ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 262.1 ขึ้นครองราชย์ (1)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 262.1 ขึ้นครองราชย์ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อวิ๋นหว่านชิ่นความคิดวาบผ่าน “คืนนี้ย้ายเตียงองค์ชายรองเข้ามาในห้องข้า นอนกับข้าสักคืนก็แล้วกัน”

ชูซย่ามองไป กลับเห็นนางอุ้มลูกชายขึ้นมาเอ่ยหยอกว่า “เป็นอย่างไร วันนี้นอนกับแม่ดีหรือไม่”

บัวลอยน้อยวาดมือวาดไม้ ไม่ปฏิเสธสักนิด

แม่นมทำตามประสงค์ ออกไปสั่งนางกำนัลแล้ว

อวิ๋นหว่านชิ่นพลิกเปิดสมุดรูปภาพขั้นเริ่มต้นสำหรับเด็กเล่มหนึ่งออก กางลงตรงหน้าลูกชาย ชี้ไปบนภาพในหนังสือ สายตากลับเหลือบมองบนร่างชูซย่า เห็นนางมีสีหน้าเหม่อลอย จึงจงใจเงียบแล้วมองสาวใช้นางนี้อยู่สักพักให้บอกความจริง ชูซย่าถูกนายหญิงจ้อง ในใจก็รู้สึกผิด เฮ้อ ท่านอ๋องทำให้ตนต้องทรยศนายหญิงเป็นครั้งแรกในชีวิต ในขณะนั้นเอง ลมหอบหนึ่งพัดโชยผ่านหน้าประตู โชคดีที่ฉีไหวเอินวิ่งเข้าจากด้านนอก

ชูซย่าพรูลมออกมา รีบขมวดคิ้วทันใด “ไอ้คนนี้นี่ ไม่รู้จักให้ซุ่มให้เสียงสักคำก็บุ่มบ่ามบุกเข้ามา ดูซิวิ่งหอบลมมาด้วย ไม่หอบหายใจตาย ก็มีเพียงนายหญิงของเราที่สามารถอดทนอดกลั้นได้เพียงนี้แล้ว”

ฉีไหวเอินครานี้กลับไม่ปากมากอวดฉลาด ทำเพียงกลอกตาใส่ชูซย่า หอบหายใจหนัก “คนของทางเขตส่านซีเข้าเมืองหลวงมาเมื่อเช้าขอรับ”

ชูซย่าปรีดี ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่ดี แสดงว่าอำนาจของท่านอ๋องมั่นคงแล้ว แต่ได้ยินฉีไหวเอินพูดขึ้นอีกว่า “อี๋ซื่ออ๋องก็พาทหารมาพร้อมกับทหารของท่านอ๋องเช่นกัน”

อี๋ซื่ออ๋องอย่างนั้นรึ อวิ๋นหว่านชิ่นฉงน “อี๋ซื่ออ๋องเฝ้ารักษาการณ์ที่เมืองเจียงเป่ย เหตุใดจู่ๆ จึงมาเมืองหลวงเล่า”

“เป็นท่านอ๋องเรียกกลับเมืองหลวงขอรับ” ฉีไหวเอินบอก “วันที่ฝ่าบาทถูกจับเป็นเชลยอี๋ซื่ออ๋องตามกองทัพไปด้วย ต่อมาเจรจาต่อรองกับเหมิงหนูก็เป็นอี๋ซื่ออ๋องที่ออกโรง ท่านอ๋องจึงให้อี๋ซื่ออ๋องกลับเมืองหลวงมารายงานเหตุการณ์หลังจากที่ฝ่าบาทถูกจับไปเป็นเชลย และปรึกษากลยุทธขอรับ”

หลายวันมานี้ นางสงสัยมาโดยตลอด ยามนี้ได้ยินข่าวนี้เข้า ความสงสัยในจิตใจก็ลอยขึ้นเหนือผิวน้ำ คาดเดาบางอย่างมาได้แล้ว

ครานี้อี๋ซื่ออ๋องมาเมืองหลวง เกรงว่าไม่เพียงแค่ปรึกษากลยุทธว่าจะช่วยฮ่องเต้ออกมาอย่างไรแน่ๆ

นางถามขึ้นว่า “อี๋ซื่ออ๋องเข้าเมืองมาแล้วกระมัง”

“เข้าเมืองมาแล้ว ได้ยินว่าเพิ่งจะเข้าพระที่นั่งอี้เจิ้งไป กำลังพบปะกับท่านอ๋อง จิ่งหยางอ๋องและเน่ยเก๋อ[1]รวมถึงขุนนางใหญ่ๆ ในราชสำนักขอรับ” ฉีไหวเอินตอบ

ในใจนางมีลางสังหรณ์บางอย่าง เงียบงันไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยกับฉีไหวเอินว่า “เจ้าไปสืบข่าวจากทางพระที่นี่งอี้เจิ้ง หากมีเรื่องใดค่อยกลับมารายงาน”

เป็นไปดังคาด เลยเที่ยงวันไป ฉีไหวเอินก็รีบร้อนกลับมา บอกเล่าเรื่องที่ได้สืบมาทั้งหมด

เช้าวันนี้พออี๋ซื่ออ๋องเข้าพระที่นั่งมาก็คุกเข่าอยู่นานไม่ยอมลุก บอกเล่าความเสียใจที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไม่ปกป้องคุ้มกันฝ่าบาทให้ดี โทษสมควรตายหมื่นหน ท่านอ๋องไปพยุงเขาให้ลุกขึ้นด้วยตัวเอง ถ่ายทอดต่อว่าไทฮองไทเฮาทรงไม่ตำหนิถือโทษ แนวหน้าของสนามรบชั่วพริบตาเดียวเปลี่ยนแปลงไปมากมาย เรื่องการทำสงครามนั้น เดิมทีก็อาศัยความสามารถสามส่วน อีกเจ็ดส่วนพึ่งโชค คุ้มกันไม่ดีมีโทษ แต่ยามนี้ที่สำคัญกว่านั้นคือช่วยเหลือฝ่าบาทกลับคืนมา อี๋ซื่ออ๋องสีหน้าเศร้าโศก รายงานสถานการณ์ทางแดนเหนือ พูดไปพูดมามีเพียงประโยคเดียว เหมิงหนูหน้าเนื้อใจเสือกลับกลอก ไม่ยอมปล่อยตัวฝ่าบาทกลับเมืองหลวง ยังคงคุมขังไว้ที่แคว้นนครหลวง เกรงว่ายากที่เจรจาต่อไป ดูจากสถานการณ์แล้ว เหมิงหนูต้องการถ่วงเวลาต่อไป รอให้ต้าเซวียนไร้กษัตริย์ เกิดความวุ่นวายขึ้นภายใน เต็มไปด้วยความหายนะ ก็ค่อยอาศัยยามอ่อนแอเข้าโจมตี

บรรดาขุนนางที่ได้ฟังดวงใจก็เย็นยะเยือกขึ้นมาครึ่งหนึ่ง แม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะนำตัวฝ่าบาทกลับคืนมาอย่างราบรื่นมีไม่มาก แต่ได้ยินอี๋ซื่ออ๋องนำความกลับมากับหูตัวเอง ก็ยิ่งไม่หอบความหวังอะไรไว้แล้ว

จากนั้น อี๋ซื่ออ๋องก็ทูลขอให้ฉินอ๋องขึ้นครองราชย์ เป็นกษัตริย์ชั่วคราว เพื่อจะได้ไม่ตกหลุมพรางชาวเหมิงหนู ขุนนางจำนวนหนึ่งท่ามกลางเน่ยเก๋อได้กราบทูลขอให้ฉินอ๋องขึ้นครองราชย์ตั้งนานแล้ว จึงได้คุกเข่าขอร้องตามด้วย ขุนนางสำคัญที่เหลือทางฝั่งฝ่าบาท แม้ว่าจะไม่ยินยอมพร้อมใจ และคาดเดาเอาไว้ได้แล้ว ก็จนใจต่อสถานการณ์ตรงหน้าเอนเอียงไปอีกฝั่ง ไม่เพียงแต่ทหารของฉินอ๋องล้วนมารวมตัวกันที่เมืองหลวงหมดแล้วเท่านั้น ขนาดอี๋ซื่ออ๋องก็ยืนอยู่ฝั่งฉินอ๋องไปแล้ว จึงจำต้องตามน้ำไป คุกเข่าลงมา

ในขณะที่ฉีไหวเอินกลับมานั้นเอง พระที่นั่งอี้เจิ้งก็ยังคงมีเสียงกังวานกึกก้อง ดังสนั่นลั่นฟ้า เสียงน้อมเชิญให้ขึ้นครองราชย์ดังก้องอยู่ในโสต

“ท่านอ๋องตอบไปว่าอย่างไรรึ” ชูซย่ารีบถาม

ฉีไหวเอินกระซิบว่า “แรกๆ ก็ยังเหมือนคราก่อนๆ ตำหนิขุนนางไม่ควรให้ตัวเองละทิ้งฝ่าบาท ปฏิเสธสุดกำลัง แต่อี๋ซื่ออ๋องพากันคุกเข่าไม่ยอมลุก บรรดาขุนนางเฒ่าก็ทูลไปร้องไห้ไป แม้ท่านอ๋องจะยังคงไม่รับปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดออกมาแล้ว”

อวิ๋นหว่านชิ่นเงียบงัน คนที่จะเป็นกษัตริย์ นอกจากกล้าหาญฉลาดปราดเปรื่องมีความอดทนแล้ว อย่างไรเสียก็ยังต้องมีฝีมือการแสดงอยู่สามส่วน

เจ้าผลักข้าหลีกเหมือนกับรำไทเก๊กไปมา ในที่สุดแผ่นดินก็จะมาอยู่ในมือเขา

ด้านนอกหน้าต่างที่แง้มไว้กึ่งหนึ่ง ตำหนักราชวงศ์ทองอร่ามเรืองรองยังคงเหมือนยามปกติ แต่แผ่นดินนี้เกรงว่าจะได้เปลี่ยนนายแล้ว

หนึ่งวันผ่านพ้นไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว สีฟ้าราตรีก็มาเยือน

ถึงเวลานอนแล้ว แม่นมทำตามที่นายหญิงสั่ง อุ้มองค์ชายรองเข้ามาวางลงบนเตียงเด็กข้างเตียงนายหญิง ก่อนจะออกไปก็ยังเอ่ยขึ้นว่า “เหม่ยเหรินวันนี้จะดูแลองค์ชายรองด้วยตัวเองจริงๆ หรือเจ้าคะ หลายวันมานี้องค์ชายรองตื่นกลางดึกง่าย เกรงว่าจะเสียงดังกวนเวลานายหญิงพักผ่อน”

“ไม่กลัวหรอก” อวิ๋นหว่านชิ่นหัวเราะออกมาเบาๆ ลูบคางน้อยๆ ของลูกชายไปมา

แม่นมจึงไม่พูดอะไรมาก ออกไปทันที อวิ๋นหว่านชิ่นเปลี่ยนเป็นชุดนอน นั่งยองๆ อยู่ข้างเตียงเด็กพูดคุยกับลูกชายสักพัก เห็นลูกชายหาวขึ้นมาหลายครั้งคล้ายเหนื่อยแล้วจึงได้อุ้มเขานอนลงมา แล้วห่มผ้าให้ ส่วนตัวเองก็กลับไปบนเตียง ผล็อยนอนหลับไป

ดึกสงัดเข้า ค่อนคืนหลังมาถึง ณ ลานเรือนหอเหยาไถ นางกำนัลจำนวนหนึ่งที่เฝ้ายามเมื่อวานได้แยกย้ายกันไปอย่างรู้งานนานแล้ว ประตูระเบียง ชูซย่าเห็นผู้มาเยือนมาตรงเวลาราวกับเข้าประชุมราชสำนัก กลับไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี คำนับให้เล็กน้อย “ท่านอ๋องอย่ามาอีกเลยเพคะ หากถูกใครเห็นเข้าจะไม่ดี”

ซย่าโหวซื่อถิงส่งเสียงอืมออกมาคำหนึ่ง แต่กลับท่าทางเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาโดยสมบูรณ์ เอามือไพล่หลังเข้าห้องไป เลิกผ้าม่านขึ้น

ภายในห้องนอนที่แสงไฟสลัว เตียงเด็กหลังหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง

เด็กน้อยตื่นมากลางดึก ปีนเตียงจากขึ้น ยามนี้กำลังจับรั้วข้างเตียงไว้ ขาเล็กๆ อ้วนป้อมทั้งสองข้างสั่นเล็กน้อย ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวตรงประตูเข้าก็มองมาทางเขาเหมือนทหารยืนโยงอย่างไรอย่างนั้น ดวงตาสองข้างเบิกโตกลมเหมือนเม็ดองุ่น

นึกไม่ถึงว่าเจ้าตัวเล็กกำลังเฝ้ายามให้มารดาอยู่

ซย่าโหวซื่อถิงหยุดฝีเท้าลง เกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้น

ไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนที่มีลูกชายแล้ว

เมืองหลวงมีจดหมายมาเมื่อปีที่แล้ว เขาได้ทราบว่าตอนที่ตนเพิ่งจากไป ยามอยู่ในวังนางก็รู้ตัวว่าท้อง สวรรค์รู้ดีว่าในใจมีความรู้สึกอย่างไร…การจัดการหนึ่งปีมานี้ พวกนางสองแม่ลูกเป็นแรงผลักดันอันแรงกล้าของตน และยิ่งมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้

ตอนนางคลอด เขาอยู่อย่างสันโดษในที่เงียบสงบทางแดนเหนือ ทำให้ข่าวคราวการหายตัวไปของตัวเองแพร่สะพัดไปเมืองหลวง เพราะรู้ว่าฝ่าบาทไม่วางใจคำพูดฝ่ายเดียวของอี๋ซื่ออ๋อง จึงแอบส่งคนไปสืบความเป็นตายของตน เขาตัดขาดจากโลกภายนอก หลบเลี่ยงโลกโลกีย์ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่านางคลอดลูกเมื่อใด และไม่รู้ว่าลูกนั้นเป็นชายหรือหญิง

เขาทำได้เพียงดูวันคืน นับวันที่นางคลอด

แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เชื่อสวรรค์และพระผู้เป็นเจ้า ที่เชื่อนั้นมีแต่ตัวเขาเอง แต่ยามเมื่อตนไม่อาจไปอยู่ข้างกายนางได้ เขาจำต้องฝากความหวังไว้กับพระพุทธะ ยามเมื่อนางใกล้จะคลอด รีบร้อนลนลานอธิษฐานให้นางคลอดอย่างปลอดภัยในที่สันโดษนั้น

คราก่อนบนรถม้า เด็กคนนี้เรี่ยวแรงเยอะนัก ท่าทางยิ่งใหญ่ทรงพลัง ได้มาเห็นวันนี้ ยังฉลาดเฉลียวมากอีกด้วย

———————–

[1] เน่ยเก๋อ เป็นองค์กรในระบบราชการของจักรวรรดิจีนช่วงราชวงศ์หมิง ซึ่งโดยนิตินัยแล้วเป็นหน่วยประสานงาน แต่โดยพฤตินัยเป็นสถาบันสูงสุดในการปกครอง องค์กรนี้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นเมื่อจักรพรรดิหงอู่ (洪武帝) ทรงยกเลิกตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี (丞相) ใน ค.ศ. 1380 แล้วองค์กรนี้ก็ค่อย ๆ พัฒนาเป็นหน่วยประสานงานที่มีประสิทธิภาพ โดยนิตินัยแล้วสมาชิกทั้งหมดมักเป็นข้าราชการชั้นกลาง ตำแหน่งต่ำกว่าเจ้ากระทรวง แต่เพราะมีหน้าที่กลั่นกรองเอกสารที่หน่วยงานราชการถวายต่อพระมหากษัตริย์ ทั้งมีอำนาจร่างราชหัตถเลขา สมาชิกบางคนของเน่ยเก๋อจึงอาจครอบงำการปกครองไว้ได้ทั้งสิ้น ประหนึ่งเป็นอัครมหาเสนาบดีโดยพฤตินัย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด