ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 183 ท้ออายุยืน (2)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 183 ท้ออายุยืน (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เนื่องด้วยงานเฉลิมพระชนมพรรษาแต่ละตำหนักก็จะช่วยกันเตรียมงาน บางครั้งก็มีการยืมคนซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลก คนที่ถูกเรียกชื่อจึงวางงานในมือลุกขึ้นเดินตามขันทีไปยังตงกง

ตงกงตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นตำหนักชายคาสีทองเสาหยก มีความงดงามตระการตาไม่แพ้ตำหนักของผู้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ระบบรักษาความปลอดภัยมีความแน่นหนา ตำหนักซงหยวนที่อยู่ตรงกลางคือห้องทรงงาน ห้องอ่านหนังสือของไท่จื่อ ส่วนห้องต่างๆ ด้านข้างที่เรียงรายอยู่นั้นเป็นที่พักของพระชายาของไท่จื่อ

ขันทีนำแม่ชีเข้ามายังพระตำหนักแล้วให้สัญญาณมือกับมอมอคนหนึ่งเพื่อให้พาพวกเขาไปช่วยเหลืองานที่ด้านหลัง

อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะก้าวเท้าเดินตามไปแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเรียกอันแผ่วเบาของขันที “พระชายาเอกฉินช้าก่อน ท่านต้องไปทำงานอื่น โปรดตามข้ามาทางนี้”

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกแปลกใจแต่ก็เดินตามขันทีขึ้นบันไดเข้าไปยังตำหนักซงหยวน

เสียงเพลงบรรเลงดังก้องไปทั่วห้อง มีคนกำลังดีดพิณ ผ้าไหมลายปักเปล่งประกายสะดุดตา มีเงาคนเลือนลาง นั่งอยู่ตรงหน้า อวิ๋นหว่านชิ่นพอจะเดาออก “พระองค์ทรงเรียกให้ข้ามาช่วยงาน ที่แท้ก็ให้ข้ามาฟังท่านบรรเลงเพลงนี่เอง”

ขันทีเดินออกไปทันที

เสียงเพลงหยุดลงนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มยกออกจากพิณเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ครั้งก่อนตอนข้าเตรียมบรรเลงเพลงให้กับเสด็จแม่ในงานเฉลิมพระชนมพรรษาเจ้าก็อยู่ด้วย ครั้งนี้เจ้าก็ต้องอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน รอให้แม่ชีพวกนั้นทำงานเสร็จแล้วเจ้าค่อยกลับไปพร้อมกับพวกเขาก็แล้วกัน”

ตงกงขาดคนทำงานก็เลยเรียกแม่ชีจากอารามฉางชิงมาช่วยเหลือ ไท่จื่อฉุกคิดได้จึงสั่งให้คนเรียกนางมาด้วย ประการแรกก็เพื่อให้นางได้ออกมาพักผ่อนหายใจชั่วครู่ ประการที่สองก็เพื่อใช้โอกาสนี้พูดคุยเรื่องละครกับเพลงกับนางอีกครั้ง

อวิ๋นหว่านชิ่นรับรู้ถึงความหวังดีตรงนี้ นางจับชายกระโปรงและนั่งลง “ขอบพระทัยไท่จื่อ”

ทั้งสองคนถูกกั้นไว้ด้วยผ้าม่านลูกปัด ไท่จื่อกำลังซ้อมบทเพลงที่มีชื่อว่าเฉินเซียงช่วยแม่ เป็นบทเพลงที่ไม่ทันได้มอบให้กับเจี่ยงฮองเฮาในงานเฉลิมพระชนมพรรษาวันนี้ฝีมือการดีดของเขาพลิ้วไสวไหลรื่นราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบทเพลง

เมื่อเทียบกับความเข้มขรึมเมื่อตอนอยู่ที่ตำหนักซานซิง วันนี้เขาดูเงียบสงบหามีสิ่งอื่นใดรบกวนไม่ อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูจากด้านนอก เห็นเพียงใบหน้าอันงดงาม ดวงตามองไปยังด้านล่างเล็กน้อยกำลังจดจ่ออยู่ตรงนั้นอย่างตั้งใจ

หากไม่รู้ว่าเจี่ยงฮองเฮาทำอะไรกับไท่จื่อและพระมารดาของเขา และไท่จื่อมีความเกลียดเจี่ยงฮองเฮาขึ้นภายในใจ ภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้สามารถทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกได้ว่า ไท่จื่อมีความกตัญญูและจริงใจกับฮองเฮาเป็นอย่างมาก

แต่ก็ไม่รู้ว่าไฟที่กำลังลุกขึ้นภายในใจของไท่จื่อที่มีต่อเจี่ยงฮองเฮาจะเก็บได้นานแค่ไหน นางเชื่อว่าใบหน้าของไท่จื่อยิ่งนิ่งมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขาก็ยิ่งลุกไหม้แรงมากเท่านั้น

เสียงพิณหยุดลงแต่เสียงยังลอยอยู่ในห้องเป็นเวลาครู่หนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นได้สติจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ฝีมือพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ครั้งก่อนที่ข้าได้ฟัง แม้ว่าบทเพลงไพเราะเสนาะหูเช่นกันแต่ยังรู้สึกมีร่องรอยเหลืออยู่ วันนี้ข้ารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นธรรมชาติไร้การตกแต่ง ฟังแล้วไม่สามารถแยกได้เลยว่าบทเพลงนี้อยู่ข้างหูหรืออยู่ภายในใจ ดูเหมือนว่างานเฉลิมพระชนมพรรษาของฮองเฮาที่ถูกเลื่อนออกไปก็มิใช่เรื่องแย่นะเจ้าคะ อย่างน้อยไท่จื่อก็มีเวลาซ้อมบทเพลงจนทำได้ดีถึงเพียงนี้ ทำให้มีเวลาเตรียมของขวัญชิ้นนี้มากขึ้นกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ”

ไท่จื่อยิ้มตามคำพูดของหญิงสาวแต่เมื่อฟังถึงประโยคสุดท้ายรอยยิ้มนั้นค้าง ในดวงตามีประกายแสงแวบผ่านและหายไปอย่างรวดเร็วราวกับดอกไม้ไฟ แทบจะไม่สามารถเห็นทันถึงปฏิกิริยานั้น แล้วเขาก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ มิใช่เรื่องแย่ ทำให้ข้ามีเวลาเตรียมมากขึ้น” เว้นไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจว่า “ทุกครั้งชิ่นเอ๋อร์ไม่เพียงแต่เข้าใจในเสียงเพลง แต่ยังเข้าใจข้าอีกด้วย จะว่าไปแล้ว ครั้งก่อนที่ข้าบรรเลงเพลงต่อหน้าชิ่นเอ๋อร์ ชิ่นเอ๋อร์ยังเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน แต่วันนี้ได้เป็นพระชายาเอกในฉินอ๋อง เมื่อก่อนเราสามารถดูละครในห้องเดียวกันพูดคุยตรงระเบียงได้ เวลาผ่านไปเพียงสั้นๆ เจ้ากับข้ากลายเป็นน้องชายกับพี่สะใภ้” พอพูดถึงตรงนี้เขาลุกขึ้น มีลมเย็นพัดเบาๆ ยกมือขึ้นปัดผ้าม่านลูกปัดออก “แล้วยังต้องมีเจ้านี้กั้นเอาไว้ถึงจะพูดคุยกันได้อีก!”

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งและเดาออกว่าเขามีเรื่องอะไรในใจ แต่คำพูดนี้ดูคลุมเครือ อย่างน้อยก็ไม่ควรพูดออกมาในเวลาที่อยู่กันตามลำพัง แล้วยิ่งเห็นเขาเปิดผ้าม่านลูกปัดเดินออกมาก็ยิ่งรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ เมื่อหันกลับไปมองที่ประตู แม่ชีทำงานคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเสร็จ ถ้ากลับไปตอนนี้คนเดียวอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้ นางยิ้มและลุกขึ้น “ไท่จื่อบรรเลงอีกสักเพลงสองเพลงดีหรือไม่เจ้าคะ”

ตอนที่กำลังพูดนางได้กลิ่นหอมหวานละมุนลอยมาแตะที่จมูก

ไท่จื่อดื่มสุรา

“ทำไมล่ะ ไม่อยากฟังข้าพูด ขอฟังเสียงเพลงดีกว่างั้นหรือ” ไท่จื่อขมวดคิ้วและเดินเข้ามาใกล้

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเดาออก อีกทั้งยังพูดออกมาอย่างเปิดเผย นางไม่อยากอ้อมไปอ้อมมาจึงตอบกลับไปตรงๆ “ใช่เจ้าค่ะ”

“ฮ่าๆๆ” ไท่จื่อไม่โกรธแต่กลับหัวเราะแทน “ข้าชอบความซื่อของเจ้า!” ไท่จื่อพูดไปตัวเอียงไป เห็นได้ชัดว่าเป็นคนดื่มไม่เก่ง

พื้นของตำหนักซงหยวนทำมาจากหินหากล้มลงไปคงแย่แน่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยื่นมือเข้าไปพยุงเอาไว้ “เช้าๆ เช่นนี้ ไท่จื่อดื่มสุราทำไมกัน”

“ก็มันช่วยให้ข้าเล่นพิณได้อย่างไรเล่า เจ้าดูสิ เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งชมว่าข้าเล่นดีกว่าครั้งก่อนมิใช่รึ” ไท่จื่อพิงบนตัวอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างขี้เกียจ สองแก้มเป็นสีแดงระรื่อ ส่วนร่างกายแทบจะยืนตรงไม่ได้

อวิ๋นหว่านชิ่นจะปล่อยก็ไม่ใช่จะพยุงไว้ก็ไม่ใช่ นางขมวดคิ้วมองหน้าชายหนุ่มที่ตัวอ่อนปวกเปียกราวกับก้อนดิน “หากไท่จื่อไม่ยืนให้นิ่ง อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลยนะเจ้าคะ”

ไท่จื่อเห็นจมูกของนางเริ่มเป็นสีแดงคงจะโกรธสินะ แต่เขากลับฉวยโอกาสนี้ทำเป็นยืนตัวตรงแต่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้

ขณะเดียวกัน ด้านนอกตำหนักซงหยวนตรงสุดทางของทางเดินระเบียง หว่างคิ้วของเจี่ยงอวี๋ขมวดเข้าหากัน หันไปถามสาวรับใช้ด้านข้าง “พระชายาเอกในฉินอ๋องถูกเรียกมาด้วยจริงรึ”

“ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา แม่ชีกลุ่มนั้นไปช่วยเตรียมของขวัญสำหรับงานเฉลิมพระชนมพรรษากันหมด เหลือแต่พระชายาเอกที่ถูกขันทีคนสนิทของไท่จื่อเรียกเข้าไปยังตำหนักซงหยวน…” บ่าวรับใช้เล่าอย่างมั่นอกมั่นใจ

เจี่ยงอวี๋ไม่รีรอพาบ่าวรับใช้เดินไปยังตำหนักซงหยวนทันที

ตรงประตูตำหนัก ขันทีผู้ที่พาพระชายาเอกในฉินอ๋องเข้าไปยังด้านในเห็นเหลียงตี้ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันจึงสะดุ้งตกใจ “เหลียง เหลียงตี้มาได้อย่างไร”

เจี่ยงอวี๋เห็นท่าทีตกใจก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติ ด้านในนั้นต้องมีเรื่องบางอย่างที่เปิดเผยออกมาไม่ได้ นางไล่ตะเพิด “ถอยไป ข้ามีธุระกับไท่จื่อ”

“เหลียงตี้ ไท่จื่อกำลังซ้อมบรรเลงเพลงสำหรับงานเฉลิมพระชนมพรรษาเข้าไปไม่ได้” ขันทีตกใจ

เจี่ยงอวี๋หัวเราะแห้งๆ “ซ้อมบรรเลงบทเพลงงั้นหรือ กลางวันแสกๆ มีใครบ้างหรือที่ปิดประตูไล่บ่าวรับใช้ออกมาแล้วซ้อมบรรเลงเพลง”

ขันทีถึงกับเป็นใบ้มิรู้จะตอบอย่างไร แต่ก็ยังปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ไม่ยอมให้ใครเข้าไปเด็ดขาด “ไท่จื่อมีรับสั่งหากไม่มีคำสั่งห้ามใครเข้าไปเด็ดขาด”

เจี่ยงอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธหน้าเขียว ถึงกับไม่ให้ใครเข้าไปเชียวรึ บ่าวรับใช้เกรงว่าจะทำให้ไท่จื่อโกรธจึงจับมือของเจ้านายเอาไว้และเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “บ่าวว่าช่างเถอะเจ้าค่ะ หากเป็นเรื่องขึ้นมาไท่จื่ออาจโกรธได้นะเจ้าคะ…”

จะกลัวไปทำไม พระชายาเอกในฉินอ๋องอยู่ในช่วงรับโทษ หากนางทำเรื่องล้ำเส้นขึ้นมาละก็ คนจะที่จะมีปัญหาคือนางคนนั้น มิใช่ตัวนางเสียหน่อย!

ทำให้เป็นเรื่องงั้นรึ นางอยากทำเช่นนั้นใจจะขาด! พี่สะใภ้อยู่ในห้องเดียวกันกับน้องชายของสามี หากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไป คนที่อับอายคือพระชายาเอกคนนั้น ไม่ใช่นาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง 183 ท้ออายุยืน (2)

Now you are reading ยอดหญิงอันดับหนึ่ง Chapter 183 ท้ออายุยืน (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เนื่องด้วยงานเฉลิมพระชนมพรรษาแต่ละตำหนักก็จะช่วยกันเตรียมงาน บางครั้งก็มีการยืมคนซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลก คนที่ถูกเรียกชื่อจึงวางงานในมือลุกขึ้นเดินตามขันทีไปยังตงกง

ตงกงตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของทิศตะวันออกของพระราชวัง เป็นตำหนักชายคาสีทองเสาหยก มีความงดงามตระการตาไม่แพ้ตำหนักของผู้เป็นโอรสแห่งสวรรค์ ระบบรักษาความปลอดภัยมีความแน่นหนา ตำหนักซงหยวนที่อยู่ตรงกลางคือห้องทรงงาน ห้องอ่านหนังสือของไท่จื่อ ส่วนห้องต่างๆ ด้านข้างที่เรียงรายอยู่นั้นเป็นที่พักของพระชายาของไท่จื่อ

ขันทีนำแม่ชีเข้ามายังพระตำหนักแล้วให้สัญญาณมือกับมอมอคนหนึ่งเพื่อให้พาพวกเขาไปช่วยเหลืองานที่ด้านหลัง

อวิ๋นหว่านชิ่นกำลังจะก้าวเท้าเดินตามไปแต่แล้วก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงเรียกอันแผ่วเบาของขันที “พระชายาเอกฉินช้าก่อน ท่านต้องไปทำงานอื่น โปรดตามข้ามาทางนี้”

อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกแปลกใจแต่ก็เดินตามขันทีขึ้นบันไดเข้าไปยังตำหนักซงหยวน

เสียงเพลงบรรเลงดังก้องไปทั่วห้อง มีคนกำลังดีดพิณ ผ้าไหมลายปักเปล่งประกายสะดุดตา มีเงาคนเลือนลาง นั่งอยู่ตรงหน้า อวิ๋นหว่านชิ่นพอจะเดาออก “พระองค์ทรงเรียกให้ข้ามาช่วยงาน ที่แท้ก็ให้ข้ามาฟังท่านบรรเลงเพลงนี่เอง”

ขันทีเดินออกไปทันที

เสียงเพลงหยุดลงนิ้วเรียวยาวของชายหนุ่มยกออกจากพิณเงยหน้าขึ้นยิ้ม “ครั้งก่อนตอนข้าเตรียมบรรเลงเพลงให้กับเสด็จแม่ในงานเฉลิมพระชนมพรรษาเจ้าก็อยู่ด้วย ครั้งนี้เจ้าก็ต้องอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน รอให้แม่ชีพวกนั้นทำงานเสร็จแล้วเจ้าค่อยกลับไปพร้อมกับพวกเขาก็แล้วกัน”

ตงกงขาดคนทำงานก็เลยเรียกแม่ชีจากอารามฉางชิงมาช่วยเหลือ ไท่จื่อฉุกคิดได้จึงสั่งให้คนเรียกนางมาด้วย ประการแรกก็เพื่อให้นางได้ออกมาพักผ่อนหายใจชั่วครู่ ประการที่สองก็เพื่อใช้โอกาสนี้พูดคุยเรื่องละครกับเพลงกับนางอีกครั้ง

อวิ๋นหว่านชิ่นรับรู้ถึงความหวังดีตรงนี้ นางจับชายกระโปรงและนั่งลง “ขอบพระทัยไท่จื่อ”

ทั้งสองคนถูกกั้นไว้ด้วยผ้าม่านลูกปัด ไท่จื่อกำลังซ้อมบทเพลงที่มีชื่อว่าเฉินเซียงช่วยแม่ เป็นบทเพลงที่ไม่ทันได้มอบให้กับเจี่ยงฮองเฮาในงานเฉลิมพระชนมพรรษาวันนี้ฝีมือการดีดของเขาพลิ้วไสวไหลรื่นราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบทเพลง

เมื่อเทียบกับความเข้มขรึมเมื่อตอนอยู่ที่ตำหนักซานซิง วันนี้เขาดูเงียบสงบหามีสิ่งอื่นใดรบกวนไม่ อวิ๋นหว่านชิ่นมองดูจากด้านนอก เห็นเพียงใบหน้าอันงดงาม ดวงตามองไปยังด้านล่างเล็กน้อยกำลังจดจ่ออยู่ตรงนั้นอย่างตั้งใจ

หากไม่รู้ว่าเจี่ยงฮองเฮาทำอะไรกับไท่จื่อและพระมารดาของเขา และไท่จื่อมีความเกลียดเจี่ยงฮองเฮาขึ้นภายในใจ ภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้สามารถทำให้อวิ๋นหว่านชิ่นรู้สึกได้ว่า ไท่จื่อมีความกตัญญูและจริงใจกับฮองเฮาเป็นอย่างมาก

แต่ก็ไม่รู้ว่าไฟที่กำลังลุกขึ้นภายในใจของไท่จื่อที่มีต่อเจี่ยงฮองเฮาจะเก็บได้นานแค่ไหน นางเชื่อว่าใบหน้าของไท่จื่อยิ่งนิ่งมากเท่าไหร่ ภายในใจของเขาก็ยิ่งลุกไหม้แรงมากเท่านั้น

เสียงพิณหยุดลงแต่เสียงยังลอยอยู่ในห้องเป็นเวลาครู่หนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นได้สติจึงยิ้มพร้อมกับเอ่ย “ฝีมือพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลยนะเจ้าคะ ครั้งก่อนที่ข้าได้ฟัง แม้ว่าบทเพลงไพเราะเสนาะหูเช่นกันแต่ยังรู้สึกมีร่องรอยเหลืออยู่ วันนี้ข้ารู้สึกว่ามันเหมือนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นธรรมชาติไร้การตกแต่ง ฟังแล้วไม่สามารถแยกได้เลยว่าบทเพลงนี้อยู่ข้างหูหรืออยู่ภายในใจ ดูเหมือนว่างานเฉลิมพระชนมพรรษาของฮองเฮาที่ถูกเลื่อนออกไปก็มิใช่เรื่องแย่นะเจ้าคะ อย่างน้อยไท่จื่อก็มีเวลาซ้อมบทเพลงจนทำได้ดีถึงเพียงนี้ ทำให้มีเวลาเตรียมของขวัญชิ้นนี้มากขึ้นกว่าเดิมอีกเจ้าค่ะ”

ไท่จื่อยิ้มตามคำพูดของหญิงสาวแต่เมื่อฟังถึงประโยคสุดท้ายรอยยิ้มนั้นค้าง ในดวงตามีประกายแสงแวบผ่านและหายไปอย่างรวดเร็วราวกับดอกไม้ไฟ แทบจะไม่สามารถเห็นทันถึงปฏิกิริยานั้น แล้วเขาก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ มิใช่เรื่องแย่ ทำให้ข้ามีเวลาเตรียมมากขึ้น” เว้นไปครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะเทือนใจว่า “ทุกครั้งชิ่นเอ๋อร์ไม่เพียงแต่เข้าใจในเสียงเพลง แต่ยังเข้าใจข้าอีกด้วย จะว่าไปแล้ว ครั้งก่อนที่ข้าบรรเลงเพลงต่อหน้าชิ่นเอ๋อร์ ชิ่นเอ๋อร์ยังเป็นหญิงที่ยังไม่ออกเรือน แต่วันนี้ได้เป็นพระชายาเอกในฉินอ๋อง เมื่อก่อนเราสามารถดูละครในห้องเดียวกันพูดคุยตรงระเบียงได้ เวลาผ่านไปเพียงสั้นๆ เจ้ากับข้ากลายเป็นน้องชายกับพี่สะใภ้” พอพูดถึงตรงนี้เขาลุกขึ้น มีลมเย็นพัดเบาๆ ยกมือขึ้นปัดผ้าม่านลูกปัดออก “แล้วยังต้องมีเจ้านี้กั้นเอาไว้ถึงจะพูดคุยกันได้อีก!”

อวิ๋นหว่านชิ่นนิ่งและเดาออกว่าเขามีเรื่องอะไรในใจ แต่คำพูดนี้ดูคลุมเครือ อย่างน้อยก็ไม่ควรพูดออกมาในเวลาที่อยู่กันตามลำพัง แล้วยิ่งเห็นเขาเปิดผ้าม่านลูกปัดเดินออกมาก็ยิ่งรู้สึกมีบางอย่างผิดปกติ เมื่อหันกลับไปมองที่ประตู แม่ชีทำงานคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะเสร็จ ถ้ากลับไปตอนนี้คนเดียวอาจทำให้คนอื่นสงสัยได้ นางยิ้มและลุกขึ้น “ไท่จื่อบรรเลงอีกสักเพลงสองเพลงดีหรือไม่เจ้าคะ”

ตอนที่กำลังพูดนางได้กลิ่นหอมหวานละมุนลอยมาแตะที่จมูก

ไท่จื่อดื่มสุรา

“ทำไมล่ะ ไม่อยากฟังข้าพูด ขอฟังเสียงเพลงดีกว่างั้นหรือ” ไท่จื่อขมวดคิ้วและเดินเข้ามาใกล้

อวิ๋นหว่านชิ่นเห็นเขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเดาออก อีกทั้งยังพูดออกมาอย่างเปิดเผย นางไม่อยากอ้อมไปอ้อมมาจึงตอบกลับไปตรงๆ “ใช่เจ้าค่ะ”

“ฮ่าๆๆ” ไท่จื่อไม่โกรธแต่กลับหัวเราะแทน “ข้าชอบความซื่อของเจ้า!” ไท่จื่อพูดไปตัวเอียงไป เห็นได้ชัดว่าเป็นคนดื่มไม่เก่ง

พื้นของตำหนักซงหยวนทำมาจากหินหากล้มลงไปคงแย่แน่ อวิ๋นหว่านชิ่นจึงยื่นมือเข้าไปพยุงเอาไว้ “เช้าๆ เช่นนี้ ไท่จื่อดื่มสุราทำไมกัน”

“ก็มันช่วยให้ข้าเล่นพิณได้อย่างไรเล่า เจ้าดูสิ เมื่อครู่นี้เจ้าเพิ่งชมว่าข้าเล่นดีกว่าครั้งก่อนมิใช่รึ” ไท่จื่อพิงบนตัวอวิ๋นหว่านชิ่นอย่างขี้เกียจ สองแก้มเป็นสีแดงระรื่อ ส่วนร่างกายแทบจะยืนตรงไม่ได้

อวิ๋นหว่านชิ่นจะปล่อยก็ไม่ใช่จะพยุงไว้ก็ไม่ใช่ นางขมวดคิ้วมองหน้าชายหนุ่มที่ตัวอ่อนปวกเปียกราวกับก้อนดิน “หากไท่จื่อไม่ยืนให้นิ่ง อย่าหาว่าข้าใจร้ายเลยนะเจ้าคะ”

ไท่จื่อเห็นจมูกของนางเริ่มเป็นสีแดงคงจะโกรธสินะ แต่เขากลับฉวยโอกาสนี้ทำเป็นยืนตัวตรงแต่ยื่นหน้าเข้าไปใกล้

ขณะเดียวกัน ด้านนอกตำหนักซงหยวนตรงสุดทางของทางเดินระเบียง หว่างคิ้วของเจี่ยงอวี๋ขมวดเข้าหากัน หันไปถามสาวรับใช้ด้านข้าง “พระชายาเอกในฉินอ๋องถูกเรียกมาด้วยจริงรึ”

“ไม่ผิดแน่เจ้าค่ะ บ่าวเห็นกับตา แม่ชีกลุ่มนั้นไปช่วยเตรียมของขวัญสำหรับงานเฉลิมพระชนมพรรษากันหมด เหลือแต่พระชายาเอกที่ถูกขันทีคนสนิทของไท่จื่อเรียกเข้าไปยังตำหนักซงหยวน…” บ่าวรับใช้เล่าอย่างมั่นอกมั่นใจ

เจี่ยงอวี๋ไม่รีรอพาบ่าวรับใช้เดินไปยังตำหนักซงหยวนทันที

ตรงประตูตำหนัก ขันทีผู้ที่พาพระชายาเอกในฉินอ๋องเข้าไปยังด้านในเห็นเหลียงตี้ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันจึงสะดุ้งตกใจ “เหลียง เหลียงตี้มาได้อย่างไร”

เจี่ยงอวี๋เห็นท่าทีตกใจก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติ ด้านในนั้นต้องมีเรื่องบางอย่างที่เปิดเผยออกมาไม่ได้ นางไล่ตะเพิด “ถอยไป ข้ามีธุระกับไท่จื่อ”

“เหลียงตี้ ไท่จื่อกำลังซ้อมบรรเลงเพลงสำหรับงานเฉลิมพระชนมพรรษาเข้าไปไม่ได้” ขันทีตกใจ

เจี่ยงอวี๋หัวเราะแห้งๆ “ซ้อมบรรเลงบทเพลงงั้นหรือ กลางวันแสกๆ มีใครบ้างหรือที่ปิดประตูไล่บ่าวรับใช้ออกมาแล้วซ้อมบรรเลงเพลง”

ขันทีถึงกับเป็นใบ้มิรู้จะตอบอย่างไร แต่ก็ยังปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ไม่ยอมให้ใครเข้าไปเด็ดขาด “ไท่จื่อมีรับสั่งหากไม่มีคำสั่งห้ามใครเข้าไปเด็ดขาด”

เจี่ยงอวี๋ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งโกรธหน้าเขียว ถึงกับไม่ให้ใครเข้าไปเชียวรึ บ่าวรับใช้เกรงว่าจะทำให้ไท่จื่อโกรธจึงจับมือของเจ้านายเอาไว้และเกลี้ยกล่อมด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “บ่าวว่าช่างเถอะเจ้าค่ะ หากเป็นเรื่องขึ้นมาไท่จื่ออาจโกรธได้นะเจ้าคะ…”

จะกลัวไปทำไม พระชายาเอกในฉินอ๋องอยู่ในช่วงรับโทษ หากนางทำเรื่องล้ำเส้นขึ้นมาละก็ คนจะที่จะมีปัญหาคือนางคนนั้น มิใช่ตัวนางเสียหน่อย!

ทำให้เป็นเรื่องงั้นรึ นางอยากทำเช่นนั้นใจจะขาด! พี่สะใภ้อยู่ในห้องเดียวกันกับน้องชายของสามี หากเรื่องนี้ถูกประกาศออกไป คนที่อับอายคือพระชายาเอกคนนั้น ไม่ใช่นาง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+