ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 261.1 ในที่สุดแผ่นดินก็ตกอยู่ในมือเขา (1)
พักอยู่หลายวัน ในตอนที่เจี่ยไทเฮามาเยี่ยมเป็นครั้งสุดท้ายนั้นได้แอบบอกเป็นนัยอย่างมีความหมายสองประโยค ใจความว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนพบเจอกับองค์ชายสามตอนนี้ คนในวังปากพล่อยมากมาย ตอนนี้เจ้าสามเพิ่งจะขึ้นมาเป็นอุปราช จะได้ไม่โดนคำครหา ไม่ดีต่อทั้งคู่
อากาศค่อยๆ เย็นลง ใจคนก็คล้ายว่าจะได้รับผลกระทบจากอากาศ ตั้งแต่ฮ่องเต้โดนจับไปเป็นเชลยและความวุ่นวายของขุนนางกรูกันมาเกลี้ยกล่อมและสนับสนุนองค์ชายที่ตนถูกใจได้สงบลง
แม้ทางด้านฝ่าบาทจะยังคงไร้ข่าวคราว แต่ในราชสำนักมีผู้นำแล้ว บรรดาขุนนางต่างสงบกันไม่น้อย ทว่าวังหลังกลับวุ่นวายกันขึ้น พอรู้ว่าคนของหอเหยาไถกับคนที่กำลังเป็นอุปราชยามนี้เคยมีสัมพันธ์ใดกันมาก่อน ใส่สีตีไข่เพิ่มเข้าไป กระทั่งสวีคังเฟยที่เมื่อก่อนพอเจออวิ๋นหว่านชิ่นก็เกรงอกเกรงใจอย่างมาก ในสายตาก็ยังมีความซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วันคืนผ่านพ้นไปดุจสายน้ำ ชาวเหมิงหนูยังคงไม่แจ้งข่าวคราวเกี่ยวกับฮ่องเต้ต้าเซวียนมาเลยแม้แต่น้อย และไร้ซึ่งข้อตกลงแลกเปลี่ยนหรือไม่ก็วี่แววการผ่อนผัน บรรดาชายาสนมในวังหลังก็ยิ่งกลัวจนตัวสั่น
มีชายาสนมบางคนที่คนในครอบครัวอยู่ในราชสำนักก็แอบวิพากษ์วิจารณ์กันลับๆ ว่าฉินอ๋องออกว่าราชการแทนไม่ถึงเดือน ได้ยึดเอาขุนนางกว่าครึ่งมาเป็นพวกแล้ว ยามนี้ไร้ข่าวคราวฝ่าบาท แผ่นดินไม่อาจขาดกษัตริย์ได้แม้แต่วันเดียว บรรดาขุนนางในราชสำนักก็รอกันไม่ไหวแล้ว ไม่กี่วันก่อนเป็นต้นมา ได้มีคนสองสามคนทูลขอให้ฉินอ๋องขึ้นครองราชย์แล้ว หากแต่ถูกฉินอ๋องปฏิเสธอ้อมๆ ไปอย่างเกรงใจ
นี่มันเป็นการปฏิเสธอย่างจริงใจที่ไหนกัน แต่เพราะขุนนางที่โน้มน้ามให้ขึ้นครองราชย์พวกนั้นยังไม่มาก รอให้เสียงผู้คนมากกว่านี้อีกหน่อย ฉินอ๋องจะไม่แล่นเรือไปตามน้ำได้หรือ หากฉินอ๋องขึ้นครองราชย์ วังหลังของหลงชังฮ่องเต้ก็จะไม่มีอีกแล้ว พวกนางก็จะกลายเป็นสตรีหม้ายของราชวงศ์ก่อน คงมีเพียงคนเดียวที่เกรงว่าจะดวงดี พลิกผันมาได้เปรียบ
สายตาของบรรดาชายาสนมในวังหลังจึงยิ่งจดจ้องไปที่หอเหยาไถมากกว่าเดิม
เจี่ยไทเฮาพอทราบคำวิพากษ์วิจารณ์ของวังหลังก็ส่งหม่าซื่อไปเตือนที่หอเหยาไถบ่อยครั้ง บรรดาสตรีในวังหลังต่างจับจ้องกันเขม็ง ยามนี้ยิ่งต้องระวังให้มาก อย่าให้ใครมาจับจุดอ่อนเอาไว้ได้
อวิ๋นหว่านชิ่นพยักหน้าขานรับ อย่างไรเสียเวลาส่วนใหญ่ล้วนพักรักษาตัวอยู่ที่หอเหยาไถอยู่แล้ว ไม่ค่อยได้ออกไปไหน รอเพียงร่างกายหายดีพอสมควร หาวันที่อากาศดีๆ และเฉินจ้าวเข้าเวรในวัง ค่อยพาฉีไหวเอินกับชูซย่าออกมา
นางไม่สะดวกออกไป ทำเพียงให้ฉีไหวเอินไปแทนนาง นำสุราที่ตนใช้ดอกไม้ในสวนมาบ่มไปส่ง เป็นของขวัญขอบคุณในครั้งนี้
ฟื้นตื่นจากฝันอันรางเลือนระหว่างเจ็บป่วย นางยิ่งไม่รู้ว่าจะตอบแทนเฉินจ้าวอย่างไรดี ทำได้เพียงใช้สุรามาแทนคำขอบคุณ อีกทั้ง อย่างน้อยๆ ชาตินี้ก็สามารถดูแลสองพี่น้องได้ ไม่ให้ทั้งคู่ออกจากเมืองหลวงไป
มอบสุราเสร็จระหว่างทางกลับ เห็นว่าอากาศดี ชูซย่ากับฉีไหวเอินก็จะให้นางไปเดินเล่นที่สวนหลวงให้ได้ ดอกกุ้ยในฤดูนี้เบ่งบานได้งดงามที่สุด หอมหวานไปทั้งสวน เพียงแค่ดอมดมก็สามารถให้คงามรู้สบายอกสบายใจได้ ทั้งยังมีประโยชน์ต่อร่างกายด้วย ภายใต้การคะยั้นคะยอของทั้งสอง นางจึงยิ้มพลางเดินไป
เดินเล่นยามบ่ายใต้ต้นดอกกุ้ยสักครู่หนึ่ง ชะล้างคราบผู้ป่วยติดเตียงที่หลงเหลืออยู่บนร่างให้หมดสิ้นไป เห็นว่าฟากฟ้าเริ่มมืดแล้ว อวิ๋นหว่านชิ่นนึกห่วงบัวลอยน้อยจึงพาทั้งสองหันหลังเดินออกจากสวนหลวงไป เพิ่งจะเดินมาใกล้ประตูของสวน ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงบุรุษสนทนากันจากทางประตูสวนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ คล้ายคนทั้งกลุ่มกำลังจะเข้ามาในสวน หนึ่งในนั้นเป็นเสียงของจิ่งหยางอ๋อง และเสียงของอีกคนทำเอาทั้งสามคนฟังแล้วต่างพากันตกตะลึง
มองอยู่ไกลๆ บุรุษสวมชุดคลุมผ้าไหมปักสีสันสวยงามตลอดร่างได้ปรากฏกายอยู่ตรงประตูเป็นที่เรียบร้อย แต่ละคนต่างพาองครักษ์และเสนาธิการทหารมาด้วย
คงเลิกประชุมแล้วมาพูดคุยเรื่องการเมืองกันที่สวนไปพลาง เดินเล่นชมนกชมไม้ไปพลาง
อวิ๋นหว่านชิ่นนึกไปถึงคำพูดของเจี่ยไทเฮา พาชูซย่ากับฉีไหวเอินหันหลังหลบไป เดินไปทางประตูอีกด้านแทน รู้สึกว่าฝีเท้าด้านหลังหยุดลงโดยพลัน เสียงของบรรดาบุรุษก็เงียบลงไป ราวกับเห็นแผ่นหลังของพวกตนทั้งสามแล้ว
ในที่สุดทั้งสามคนก็ออกจากสวนหลวงมา เดินไปทางหอเหยาไถ ระหว่างทางชูซย่าเอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เหมือนทำเรื่องร้อนตัวอย่างไรอย่างนั้น”
“คำพูดของคนน่ะน่ากลัว” อวิ๋นหว่านชิ่นปลอบใจนาง “ถูกคนเห็นเข้า ก็ไม่รู้ว่าจะไปใส่สีตีไข่เพิ่มอะไรบ้าง และจเสี่ยงเพื่อการใดกัน”
“ไม่ว่าอย่างไร หากท่านอ๋องมีใจ ต่อให้จะเป็นอย่างไรก็น่าจะมาดูท่านเสียหน่อยนะเจ้าคะ” ชูซย่ายังคงบ่นพึมพำ
อวิ๋นหว่านชิ่นไม่เอ่ยคำใด จะให้มาดูอย่างไรเล่า ยามนี้เขาเป็นอ๋องอุปราช ตนเป็นสนมวังหลังของฮ่องเต้ จะสะดวกมาหอเหยาไถในวังหลังได้อย่างไร
อย่างไรเสียฉีไหวเอินก็ฉลาดเฉลียวกว่าชูซย่าอยู่บ้าง เขาเกลี้ยกล่อมว่า “ช่างเถอะ อีกแค่ไม่กี่วันหรอก” เว้นหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกดเสียงต่ำเอ่ยว่า “ระยะนี้พวกขุนนางในราชสำนักต่างขอร้องให้ท่านอ๋องขึ้นครองราชย์ วันนั้นข้าเจอเข้ากับองครักษ์ซือในวัง เขาบอกว่าทหารและขุนนางคนสนิทของท่านอ๋องที่เหลืออยู่ที่เขตส่านซีใกล้จะถึงแล้ว ถึงตอนนั้นหนึ่งคนเรียกหา ร้อยคนขานรับ เรื่องดีๆ อยู่ไม่ไกลแล้ว”
กลับมาถึงหอเหยาไถ ม่านราตรีก็คล้ายจะลากปิดลงมาแล้ว
หลังจากทานมื้อค่ำเสร็จ แม่นมก็อุ้มบัวลอยน้อยมาหาตามปกติ อวิ๋นหว่านชิ่นสอนคำศัพท์ให้อยู่ครู่หนึ่ง ก็ดึกแล้ว มองลูกชายกลับไป หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนเสร็จแล้วหลับไป
ไม่รู้ว่าออกไปข้างนอกมาค่อนวัน เดินจนตื่นเต้นเลยนอนไม่หลับ หรือว่าตอนบ่ายเกือบจะพบเขาเข้ากันแน่ ดวงใจตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย นางพลิกตัวไปมาอยู่นานก็นอนไม่หลับ
จึงลุกขึ้นโยนกำยานที่ช่วยเรื่องนอนหลับสงบจิตสงบใจลงไปในกระถางกำยานของห้องนอน แล้วนอนลงไปอีกครั้ง กำยานเจือจางให้จิตใจสงบ กลับใช้ได้ผลทีเดียว เพิ่งจะล้มตัวลงนอนไปไม่นาน ความง่วงงุนที่รออยู่ในที่สุดก็มาเยือน
เปลือกตาหนักอึ้ง นางหาวออกมา จมดิ่งสู่ห้วงฝัน
หน้าประตูใหญ่ด้านนอกหอเหยาไถ ขันทีที่เข้าเวรใช้ค่ำคืนอันเงียบสงบและเย็นสบาย เข้าเวรเฝ้ายามไปพลาง งีบกึ่งหลับกึ่งตื่นไปพลาง จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ จึงตกใจตื่น
ชายหนุ่มรูปงามท่าทางเหมือนผู้ติดตามฝ่าบาทคนหนึ่งเดินมา นิ้วมือทาบอยู่ริมฝีปาก ส่งเสียง ‘ชู่’ ออกมา
ชายหนุ่มคนนั้นอยู่ในชุดองครักษ์ชั้นในระดับสูง
ขันทีกลืนน้ำลายลงคอ ยังไม่ทันจะพูดอะไรก็เห็นชายหนุ่มคนนั้นหลีกทางให้ บุรุษในชุดคลุมลำลองสีม่วงก้าวเข้ามา
“อะ…อุปราช…” ขันทีคนนั้นไม่คิดไม่ฝัน คุกเข่าลงคำนับตัวสั่นเทา
ยังพูดไม่ทันจบ ซือเหยาอันก็ดึงเขาให้หลีกทางให้กับผู้เป็นนาย
ขันทีเห็นว่าอุปราชก้าวเข้าลานเรือนมา คล้ายกับเข้ามาในดินแดนที่ไร้ผู้คน เหมือนกับเข้าไปในท้ายเรือนของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดก็ได้สติขึ้น ร้อนรนขึ้นมาแล้ว “นะ…นี่มันไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ…” แต่กลับโดนซือเหยาอันปิดปากไว้ ได้ยินเพียงเสียงเย็นๆ ข้างหูที่แฝงไว้ด้วยแววล้อเล่นว่า “กงกงคงมิได้ไม่เห็นแก่หน้าอุปราชหรอกกระมัง”
ขันทีกลืนน้ำลาย ไม่กล้าพูดอะไรอีก
เงาร่างสูงใหญ่ทะยานผ่านราตรี หยุดลงบนระเบียง ชูซย่ากับฉีไหวเอินที่อยู่หน้าระเบียงรอรับใช้อยู่หน้าประตูมาตลอด ยามนี้ตกอกตกใจยิ่ง คิดไม่ถึงว่าเขาจะมาหาในยามวิกาล จึงเข้าไปหา “ท่านอ๋อง…”
เขาไม่ส่งเสียง สายตาเหลือบมองประตูห้องนอนที่ปิดแน่นสนิท
ชูซย่าเข้าใจความหมายของเขา นางยังคงลังเล ทว่าฉีไหวเอินเข้าไปปลดกลอนออกแล้วเรียบร้อย
ประตูถูกเปิดออก บุรุษคนนั้นไร้คนห้ามปราม ยกเท้าขึ้นบันไดตรงเข้าไปยังห้องนอน
รอจนบุรุษคนนั้นเข้าไปแล้ว ภายในลานเรือน นางกำนัลของหอเหยาไถสองสามคนจึงได้มาห้อมล้อม เอ่ยอย่างตื่นตกใจว่า “ให้อุปราชเข้าไปอย่างเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้น่ะรึ…”
ชูซย่ากับฉีไหวเอินเห็นคนรับใช้ของท่านอ๋องไม่มากนักก็สบตากัน
เมื่อเรียกรวมตัวขันทีที่เฝ้าประตูกับคนพวกนี้มายังระเบียงแล้ว ฉีไหวเอินก็กระแอมกลั้วคอให้โล่ง กดเสียงต่ำสั่งสอนว่า “เรื่องนี้ไม่ว่าใครก็อย่าได้ปากโป้งเด็ดขาด หากข้าได้ยินข่าวคราวภายในวังเข้าแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ท่านอุปราชปล่อยพวกเจ้าไว้ แต่ข้าไม่เกรงใจแน่!”
Comments