ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 255.3 นำทัพด้วยพระองค์เอง เที่ยวเทศกาลชีซี (3)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 255.3 นำทัพด้วยพระองค์เอง เที่ยวเทศกาลชีซี (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันนี้ร้อนเสียยิ่งกว่ายามปกติอย่างยิ่ง ภายในตำหนักหนิงฉือ เสียงจักจั่นเพรียกร้องยามเที่ยง เจี่ยไทเฮาจึงตื่นจากบรรทมยามกลางวัน ร้อนเสียจนเหงื่อท่วมกาย

เนื่องจากหลายวันมานี้ไม่เห็นบัวลอยน้อยจึงคิดถึง ก่อนที่เจี่ยไทเฮาจะบรรทมได้สั่งให้หม่าซื่อไปหอเหยาไถ ให้อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มองค์ชายรองมาหาในตอนบ่าย ยามนี้เห็นอากาศร้อนเกินไป กลัวว่าเด็กน้อยจะโดนแดดระหว่างไปๆ มาๆ กำลังจะให้จูซุ่นแจ้งอวิ๋นหว่านชิ่นว่าไม่ต้องมาแล้ว หน้าประตูก็มีขันทีรายงานว่า “อวิ๋นเหม่ยเหรินและองค์ชายรองเสด็จ”

“เร็วเข้า ไปเชิญเข้ามา” เจี่ยไทเฮาเห็นสองแม่ลูกมาถึงแล้วก็รีบให้นางกำนัลไปเอาน้ำแข็งมาเพิ่ม วางไว้ทั้งสี่ด้านของห้อง แล้วให้คนไปเอาลูกพลัม แตงและน้ำชาดอกเก๊กฮวยที่แช่เย็นแล้วยกมาถวาย

รอจนอวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มบัวลอยน้อยเข้ามานั่ง ใต้เปลือกตาได้แปะแผ่นคลายร้อนไว้แต่แรกแล้ว เจี่ยไทเฮาเร่งอีกครั้ง “รีบไปตักน้ำค้างใสใส่ดอกเก๊กฮวยมาให้บัวลอยน้อยกินสักคำสองคำ คลายร้อนเสียก่อน”

“ไทฮองไทเฮาลำเอียงแล้วเพคะ” หม่าซื่อยิ้มออกมา “ทุกคราที่องค์ชายรองมา ของดีๆ ในตำหนักฉือหนิงแทบอยากจะยกออกมาจนหมดรวดเดียวอยู่แล้ว”

“เจ้าพูดจาเหลวไหลเพ้อเจ้ออีกแล้ว” เจี่ยไทเฮาไม่ยอมรับ “ตอนที่องค์ชายใหญ่กับองค์หญิงติ้งอี๋มา ข้ามิได้ต้อนรับอย่างดีหรือไร” ปากก็พูดเช่นนี้ แต่อ้าแขนทั้งสองข้างออกด้วยสีพระพักตร์รักใคร่เอ็นดูยิ่ง ตรัสเลียนเสียงเด็กน้อยว่า “เด็กดี รีบมาให้ข้าอุ้มเร็ว…เอ๊ะ หนักขึ้นอีกแล้ว! จะอุ้มไม่ไหวอยู่แล้ว” แล้วถูไถใบหน้าเด็กน้อยไปมา “หลานรักของข้า…”

บัวลอยน้อยชูแขนป้อมๆ ขึ้น ข้อมือทองคำเล็กๆ ที่เอาไว้ขจัดสิ่งชั่วร้ายบนข้อมือดังกรุ๊งกริ๊ง แย้มยิ้มกว้างพลางใช้มือตีใบหน้าของท่านย่าเบาๆ ตามจิตใต้สำนึก เจี่ยไทเฮากลับไร้ซึ่งความไม่พอพระทัยที่โดนล่วงเกินแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามทรงมีความสุขอย่างยิ่ง “แรงที่มือนี้เยอะนัก…”

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นลูกชายเสียมารยาทก็เรียกเบาๆ “บัวลอยน้อย”

“ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว แรงอีกนิด ตีแรงอีกนิด…ข้าชอบดูบัวลอยน้อยใช้แรง” เจี่ยไทเฮายื่นหน้าไปหา

ต่อหน้าบัวลอยหน้าหม่าซื่อเห็นนายหญิงของตนไหนเลยจะเหลือท่าทางและฐานะอันสูงส่งของไทฮองไทเฮาอีก ก็หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ กลับแอบทอดถอนใจเล็กน้อย ไม่ว่าเด็กคนนี้จะเป็นของฝ่าบาทหรือของฉินอ๋อง สุดท้ายแล้วล้วนเป็นพระนัดดาของไทฮองไทเฮาอยู่ดี ไหนเลยจะไม่เจ็บปวดเล่า ตอนนั้นไทฮองไทเฮาไม่อนุญาตให้ใครเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทั้งนั้น ก็ถูกแล้ว มิฉะนั้นจะได้เด็กน้อยร่าเริงสดใสคนนี้มาหรือ

ทุกคราที่เจี่ยไทเฮาได้เจอบัวลอยน้อยก็จะอุ้มไม่ปล่อย วันนี้ก็เช่นกัน จับมือน้อยๆ ของเขาชักชวนให้เด็กน้อยพูดคุย

บัวลอยน้อยยิ้มเสียจนเหมือนพระสังกัจจายน์ ซื่อๆ ตรงๆ เบิกบานอารมณ์ดี ปล่อยให้ลูบให้ทำไป ผู้มาเยือนไม่ปฏิเสธก็ไม่ส่งเสียงสักคำ

เจี่ยไทเฮาหยอกเย้าไปมา จู่ๆ รอยยิ้มก็จางหายไป มองไปยังอวิ๋นหว่านชิ่น “องค์ชายรองยังไม่เริ่มพูดหรือ”

อวิ๋นหว่านชิ่นดวงตาขยับไหว “ยังเพคะ”

“แม้การพูดของเด็กน้อยจะมีช้ามีเร็ว แต่เด็กของราชวงศ์ซย่าโหวล้วนพูดกันได้ไว เซี่ยวเอ๋อร์ยังไม่ถึงขวบครึ่งดีก็อ่านบทกวีทั้งหมดได้แล้ว ติ้งอี๋ช้าอยู่หน่อย แต่เพิ่งจะได้ขวบเดียวก็สามารถอือๆ อาๆ เรียกแม่เรียกพ่อได้แล้ว บัวลอยน้อยแค่มองก็รู้ว่าเป็นเด็กฉลาด ท่าทางล้วนดีกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แรงเยอะ รูปร่างสูง เหตุใดจึงไม่มีวี่แววว่าจะพูดจาเลยเล่า” เจี่ยไทเฮากังวล

หม่าซื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ไทฮองไทเฮาพระทัยร้อนจนเลอะเลือนไปเสียแล้ว เด็กขวบกว่ายังไม่พูด มิใช่ว่าเป็นปกติหรือเพคะ เด็กมากมายสองสามขวบยังอ้าปากมิได้เลยนะเพคะ! นี่เป็นเรื่องที่แตกต่างกันไปในแต่ละคนนะเพคะ”

“แต่เด็กโตเพียงนี้แล้ว อือๆ อาๆ คำเดี่ยวๆ ก็น่าจะพูดได้บ้างแล้วสิ” หากเป็นเด็กที่คลอดปกติ เจี่ยไทเฮาย่อมไม่ร้อนใจ แต่ตอนนั้นบัวลอยน้อยโดนผ่าคลอดออกมา ทั้งยังขาดอากาศอยู่ในท้องแม่เสียนานเพียงนั้น ดังนั้นจึงช้ากว่าเด็กในวังคนอื่นๆ อยู่บ้าง นางก็อดไม่ได้ที่จะคิดไปนู่นไปนี่

อวิ๋นหว่านชิ่นคาดเดาความกังวลที่อยู่ลึกๆ ของเจี่ยไทเฮาออก จึงเอ่ยปลอบว่า “ไทฮองไทเฮาอย่าได้ทรงกังวลไปเลยเพคะ หนึ่ง ก็เหมือนที่หม่ามอมอบอก บัวลอยน้อยอายุยังน้อยอยู่เลย สอง อยู่หอเหยาไถตลอดทั้งปี รอบด้านเงียบสงบ น้อยนักจะได้ยินเสียงคน สัมผัสกับภาษาได้น้อย ย่อมพูดได้ช้าอยู่บ้าง หมู่นี้หม่อมฉันมักจะให้เขาอ่านหนังสือของเด็กน้อย กวีพันสำนัก คัมภีร์ตรีอักษร หวังว่าเขาฟังมากๆ เข้า คำศัพท์สะสมได้มากเสียหน่อย ถึงเวลานั้นก็จะสามารถพูดได้เร็วขึ้น”

เจี่ยไทเฮาฟังนางพูด ในที่สุดก็วางใจลงได้ ทว่าก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก้มหน้าหอมบัวลอยน้อยคราหนึ่ง แล้วเงยขึ้นเอ่ยว่า “ที่เจ้าพูดก็ถูก หอเหยาไถของเจ้าน่ะ ไม่มีกลิ่นอายของคนมาตลอดทั้งปี ซ้ำยังอยู่ในมุม น่าอึดอัดกว่าที่ที่คนเฒ่าคนแกอย่างข้าพักนี่เสียอีก บัวลอยน้อยของเราไม่มีแม้กระทั่งสภาพแวดล้อมการเรียนรู้”

อวิ๋นหว่านชิ่นกับหม่าซื่อหัวเราะกันขึ้น แต่ได้ยินไทฮองไทเฮาโบกมือจ้ำม่ำของหลานเบาๆ เอ่ยต่อว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงเทศกาลชีซี[1]แล้ว ในวันเทศกาล ตามธรรมเนียมของเยี่ยจิงแต่เก่าก่อน ขุนนางในส่วนภูมิภาคของศาลาว่าการจะนำผ้าแพรที่ปักเรียบร้อยแล้วถวายให้ที่ถนนใหญ่สายหลักของเมืองหลวง ข้าได้ให้คังเฟยสั่งการออกไปแล้ว อนุญาตให้บรรดาชายาสนมขึ้นกำแพงเมืองไปชมดู ถึงยามนั้นหากอากาศดี เจ้าก็พาบัวลอยน้อยขึ้นกำแพงเมืองไปดูเถิด”

วันที่เจ็ด เดือนเจ็ด เทศกาลชีซี หนึ่งในประเพณีเฉลิมฉลองเทศกาลคือเรียกรวมตัวสตรีที่มีฝีมือในครอบครัวชาวบ้าน รวมพลทั้งสองข้างทางรับลมชมจันทร์ ใช้เข็มเจ็ดรูและด้ายห้าสี เย็บปักผ้าแพรเป็นรูปแบบต่างๆ ณ ที่นั้น แล้วให้ขุนนางศาลาว่าการผู้เป็นเจ้าภาพจัดงานเฉลิมฉลองติดไว้บนฉากกั้นกระดาษ จัดวางไว้ที่ถนนใหญ่สายหลักของเมืองหลวงเป็นแถวยาวราวกับมังกร ให้ชาวเมืองได้ชื่นชมและวิจารณ์ หลายปีเข้า ก็กลายเป็นเรื่องอันยิ่งใหญ่ของเทศกาลชีซีในเมืองหลวงไปแล้ว

ถึงเวลานั้นผ้าแพรปักมากมายมหาศาลไปทั้งสาย สีสันสดใสคึกคักเรียงรายอยู่บนถนนตรงดิ่ง บนกำแพงเมืองของวังหลวงก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นทุกๆ ปีฮ่องเต้จะทรงอนุญาตให้สนมหรือนางกำนัลที่ได้รับความโปรดปรานขึ้นกำแพงไปชมดู

แม้ปีนี้ด่านชายแดนจะมีสงคราม แต่เนื่องจากฝ่าบาททรงนำทัพออกรบด้วยพระองค์เอง เจี่ยไทเฮาอยากให้ภายในเมืองสงบสุข ประเทศชาติสงบ ราษฎรเป็นสุข จึงไม่ได้ห้ามจัดงานขึ้น ยังคงทำตามเดิม

อวิ๋นหว่านชิ่นเอ่ยว่า “หม่อมฉันฐานะต่ำต้อย จะขึ้นกำแพงเมืองกับบรรดาเหนียงเหนียงได้อย่างไรเพคะ…”

“ข้ามิได้ทำเพื่อเจ้า แต่เพื่อบัวลอยน้อยต่างหาก อยากให้บัวลอยน้อยมีโอกาสได้พบเจอผู้คน สีสันสดใสมากมาย เด็กเล็กชอบ ไม่แน่ว่าพอมีความสุขแล้วอาจจะพูดขึ้นมาทันทีเลยก็ได้” เจี่ยไทเฮาหอมบัวลอยน้อยอีกครั้ง

อวิ๋นหว่านชิ่นแย้มยิ้ม ไม่บ่ายเบี่ยงอีก “ขอบพระทัยไทฮองไทเฮาเพคะ”

ในเมื่อมีแม่ลูกในวังหลังเพิ่มมาอีกคู่ ก็จะขาดองครักษ์คุ้มกันไปมิได้ เจี่ยไทเฮาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย รู้ว่านางมีสัมพันธ์อันดีกับสกุลเฉิน จึงจัดการให้ “เช่นนั้นถึงเวลานั้น นอกจากฉีไหวเอิน ชูซย่าและนางกำนัลที่ร่วมติดตามข้างกายเจ้าแล้ว ก็ให้องครักศ์เฉินติดตามขึ้นกำแพงไปด้วยเถิด”

“เพคะ” อวิ๋นหว่านชิ่นยังคงขอบคุณในพระกรุณา

ในวันเทศกาล พอราตรีมาเยือน เฉินจ้าวก็พาองครักษ์สองนายมายังหอเหยาไถ เชิญอวิ๋นหว่านชิ่นและคนอื่นๆ ขึ้นกำแพงนอกเมืองของวัง

ไม่รู้ว่าเพราะได้เห็นดินฟ้าด้านนอกเป็นคราแรกหรือไม่ บัวลอยน้อยจึงโบกไม้ขยับขา ตื่นเต้นอย่างมาก ขยับไปมาอยู่ในอกมารดาไม่หยุด

เดินไปพลาง ชูซย่าก็เอ่ยไปพลาง “ไม่แน่ว่าอาจเหมือนที่ไทฮองไทเฮาบอกก็ได้นะเจ้าคะ วันนี้พอบัวลอยน้อยมีความสุข จะเอ่ยปากพูดขึ้นมาจริงๆ”

อวิ๋นหว่านชิ่นอุ้มลูกชายด้วยตัวเอง ก้มหน้าลง ยิ้มพลางชักชวนให้เขาพูด “เรียกแม่ให้ฟังหน่อย ดีหรือไม่”

ปากเล็กๆ ของบัวลอยน้อยปิดแน่นสนิท ดวงตามองไปรอบๆ ไม่ส่งเสียงใดออกมาสักคำ

————————-

[1] เทศกาลชีซี วันขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 นับว่าเป็นเทศกาลแห่งความรักของจีน เทศกาลนี้เกี่ยวข้องกับดวงดาวและนิทานโบราณ คือเรื่องของสาวทอผ้ากับหนุ่มเลี้ยงวัว ตามตำนานเล่าว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อว่า หนิวหลาง (牛郎 แปลว่า หนุ่มเลี้ยงวัว) มีวัวแก่ 1 ตัวเป็นเพื่อน อยู่มาวันหนึ่ง บังเอิญไปพบนางฟ้า 7 องค์กำลังอาบน้ำในลำธาร เจ้าวัวจึงช่วยให้หนิวหลางขโมยเสื้อผ้าของนางฟ้ามา เมื่อนางฟ้าทั้งเจ็ดเล่นน้ำเสร็จ แล้วหาเสื้อผ้าของตนไม่พบ จึงให้น้องสาวคนสุดท้องที่สวยที่สุด คือ จือหนี่ว์ (织女 แปลว่า สาวทอผ้า) มาเจรจาขอเสื้อผ้าคืน หนิวหลางขอให้นางแต่งงานกับเขา และนางก็ยินยอม นางฟ้าผู้พี่ทั้งหมดจึงได้กลับคืนสู่สวรรค์ ส่วนจือหนี่ว์ได้อาศัยอยู่กับหนิวหลาง มีลูกด้วยกัน 2 คน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่เมื่อเจ้าแม่หวังหมู่ทรงรู้เรื่องนี้เข้าจึงโกรธมาก สั่งให้จือหนี่ว์กลับสวรรค์ และต่อมาเจ้าวัวก็ป่วยตาย ก่อนตายมันได้บอกแก่หนิวหลางว่า ให้ใช้หนังวัวคลุมไหล่เพื่อเหาะขึ้นสวรรค์ไป หนิวหลางจึงคลุมไหล่ด้วยหนังวัว นำลูกทั้ง 2 คนเหาะไปยังสวรรค์เพื่อตามหาจือหนี่ว์ เจ้าแม่หวังหมู่จึงใช้ปิ่นเงินบนพระเศียรขีดเส้นบนฟ้า กลายเป็นแม่น้ำสายใหญ่ที่ขวางกั้นไม่ให้หนิวหลางและจือหนี่ว์มาพบกันได้ ต่อมา เหล่านกสี่เชว่ (喜鹊) บนสวรรค์รู้สึกซาบซึ้งใจกับความรักของคนทั้งสอง ในทุกวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 ของทุกปี มันจะรวมปีกกันสร้างเป็นสะพาน ให้หนิวหลางและจือหนี่ว์ได้มาพบกัน และเมื่อเจ้าแม่หวังหมู่ทรงทราบ จึงได้ตอบตกลงให้ทั้งสองมาพบกันได้ในทุกวันนี้ของปี เทศกาลนี้มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับความรู้ด้านดาราศาสตร์ของคนจีนโบราณอีกด้วย ในวันขึ้น 7 ค่ำเดือน 7 ในฤดูใบไม้ร่วง ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆบัง เราจะเห็นทางช้างเผือกทอดตัวยาวจากทิศเหนือจรดทิศใต้ มีดาวฤกษ์ 2 ดวงสว่างสุกใสอยู่คนละด้านของทางช้างเผือก คือดาวเวก้า (Vega) ตัวแทนของจือหนี่ว์ และดาวอัลแทร์ (Altair) ตัวแทนของหนิวหลาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด