก็มาเยี่ยมพระชายาจิ้นอ๋องแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด