ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 259.1 ประหารโดยตัดมือเท้าลงโอ่งต้ม ฝันถึงชาติกาลก่อน (1)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 259.1 ประหารโดยตัดมือเท้าลงโอ่งต้ม ฝันถึงชาติกาลก่อน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ยามปกติกลุ่มขุนนางถูกตามใจจนเคยตัว ปะทะฝีปากกันในราชสำนักหรือเล่นกลอุบายกันนั้นยังพอไหว แต่ไม่ค่อยมีใครเคยเห็นศพอาบเลือดกับตาตัวเองมาก่อนเลย ซ้ำยังเป็นศพของสมุหนายกในราชสำนักอีก ในชั่วขณะหนึ่งถูกกำลังภายในกดเอาไว้

ทางซ้ายมีความน่าเกรงขามของไทฮองไทเฮา ด้านขวาเป็นฉินอ๋องที่ฟื้นคืนจากความตายกลับคืนสู่ราชสำนัก ไหนจะจิ่งหยางอ๋องที่ยืนอยู่ข้างฉินอ๋องด้วยอีก หากปกป้องอวี้เหวินผิงต่อไป เกรงว่ากระทั่งวังหลวงก็จะออกไปไม่ได้แล้ว ได้มีจุดจบเหมือนเขาเป็นแน่

บรรดาขุนนางด้านอักษรที่เมื่อครู่ยังโหวกเหวกโวยวายนอกตำหนัก บีบบังคับไทฮองไทเฮาให้ออกราชโองการ หลังค่อมโน้มลง ไม่กล้าหายใจแรงเหมือนลูกเต่า

พักใหญ่ๆ ขุนนางด้านอักษรคนหนึ่งที่ดูแล้วฉลาดเฉลียวยิ่งก็แล่นเรือไปตามลมก่อนเป็นคนแรก ตัวสั่นงันงกเอ่ยว่า “วันนี้เป็นสมุหนายกอวี้ที่หาเรื่องใส่ตัว กระหม่อมมีแต่ใจแน่วแน่ที่จะปกป้องราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ”

ประโยคเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ยืนไม่อยู่ ทยอยพากันเอ่ยว่า “นึกไม่ถึงว่าสมุหนายกอวี้กระทั่งไทฮองไทเฮาก็กล้าล่วงเกิน ตายไปไม่พอให้เสียดายด้วยซ้ำ…”

“อวี้เหวินผิงล่วงเกินข้า เช่นนั้นพวกเจ้าเล่า” เจี่ยไทเฮาตรัสเสียงเย็นเยียบ

เหล่าขุนนางพลันเข้าใจ คุกเข่าลงกับพื้น “จะเชื่อฟังเจตนาของไทฮองไทเฮาทุกอย่างพ่ะย่ะค่ะ”

“จูซุ่น กลับตำหนักไปร่างราชโองการแทนข้า เชิญให้ฉินอ๋องรักษาการณ์แทน ดูแลจัดการราชกิจในราชสำนัก พักอยู่ในวังหลวงทันที พรุ่งนี้ยามฟ้าสางก็ให้ประกาศราชโองการของข้าเสีย!” เจี่ยไทเฮาสบายพระทัยขึ้น สุรเสียงสูงและดังสบายอกสบายใจไม่น้อยอยู่ในราตรีสีมืด

ภายในเวลาไม่นาน บรรดาขุนนางก็ถูกพวกจิ่งหยางอ๋องพาออกจากวังไปอย่างอกสั่นขวัญหาย ความฮึกเหิมก่อนเข้าวังและความลำพองหลังเข้าวังมา ยามนี้มลายหายไปสิ้น เชื่อฟังไม่หือไม่อือ ก้มหน้าก้มตาออกจากประตูเจิ้งหยางไป

ศพของอวี้เหวินผิงถูกราชองครักษ์ขังไว้ในคุกหลวงของวังชั่วคราว วันรุ่งขึ้นค่อยออกราชโองการสำเร็จโทษ ทูลขึ้นราชสำนัก

ขุนนางตรงตำหนักฉือหนิงแยกย้ายกันไป เจี่ยไทเฮาก็ผ่อนคลายลงทั้งร่าง มองซย่าโหวซื่อถิงแล้วทอดถอนใจตรัสว่า “ฉินอ๋องตกไปในหุบเขาบงกชหิมะกับกองทัพมิใช่หรือ ในเมื่อปลอดภัยดี เหตุใดไม่กลับเมืองหลวงมาเสียแต่ตอนนั้นเล่า หรือไม่ก็ส่งจดหมายมาหน่อย ข้ากับฝ่าบาทคิดว่าเจ้าได้…”

“ทูลไทฮองไทเฮา” ซย่าโหวซื่อถิงแววตานิ่งสงบ “ตอนนั้นหลังจากตกลงไปในหุบเขา ติดเข้ากับเถาวัลย์เก่าริมหน้าผา ทำให้ลดแรงกระแทก จึงโชคดีรอดมาได้ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดีที่ถูกชาวบ้านในหุบเข่าช่วยเอาไว้ พักรักษาตัวอยู่ในหมู่บ้านครึ่งปี จึงได้เอาชีวิตรอดกลับคืนมาได้ เนื่องจากหุบเขาปิด จึงยากต่อการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก ติดต่อทหารตัวเองไปมาก็ใช้เวลาอยู่หลายเดือน ดังนั้น จึงได้ยืดเยื้อมาจนถึงตอนนี้ ทำให้ไทฮองไทเฮาทรงเป็นห่วงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

เจี่ยไทเฮามุมโอษฐ์แย้มออกเป็นเสียงทอดถอนใจ

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ไทฮองไทเฮา” ซือเหยาอันเหลือบมองขาและข้อเท้าขององค์ชายสาม “จนถึงยามนี้กระดูกขาของท่านอ๋องก็ยังบาดเจ็บอยู่”

เจี่ยไทเฮาเห็นเพียงพระนัดดาผู้นี้พับขากางเกงขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นบาดแผลอันน่าตกใจ คล้ายเป็นรอยประทับของเหล็กหลังจากที่กระดูกขาหักไป นางจึงส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ “เฮ้อ น่าสงสาร” ไม่ได้ถามอะไรให้มากความอีก ทอดถอนใจว่า “ไม่ว่าอย่างไร โชคดีที่เจ้ากลับมาทันเวลา จึงสามารถกำราบสถานการณ์ในคืนนี้ลงได้ มิฉะนั้นแล้วคงโดนขุนนางพวกนั้นสนับสนุนเว่ยอ๋องที่ไม่มุมานะคนนั้นขึ้นมาจริงๆ แน่”

ฟากฟ้าดึกมากขึ้นแล้ว นางกำนัลจัดการที่พำนักให้พวกฉินอ๋องเรียบร้อย ยังคงเป็นตำหนักฉงเหวินที่ใช้พักยามสำเร็จราชการแทนเมื่อคราก่อน ก็เดินมาทูลว่า “เชิญองค์ชายสามและใต้เท้าทุกท่านตามหม่อมฉันมาเพคะ”

ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่ได้รีบร้อนออกไป ดวงตาขยับไหว หันหน้าไปมองด้านนอกกำแพงตำหนักฉือหนิงแวบหนึ่ง

เจี่ยไทเฮาเดาความคิดเขาออก ก็เดินไปหาเบาๆ กระซิบว่า “เจ้าสาม ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพบนาง แต่ยามนี้นางเป็นเหม่ยเหรินในวังหลังของฝ่าบาทแล้ว จากฐานันดร มิใช่พระชายาของเจ้า แต่เป็นชายาของน้องชายเจ้า เจ้าต้องระวังเอาไว้หน่อย”

ซย่าโหวซื่อถิงเงียบงันสักพัก ตะโกนขึ้นคำหนึ่ง นำทัวป๋าจวิ้น ซือเหยาอันและคนอื่นๆ ออกจากตำหนักฉือหนิงไป

ทางด้านตำหนักฉือหนิงเกิดความวุ่นวายขึ้น บรรดาสตรีในวังหลังได้ยินข่าวคราวเข้ากลับไม่รู้เรื่องราวรายละเอียด นายหญิงแต่ละตำหนักกระวนกระวายอยู่ค่อนคืน

หอเหยาไถก็เช่นกัน กว่าฉีไหวเอินจะกลับมาจากข้างนอก เข้ามาอย่างรีบร้อนได้ ชูซย่าก็ลากเขาอย่างร้อนใจ “ทางตำหนักฉือหนิงยามนี้เป็นอย่างไรแล้วรึ พวกขุนนางนั่นยังตอแยไทฮองไทเฮาอยู่หรือไม่ ยังไม่ไปหรือ”

ฉีไหวเอินสีหน้าซีดเผือด คล้ายยังตกอกตกใจไม่หาย “รอบๆ ตำหนักฉือหนิงถูกคนปิดทางไว้ ไม่ให้เข้าไปสืบข่าว ได้ยินแค่ว่าพวกขุนนางที่มาโวยวายจะให้ออกราชโองการได้ต่างแยกย้ายกันไปหมดแล้ว มีเพียงสมุหนายกอวี้คนเดียวที่ตาย!”

“ตายอย่างนั้นรึ ตายได้อย่างไร” ชูซย่าตกใจ

“ได้ยินว่าจิ่งหยางอ๋องเหมือนจะเข้าวังมา ซ้ำยังพาคนกลุ่มหนึ่งมาด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นผู้ใด อย่างไรเสียก็ยับยั้งสถานการณ์เอาไว้ได้แล้ว สมุหนายกอวี้นั่นไม่พอใจ ยังคงตอแยต่อ เกือบจะล่วงเกินไทฮองไทเฮาเข้า จึงโดนคนรับใช้ไม่ทันระวังยิงตายเข้า ใต้เท้าคนอื่นๆ ได้รับความตกใจ จึงได้ไม่กล้าโวยวายมากอีก และออกจากวังไปกันหมดแล้วขอรับ” ฉีไหวเอินหอบแฮ่กๆ

จิ่งหยางอ๋องพาคนเข้าวังอย่างนั้นรึ คนที่ยับยั้งสถานการณ์ไว้ได้คือใครกัน อวิ๋นหว่านชิ่นความคิดแล่นผ่าน “คนที่เข้าวังมากับจิ่งหยางอ๋องคือผู้ใดรึ”

ฉีไหวเอินเอ่ยว่า “ยามนี้ด้านข้างตำหนักฉือหนิงถูกปิดไว้แน่นหนา วังหลังวุ่นวายโกลาหล กระหม่อมก็เข้าไปไม่ได้ ไม่เพียงแต่นายหญิงสงสัย ยามนี้บรรดาเหนียงเหนียงตำหนักอื่นๆ ก็ต่างให้คนไปสืบข่าวในวังเช่นกันขอรับ…”

“นายหญิงอย่าร้อนใจไปเจ้าค่ะ พอฟ้าสางของวันพรุ่งนี้ก็ได้รู้แล้ว กังวลมาทั้งคืน ในที่สุดก็ไม่เป็นไรแล้ว นายหญิงไปพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ” ชูซย่าเอ่ย

อวิ๋นหว่านชิ่นใจเต้นแรงไปหมด ไหนเลยจะหลับลงได้ แต่ก็จนปัญญา ทำได้แค่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้แล้ว เพิ่งจะเตรียมตัวอาบน้ำเปลื้องผ้า ก็ได้ยินเสียงรายงานดังขึ้นจากนอกประตูว่า “อวิ๋นเหม่ยเหริน ไทฮองไทเฮาเชิญเข้าเฝ้า”

กงกงน้อยคนหนึ่งยืนเชิญอยู่นอกม่านด้วยท่าทางนอบน้อม

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่ากงกงน้อยคนนั้นหน้าตาคุ้นๆ จึงเอ่ยถามว่า “เมื่อก่อนตอนไทฮองไทเฮามาเชิญ มิใช่ว่าล้วนส่งหม่ามอมอมาหรือไร”

กงกงน้อยโน้มกายลง “คืนนี้ทางตำหนักฉือหนิงธุระมากมาย คาดว่าอวิ๋นเหม่ยเหรินก็คงพอได้ยินข่าวมาบ้างแล้ว ไทฮองไทเฮาได้รับการสะเทือนอารมณ์ หม่ามอมอไหนเลยจะมีเวลาว่าง กำลังถวายการดูแลอยู่ข้างกายแหน่ะพ่ะย่ะค่ะ”

อวิ๋นหว่านชิ่นไม่ได้ถามมากความอะไรอีก เดิมทีก็ห่วงมาทั้งคืนแล้ว ในเมื่อไทฮองไทเฮาเรียกเข้าเฝ้า ไหนเลยจะรอให้ถึงพรุ่งนี้อีก นางพาชูซย่าออกจากหอเหยาไถตามกงกงไป

ออกจากหอเหยาไถมา เดินมาได้ครึ่งทาง รอบด้านเงียบงันขึ้น ถนนสายเล็กเส้นนี้มืดมิด อวิ๋นหว่านชิ่นสังเกตเห็นว่าไม่ใช่ทางไปตำหนักฉือหนิง ฝีเท้าจึงช้าลง

“อวิ๋นเหม่ยเหรินเหตุใดจึงหยุดเดินเล่า ไทฮองไทเฮากำลังรออยู่แหน่ะ” กงกงคนนั้นดูออกว่าฝีเท้านางช้าลง จึงเอ่ยเตือนขึ้น

ชูซย่ารับสายตาที่อวิ๋นหว่านชิ่นส่งมาก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่มันทางไปตำหนักฉือหนิงรึ เหตุใดตอนปกติจึงไม่ได้ใช้ทางนี้เล่า”

กงกงฝีเท้าชะงักลง หันกลับมา “อวิ๋นเหม่ยเหรินคิดมากเกินไปแล้ว บอกแล้วมิใช่หรือว่าตำหนักฉือหนิงเกิดเรื่องขึ้น โดนราชองรักษ์เฝ้ารักษาการณ์ไว้นานแล้ว ถนนใหญ่ไปมิได้ ทางสายเล็กจึงจะสะดวก”

บางทีเรื่องในคืนนี้อาจจะมากเกินไปก็ได้ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงไม่สบายใจ นางไม่ได้เดินไปข้างหน้าต่อ มองไปรอบๆ รอบหนึ่ง “ทางเส้นเล็กมืดเกินไป เดินกลางค่ำกลางคืนลำบาก ชูซย่า เจ้าไปเรียกฉีไหวเอินมา ให้เขาถือโคมมาด้วย”

“เจ้าค่ะ” ชูซย่าขานรับ กำลังจะหันหลังไป

กงกงน้อยคนนั้นได้ยินว่านางจะไปเรียกกงกงหอเหยาไถสีหน้าก็พลันเปลี่ยน โพล่งขึ้นห้ามไว้ว่า “เหลืออีกแค่ไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง ไหนเลยจะต้องใช้โคม!”

หอเหยาไถห่างกับตำหนักฉือหนิงมากนัก ออกมาได้ไม่นานเอง จะเหลือแค่ไม่กี่ก้าวได้อย่างไร อวิ๋นหว่านกระจ่างแจ้ง เดิมทีไม่ใช่ไทฮองไทเฮาเรียกตนเข้าเฝ้าหรอก นางขมวดคิ้วมุ่น ตวาดว่า “บังอาจนัก นึกไม่ถึงว่าจะกล้าแอบอ้างราชโองการเท็จของไทฮองไทเฮา!”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด