ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 259.5 ประหารโดยตัดมือเท้าลงโอ่งต้ม ฝันถึงชาติกาลก่อน (5)
จูซุ่นขมวดคิ้วพลางพยักหน้า ว่ากันว่าเจี่ยงอวี๋นั่นพอถูกโยนลงไปกระทั่งสำลักน้ำยังไม่มี ได้ยินเพียงกรีดร้องโหยหวนคำหนึ่งก็สิ้นลมไปแล้ว จนกระทั่งเอาตัวขึ้นมาก็กลายเป็นกบโดนต้มไปแล้ว ผิวหนังไม่เหลือหลอ ตนยังไม่กล้าเข้าไปดูใกล้ๆ นางเอ่ยเสียงเบาขึ้นอีกว่า “ฮุ่ยผินนั่นไม่เพียงแต่ทำร้ายอวิ๋นเหม่ยเหรินครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะเพคะ ได้ยินแม่นางชูซย่าจากหอเหยาไถบอกว่า ดูเหมือนตอนที่คลอดองค์ชายรอง ก็เคยถูกเจี่ยงฮุ่ยผินติดสินบนมอมอให้มาทำร้ายเช่นกันเพคะ อวิ๋นเหม่ยเหรินนั่นไม่ใช่ว่าคลอดไม่ได้ สุดท้ายต้องผ่าท้องหรือไร ทั้งหมดเป็นเพราะฮุ่ยผินให้คนแอบลงมือ แม่นางชูซย่าบอกว่า แค่ตอนนั้นฮุ่ยผินอำนาจล้นฟ้า อวิ๋นเหม่ยเหรินไม่มีหลักฐาน จำต้องกล้ำกลืนเอาไว้ คงเพราะเช่นนี้ ฉินอ๋องจึงยิ่งโมโหกว่าเดิม…ใช้เลือดล้างตำหนักถงกวง”
เช่นนี้ก็ไม่แปลกใจแล้ว
เจี่ยไทเฮานึกไปถึงว่าบัวลอยน้อยก็แทบจะตายอยู่ในมือเจี่ยงอวี๋ก็เดือดดาลขึ้น “นังสารเลวนี่ เพื่อระบายความหึงหวงเพียงน้อยนิดนั่น หลานสุดที่รักของข้าก็ยังจะมาทำร้าย!” พอได้โมโหขึ้น ก็ทรงไม่ได้ว่าอะไรต่อวิธีการของฉินอ๋องอีก ทำเพียงตรัสอย่างเคียดแค้นว่า “ช่างเถิด ลงโทษก็ลงโทษไปแล้ว จะทำเช่นไรได้อีก คนตายไปไม่อาจฟื้นคืนได้ หากภายนอกมีข่าวคราวใดขึ้น ก็บอกไปว่าข้าได้อนุญาตแล้ว”
จูซุ่นพยักหน้าบ่งบอกว่าทราบแล้ว
“อวิ๋นเหม่ยเหรินไม่เป็นไรกระมัง” หม่าซื่อโพล่งขึ้น
จูซุ่นสีหน้าทะมึนขึ้นกว่าเดิม “ส่งกลับหอเหยาไถไปแล้ว เหยาย่วนพั่นไปดูมาแล้วด้วย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ฟื้นเลยเพคะ”
เจี่ยไทเฮาสีหน้าพลันเปลี่ยน “เกิดอันใดขึ้น”
“เหยาย่วนพั่นบอกว่า ขาดอากาศนาน และไม่ทราบด้วยว่าจะฟื้นเมื่อใดเพคะ” จูซุ่นทอดถอนใจ แล้วเอ่ยปลอบพระทัยว่า “แต่ว่า ไม่มีอันตรายถึงชีวิตชั่วคราว ไทฮองไทเฮาวางพระทัย มีหมอหลวงฝีมือยอดเยี่ยมและวัตถุดิบยาโด่งดังมีราคาของวังมากมายเพียงนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องไม่เป็นไรแน่เพคะ”
เจี่ยไทเฮาเรียกความสดชื่นกลับคืนมา เงยหน้ามองไปนอกหน้าต่าง ฟ้าสวางแล้ว ตะวันขึ้นสูงสู่ฟ้า นางตรัสว่า “ฉินอ๋องเล่า”
“มาถึงตำหนักกระดิ่งทองแล้วเพคะ บรรดาขุนนางก็มาถึงพอสมควรแล้ว รอเพียงไทฮองไทเฮาออกราชโองการเพคะ” จูซุ่นรีบตอบ
เจี่ยไทเฮามอบราชโองการให้แก่จูซุ่น แล้วโบกหัตถ์ให้ “ไปเถิด ไปท้องพระโรง ประกาศราชโองการของข้า”
จูซุ่นถือราชโองการไว้อย่างระมัดระวัง ทูลลาแล้วเดินไปยังตำหนักกระดิ่งทอง
เจี่ยไทเฮาทอดมองแผ่นหลังจูซุ่นแล้วทอดถอนใจออกมาอย่างไร้สาเหตุ
พอราชโองการนี้ป่าวประกาศออกไป ทั้งนอกทั้งในวังหลวง ทั้งบนทั้งล่างราชสำนักก็จะกลับมาอยู่ในการปกครองของเจ้าสามทั้งหมด
เทียบกับการออกราชการแทนพระองค์เมื่อคราก่อนแล้ว ครานี้ต่างหากจึงจะเป็นตำแหน่งกษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดินอย่างแท้จริง
ยามนี้ แผ่นดินไร้กษัตริย์ ขุนนางสับสนอลหม่านกระจัดกระจายเละเป็นโจ๊ก สำหรับคนที่อยากจะไต่ขึ้นตำแหน่งสูง ย่อมเป็นโอกาสที่ดี
เห็นได้ชัดว่าเจ้าสามได้ลากจิ่งหยางอ๋องมาเป็นพวกแล้ว เมื่อคืนก็อ้างคำว่าคุ้มกันมาสังหารอุปสรรคสุดท้ายอย่างอวี้เหวินผิงไป
เกรงว่า แผนก้าวต่อไปของเขาใกล้จะมาแล้ว
หม่าซื่อเห็นไทฮองไทเฮาครุ่นคิดลุ่มลึก จึงหยั่งเชิงว่า “ไทฮองไทเฮาให้ท้ายและปกป้องฉินอ๋องฆ่านางกำนัลและฮุ่ยผินไม่เพียงเพราะไทฮองไทเฮาก็โกรธแค้นฉุ่ยผินเท่านั้นกระมัง”
เจี่ยไทเฮามองคนเก่าคนแก่ที่อยู่ข้างกายมาหลายปีแวบหนึ่ง ไม่ตรัสคำใด
หม่าซื่อเอ่ยต่อว่า “ที่สำคัญก็คือ ตอนนี้ฉินอ๋องเป็นเสาหลัก หากไม่มีฉินอ๋อง ขุนนางพวกนั้นกลับมากันอีกครั้ง” เว้นหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเตือนว่า “แต่ไทฮองไทเฮาเพคะ ฉินอ๋องกลับวังมาในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่เพียงแต่คิดจะออกว่าราชการแทน…”
เจี่ยไทฮองยกมือขึ้นขัดคำพูดของนางไว้ “ข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร เจ้าสามหายตัวไปปีกว่า ไม่มีข่าวคราวใดมาโดยตลอด บังเอิญฝ่าบาทออกรบโดนจับเป็นเชลย เขาก็กลับมาพอดี และบังเอิญตอนขุนนางก่อความโกลาหล เขาเข้าวังมาปราบปรามพอดี จะมีเรื่องบังเอิญเพียงนี้อยู่หรือ เฮอะ ตกไปในหุบเขาอันใดกัน พักรักษาตัวในหมู่บ้านชาวบ้านอันใดกัน เจ้าคิดว่ากำลังดูละครอยู่รึ”
หม่าซื่อตกใจ “ทรงตรัสเช่นนี้ หรือฝ่าบาทออกรบด้วยพระองค์เองและโดนจับไปเป็นเชลยจะเกี่ยวข้องกับฉินอ๋อง…”
“หุบปาก” เจี่ยไทเฮาตวาด “เรื่องนี้ไม่มีหลักฐาน จะเอามาพูดพล่อยๆ ได้อย่างไร”
หม่าซื่อรีบก้มหน้าลง “เพคะ”
เจี่ยไทเฮาแม้จะห้ามหม่าซื่อ แต่ในใจกลับสั่นคลอน
ฝ่าบาทเป็นรัชทายาทที่ถูกต้องเปิดเผย หากฉินอ๋องอยากจะมาแทนที่ ไม่ว่าอย่างไรล้วนโดนคนทั้งแผ่นทิ้ง ถูกขุนนางคัดค้าน หากปีที่แล้วบุกวังมาในยามวิกาลสังหารไท่จื่อ หรือไม่ก็ใช้กำลังทหารของตนขึ้นรับตำแหน่ง ก็สงบจิตใจของผู้คนไม่ได้ บัลลังก์มังกรนั่งได้ไม่มั่นคง ก็จะนั่งได้ไม่นาน
เช่นเดียวกันนั้น ไม่สู้ถอยสักก้าวเป็นการชั่วคราวดีกว่า
เจ้าสามใช้เรื่องบุกเข้าวังนี้มาขอออกจากเมืองหลวงไป จากนั้นก็แกล้งตายซ่อนตัวอยู่หนึ่งปี ให้ฝ่าบาทตายใจและวางใจลง
รอจนฝ่าบาทออกทัพด้วยพระองค์เองแล้วโดนจับเป็นเชลย เขาก็จะได้แสดงจุดยืนในราชสำนัก ตอนนี้ เขาก็เป็นคนที่ผู้คนต่างหวังให้กลับมาแล้ว
หากฝ่าบาทไม่กลับมาเสียที เขานั่งบัลลังก์ต่อ ก็จะถูกต้องเปิดเผย ได้รับความเชื่อใจและนับถือจากแผ่นดิน ทั้งมุ่นมั่นจะขึ้นนั่งตำแหน่งสูงนั้น และไหนเลยจะลุกลี้ลุกลนปีสองปีนี้กัน เขากลับรู้จักเลือกให้อยู่หรือตัดทิ้ง ไม่รีบไม่ร้อน
กล่าวเช่นนี้แล้ว เรื่องที่ฝ่าบาทถูกจับเป็นเชลย…เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าสามจริงๆ เจี่ยไทเฮาสันหลังเย็นวาบอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ทว่า ต่อให้สาวไส้ของเจ้าสามออกมาดูจนเกลี้ยง เจี่ยไทเฮาก็จนปัญญา ยามนี้อย่างไรเสียในราชสำนักก็จำต้องพึ่งเขา
ไม่ให้เจ้าสามขึ้นครองตำแหน่ง แล้วจะให้เว่ยอ๋องขึ้นไปแทนหรือ
ที่สำคัญกว่านั้นคือ สติปัญญาเช่นนี้ ไม่ห่วงใยความไม่มั่นคงของแผ่นดิน
คนที่จะเป็นฮ่องเต้ได้ ใครจะสนว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว ขอแค่ปกครองแผ่นดินได้ดีก็พอแล้ว
คิดอย่างละเอียดต่อไป เจี่ยไทเฮาลืมตาข้างลับตาข้าง ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้มากอีก เพียงแค่นึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยกับหม่าซื่อว่า “ไป ไปหอเหยาไถเป็นเพื่อนข้าที ข้าอยากไปดูชิ่นเอ๋อร์”
ข้างหูมีเสียงลอยมาอย่างเลือนราง
มีเสียงฝีเท้าเข้าออกของบรรดานางกำนัล เสียงซักถามอย่างกังวลอันคุ้นเคยของชูซย่า เสียงถอนใจตอบคำถามของเหยาย่วนพั่น กระทั่งยังมีเสียงตะโกนร้องไห้อือๆ อาๆ ของบัวลอยน้อยอยู่ข้างหู คล้ายว่าแม่นมจะอุ้มบัวลอยน้อยมาข้างเตียง ให้เรียกตนให้ตื่นขึ้นมา
อวิ๋นหว่านชิ่นสติเลือนราง เอาแต่ฟื้นตื่นขึ้นมาไม่ได้ เหมือนว่าจมดิ่งสู่การนอนหลับอันยาวนาน ถูกฝันร้ายพันธนาการไว้ นอกจากเสียงแล้ว รอบด้านล้วนมีแต่หมอกควัน ห่อหุ้มนางจนแยกทิศทางไม่ออก
“บัวลอยน้อย รีบเรียกท่านแม่เร็ว” เป็นเสียงของชูซย่า
“อือ…อืม…อืม…” มือจ้ำม่ำน้อยๆ สะกิดหูและผมของนางสุดชีวิต ร้องพลางอยากจะปลุกให้นางฟื้น
นางได้กลิ่นหอมน้ำนมอันอ่อนนุ่มของเด็กน้อย ใกล้แค่เอื้อม ยื่นมือไปอยากจะกอด กลับคว้าไว้ได้แค่อากาศ กระทั่งเสียงข้างหูล้วนพลันหายไป
แม้จะหลับตาอยู่ แต่ในสายตากลับปรากฏเป็นแสงสว่างสีส้ม คล้ายไฟยามราตรี
เสียงข้างหูเงียบลงไปมาก ไม่มีเสียงสนทนาอีก และไม่มีเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยแล้ว
“บัวลอยน้อย” นางทำปากขมุบขมิบ ดวงตาทั้งสองข้างลืมขึ้นเป็นเส้นบางๆ แสงภายในห้องส่องสว่างจนเบื้องหน้าเจิดจ้า หน้าต่างเหมือนแง้มเปิดไว้เป็นช่องน้อยๆ มีแสงเงินของจันทราสาดส่องเข้าห้องมา
ที่แท้ก็เป็นตอนกลางคืนแล้ว
ปวดหัวมาก…นางแค่โดนโปะผ้าเปียกน้ำ เหตุใดยามนี้ทั่วทั้งร่างจึงได้เจ็บปวดไปหมดและไร้เรี่ยวแรงกำลังยิ่งเช่นนี้ กระทั่งแรงจะขยับนิ้วยังไม่มีเลย
ความรู้สึกเช่นนี้ เหมือนเคยพบเจอมาก่อน เหมือนเป็น…คนป่วยที่หมดทางเยียวยารักษากำลังจะตายในเฮือกสุดท้าย
ทว่า ฟื้นมาแล้วก็ดี
นางพรูลมออกมาเบาๆ หลายครั้ง ลืมตาขึ้น กำลังจะเรียกชูซย่ากับฉีไหวเอิน แล้วให้แม่นมอุ้มบัวลอยน้อยมาหา บนหัวเตียง เสียงบุรุษก็ลอยมาอย่างเรียบนิ่ง “เจ้าฟื้นแล้ว” เงาร่างหนึ่งลุกขึ้นจากหัวเตียง หลังมือเคลื่อนเข้ามาใกล้ ยืนอยู่ข้างเตียง
Comments