ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 259.4 ประหารโดยตัดมือเท้าลงโอ่งต้ม ฝันถึงชาติกาลก่อน (4)
บรรดาทหารหิ้วตัวสาวใช้และกงกงคนนั้นขึ้น หลบมาอีกด้าน หลีกให้ผู้เป็นนาย
เขาเดินเข้ามาในห้องขัง ภาพในห้องขังสะท้อนอยู่ในดวงตาแดงก่ำของเขาซึ่งลุกโชนเร่งเร้าจนแทบจะเผาไหม้
ชูซย่ากอดสตรีในอ้อมอก ทั้งบีบ ทั้งตะโกนเสียงดัง กลับเรียกวิญญาณของนางคืนมาไม่ได้
สตรีนางนั้นดวงหน้ายังคงงดงามดังเก่า กระทั่งเพริศแพร้วมากกว่าเดิม ต่อให้ยามนี้จะมีสภาพเช่นนี้ ก็ยังปกปิดความงามไว้ไม่ได้ ทว่าดวงตาปิดแน่นสนิท แก้มสองข้างเย็นเยียบ เนื้อตรงฝ่ามือมีรอยจิกจากการดิ้นรนขัดขืน
มองเสียจนดวงใจเขาคล้ายถูกจิกทึ้งเลือดเนื้ออกไปเป็นก้อน
หลายวันก่อนพบหน้ากัน มีผ้าม่านกั้นอยู่ แต่เขาก็อารมณ์พลุ่งพล่าน แม้จะไม่สะดวกบอกว่าตนกลับมาแล้ว แต่ก็ได้มองดวงหน้านางทุกตารางนิ้ว ทุกการกระทำอย่างละเอียดด้วยความร้อนแรงผ่านผ้าม่าน แทบอยากจะชดเชยความเสียดายในหนึ่งปีกว่านี้กลับคืนไป
ตอนนั้น แม้นางจะล้มจนหน้าบวมจมูกช้ำ แต่สุดท้ายก็ยังมีชีวิตอยู่
ยามนี้ นางคล้ายถูกสูบความมีชีวิตชีวาออกไปทั้งร่าง ราวกับรูปปั้นหินแกะสลักเยียบเย็นอันประณีต
“ไม่มีลมหายใจ นายหญิงไม่มีลมหายใจแล้ว…” ชูซย่าเรียกนางไม่ฟื้น ก็ร้องไห้ออกมายกใหญ่
ฉีไหวเอินนิ่งอึ้ง ทหารที่บุกเข้ามาก็ตกใจจนพากับซุบซิบขึ้นมา มีบางคนเป็นคนเก่า รู้ว่าสตรีตรงหน้าเป็นสนมวังหลังคนปัจจุบันของหลงชังฮ่องเต้ และยังมีอีกฐานันดรคืออดีตพระชายาของฉินอ๋อง
ด้านหน้าประตู ซย่าโหวซื่อถิงมีเพียงสีหน้าเย็นชาและทะมึนท่ามกลางความโกลาหลและเสียงร้องไห้เบาๆ เป็นระลอก เขาสาวเท้าก้าวเข้าไป คุกเข่าลงแหงนกายขึ้น ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน เห็นเขากุมข้อมืออวิ๋นเหม่ยเหรินไว้ นิ้วหัวแม่มือจับบริเวณชีพจรของนางไว้ แนบหน้าผากลง
นายท่านดูดริมฝีปากหอมของนางต่อหน้าผู้คน ส่งอากาศเข้าไปช่วย แล้วคลายเสื้อด้านหน้านางออก ฝ่ามือใหญ่แนบลงบนหน้าอกนูนด้านล่างซ้ายอ่อนนุ่มของนาง กดลงอย่างเหมาะสม
เขาเจ็บป่วยจนกลายเป็นหมอที่ดี ทั้งยังเคยเป็นทหารที่ผ่านสนามรบมา มักจะมีวิธีปฐมพยาบาลเร่งด่วน ทุกคนกลับไม่แปลกใจ แต่อย่างไรเสียอวิ๋นเหม่ยเหรินก็เป็นสตรีในวังหลัง นายท่านทำเช่นนี้ก็…หลังจากทหารทั้งกลุ่มตกใจกันไปก็ต่างทำเป็นไม่เห็น หันหน้าหนีไป
ภายใต้การทำครั้งแล้วครั้งเล่า หญิงงามอาภรณ์เปิดกว้าง เสื้อชั้นในโผล่ออกมากว่าครึ่ง กระดูกเหนือหัวหน่าวที่นูนขึ้นแทบจะโผล่ออกมา ใครจะกล้ามองต่อกัน ไม่มีมารยาทห้ามมอง! ไม่กลัวว่าเรื่องจบแล้วจะโดนควักลูกตาหรือ นั่นเป็นทิวทัศน์งามที่นายท่านผู้นั้นชมได้เพียงคนเดียว
พักหนึ่ง ซย่าโหวซื่อถิงก็อุ้มนางในท่าเจ้าสาว เดินไปทางประตูใหญ่ เหล่าทหารลนลานกันหลีกทางให้อีกครั้ง
คนในอ้อมอกเย็นเยียบไปทั่วทั้งร่าง กระทั่งปลายนิ้วยังเย็นเฉียบเหมือนดึงขึ้นมาจากน้ำ ในชั่วขณะที่อุ้มขึ้นมา ดวงใจเขากระตุก โอบนางไว้แน่นขึ้น แล้วใช้เสื้อคลุมนกกระเรียนห่อตัวนางไว้แน่น ทำเช่นนี้แล้วบางทีอาจจะสามารถเรียกความอุ่นกลับมาได้อีกครั้ง
“ท่านอ๋อง นายหญิงเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” ชูซย่าลุกขึ้น ห้อมล้อมมองไป ร้องไห้พลางเอ่ยถาม
เขากลับไม่ได้ตอบ ทำเพียงเดินไปพลางเอ่ยขึ้นเสียงกังวานว่า “ไปเรียกเหยาย่วนพั่นมา”
ฉีไหวเอินไม่พูดพร่ำทำเพลง วิ่งออกไปก่อนอย่างรวดเร็ว
“ท่านอ๋อง สองคนนี้จะจัดการอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” มีทหารคนหนึ่งชี้ขันทีน้อยและสาวใช้ที่ตัวสั่นเทาราวกับฝัดข้าว อาศัยจังหวะที่นายท่านยังไม่ไปรีบถามขึ้น
รองเท้าเหล็กของคนเบื้องหน้ายังไม่หยุด ทำเพียงหันหน้ามามองเครื่องลงทัณฑ์บนผนังห้องขังแวบหนึ่ง ชุดหนึ่งในนั้นเด่นสะดุดตายิ่ง
ตาข่ายใหญ่พันรูที่ถักด้วยเชือกป่านอันหนึ่งแขวนไว้บนตะขอเหล็ก ด้านข้างเป็นกริชเล็กใหญ่หลากหลายขนาด
เปลื้องอาภรณ์นักโทษออกจนหมด คลุมตาข่ายไว้บนร่างเปลือยของนักโทษ บีบเนื้อในรูตาข่ายออกมา แล้วใช้มีดด้ามเล็กๆ กรีดเนื้อทีละรูๆ
รูตาข่ายแน่นขนัด เล็กเหมือนไข่ไก่ พอที่จะมีถึงหลายพัน คนจะไม่ได้ตายในทันที จะเจ็บปวดเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย ราวกับนรกบนดิน หลังจากกรีดเนื้อเป็นพันๆ ชิ้นแล้ว จึงได้ขาดใจตาย โบราณเรียกว่าพันมีดกรีดหมื่น
เสียงของเขาราวกับเหล็กเย็นเยียบที่ตกลงในบ่อน้ำลึกไร้ก้นบึ้ง ดังก้องในห้องขังอย่างไร้ปรานี “ประหารโดยการตัดมือเท้า”
ต่อให้ครั้งนี้นางปลอดภัย ก็ต้องทำให้คนที่เคยทำร้ายนางกลุ่มนี้ชดใช้เป็นร้อยเท่าอยู่ดี
ณ ตำหนักถงกวง ราตรีกาลใกล้จะสิ้นสุดลง
เจี่ยงอวี้กระวนกระวายใจ นอนไม่หลับอยู่ทั้งคืน ทำเพียงหยิบเก้าอี้มาตัวหนึ่ง นั่งอยู่ตรงลานตำหนัก รอให้สาวใช้คนสนิทกลับมารายงานข่าวดี
อรุณรุ่งเพิ่งจะพ้นไป เสียงเคาะประตูประตูอย่างฉับพลันก็ดังลอยมา นางตื่นเต้นขึ้นทันที รีบให้นางกำนัลไปดึงกลอนประตูออก แต่กลับเห็นขุนนางทหารไม่คุ้นหน้ากรูกันเข้ามา ดูจากการแต่งตัวแล้วไม่ใช่ราชองรักษ์ฝ่ายใน
“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นใคร วังหลังเป็นสถานที่ต้องห้าม พวกเจ้าเป็นโจรชั่วมาจากที่ใด นึกไม่ถึงว่าจะกล้าบุกเข้ามา! ใครก็ได้ ใครก็ได้!” เจี่ยงอวี๋เห็นท่าไม่ดี ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เรียกให้คนไปตามองครักษ์
ขุนนางทหารรูปร่างสูงใหญ่จำนวนหนึ่งบุกกันเข้ามา ชักกระบี่ออกจากฝักเล็กน้อย ขวางนางกำนัลที่เรี่ยวแรงน้อยนิดสองสามคนไว้ มัดไว้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งยังปิดปากเอาไว้ สุดท้ายเอาตัวเจี่ยงอวี๋มาไว้หน้าสุด
ทหารวัยกลางคนคนหนึ่งท่าทางชนบทรูปร่างสูงใหญ่กำยำเดินออกมา ดวงตาปูดโตทั้งสองคล้ายอีแร้ง พินิจมองเจี่ยงอวี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไร้ปรานี “พวกเราเป็นคนที่ไทฮองไทเฮาเชิญเข้าวังมา มิใช่โจรชั่วอันใด เจ้า เป็นนายหญิงแห่งตำหนักถงกวง ฮุ่ยผินสกุลเจี่ยงใช่หรือไม่”
พอเจี่ยงอวี๋รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครก็ตัวสั่นงันงก ตอบไม่ตรงคำถามว่า “พวกเจ้ากำเริบเสิบสานนัก มีสิทธิอันใดบุกเข้ามาในตำหนักถงกวงเช่นนี้ จะก่อกบฏรึ”
“วันนี้พอฟ้าสางฉินอ๋องก็จะออกนั่งว่าราชการในราชสำนัก ล้วนดูแลเรื่องน้อยใหญ่ในวังหลวงทั้งหมด” ทัวป๋าจวิ้นไม่ใช้ภาษาทางการอ้างเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นกับนางอีก “เจี่ยงฮุ่ยผินแอบอ้างราชโองการเท็จของไทฮองไทเฮา แก้แค้นส่วนตัวอย่างเปิดเผย ทำร้ายพระสนม ทั้งยังทำร้ายสองแม่ลูกสกุลอวิ๋นยามจะคลอดจนเกือบจะสิ้นใจกันทั้งคู่ นักโทษที่กระทำผิดหลายข้อหา ให้จับกุมเข้าคุกหลวงของวังหลวงทันที”
“มีเช่นนี้ด้วยหรือ” เจี่ยงอวี๋หวีดร้องตกใจ “ข้อหาพวกนี้ข้าไม่ยอมรับ ข้าเป็นเฟยผินแห่งวังหลัง ต่อให้ลงโทษก็ไม่ต้องถึงตาพวกเจ้าหรอก! ต่อให้ไม่รอให้ฝ่าบาทเสด็จกลับมาก็ควรให้ไทฮองไทเฮามาตัดสินก่อน จะให้พวกเจ้ามาบุ่มบ่ามได้อย่างไร ใครก็ได้ ใครก็ได้…พวกเจ้าจะทำอันใดน่ะ…” เจี่ยงอวี๋อารมณ์พังทลายลง กรีดร้องวิ่งวุ่นไปทั่วเรือน
โวยวายจนทัวป๋าจวิ๋นหัวชา หิ้วตัวเจี่ยงอวี๋ขึ้นมาอย่างรำคาญ ยัดผ้าผืนหนึ่งใส่ปากนางไป แล้วเรียกคนมาลากออกตำหนักถงกวงไป
ฟ้าสว่างแล้ว
เจี่ยไทเฮาพักผ่อนมาทั้งคืนก็ผ่อนคลายขึ้นมามาก หลังจากตื่นบรรทม กำลังพิจารณาราชโองการที่เมื่อวานจูซุ่นร่างไว้เรียบร้อยอย่างละเอียด ก็เห็นจูซุ่นกลับมาจากข้างนอกด้วยความตื่นตระหนก ทูลรายงานเรื่องทางตำหนักถงกวงให้ฟัง
ราชโองการผ้าไหมนุ่มในหัตถ์เจี่ยไทเฮาเกือบจะร่วงลงมา
หม่าซื่อก็ตกใจเช่นกัน “คนรับใช้สองคนต่างโดนฉินอ๋องลงโทษประหารตัดมือตัดเท้าแล้วหรือ”
“เพคะ กำลังตัดอยู่เลยเพคะ คนที่เป็นสตรีพอตัดไปถึงมีดที่เจ็ดร้อยแปดสิบกว่าก็เจ็บปวดขาดใจตายลง ส่วนขันทีคนนั้นกลับดวงแข็ง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ขาดใจเลยเพคะ แต่ใกล้เต็มทีแล้วเช่นกัน” จูซุ่นเช็ดเหงื่อออก
หม่าซื่อกลับสูดหายใจ แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “แล้วฮุ่ยผินเล่า” คนรับใช้ทั้งสองยังโดนขนาดนี้ เจี่ยงอวี๋นั่นจะมีจุดจบที่ดีอะไรได้
จูซุ่นสีหน้ายิ่งลำบากใจกว่าเดิม “ก่อนฟ้าจะสางก็ถูกแม่ทัพทัวป๋าของฉินอ๋องกุมตัวไปคุกหลวงแล้ว ดูเหมือนว่าจะโยนลงหม้อ…”
เจี่ยไทเฮากับหม่าซื่อพอได้ฟังสีหน้าก็ซีดเผือด โยนลงหม้อเป็นคำเรียกของโทษทัณฑ์หนักชนิดหนึ่งในวังหลวง คือจะนำโอ่งสำริดสูงครึ่งจั้ง[1]กว่าๆ ที่มีน้ำฝนกักเก็บสะสมไว้จากลานตำหนักของวังมาต้มจนร้อน แล้วโยนนักโทษลงไปต้มทั้งเป็นจนตาย
“ลงโทษไปแล้วรึ” เจี่ยไทเฮารีบถาม แม้จะบอกว่าตนก็ไม่ชอบเจี่ยงอวี๋นั่นเช่นกัน และครานี้เจี่ยงอวี๋ก็ทำเกินกว่าเหตุจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร ชายาสนมในวังหลังก็ควรจะให้นางเป็นคนไต่สวนแล้วค่อยลงโทษ เจ้าสามไม่มาทูลสักคำ อีกทั้งใช้วิธีลงโทษอันโหดเหี้ยมเช่นนี้อีก กำเริบเสิบสานไปหน่อยจริงๆ
———————-
[1] จั้ง (หน่วยวัดของจีน) ฟุต
Comments